ตัวกรอง
8 ผลลัพธ์

ประกาศขายอพาร์ทเม้นท์ 3 ห้องนอน ในหัวหิน, ประจวบคีรีขันธ์

Slider image 1
Slider image 2
Slider image 3
Slider image 4
Slider image 5
Slider image 6
Slider image 7
Slider image 8
Slider image 9
Slider image 10
Slider image 11
Slider image 12
Slider image 13
Slider image 14
Slider image 15
Slider image 16
Slider image 17
Slider image 18
Slider image 19
Slider image 20
Slider image 21
Slider image 22
Slider image 23
Slider image 24
Slider image 25
Slider image 26
Slider image 27
Slider image 28
Slider image 29
Slider image 30
1 / 30
฿14,950,000
3 ห้องนอน3 ห้องน้ำ260 ตรม.อพาร์ทเม้นท์
หรรษา เรสซิเด้นซ์ — หนองแก, หัวหิน, ประจวบคีรีขันธ์
อพาร์ทเม้นต์ 3 ห้องนอน 260 ตรม. หรรษาเรสซิเดนซ์ - หัวหิน
หรรษาเรสซิเดนซ์เป็นอาคารอพาร์ตเมนต์ส่วนตัว ที่สร้างขึ้นอย่างดีพร้อมระบบจัดการที่ดีพร้อม ลิฟต์ และสระว่ายน้ำส่วนกลาง อาคารนี้ก่อสร้างในปี 2551 มีทั้งหม...
Slider image 1
Slider image 2
Slider image 3
Slider image 4
Slider image 5
Slider image 6
Slider image 7
Slider image 8
Slider image 9
Slider image 10
Slider image 11
Slider image 12
Slider image 13
Slider image 14
Slider image 15
Slider image 16
Slider image 17
Slider image 18
Slider image 19
Slider image 20
Slider image 21
Slider image 22
Slider image 23
Slider image 24
Slider image 25
Slider image 26
Slider image 27
Slider image 28
Slider image 29
Slider image 30
Slider image 31
Slider image 32
Slider image 33
Slider image 34
Slider image 35
Slider image 36
Slider image 37
1 / 37
฿15,500,000
3 ห้องนอน2 ห้องน้ำ190 ตรม.อพาร์ทเม้นท์
ฟอลคอน ฮิลล์ - หัวหิน — หนองแก, หัวหิน, ประจวบคีรีขันธ์
ฟอลคอน ฮิลล์ เทอเรซ - คุณภาพชีวิตที่ดีใจกลางเมืองหัวหิน
ฟอลคอน ฮิลล์ เทอเรซ  ตั้งอยู่ในโครงการ ฟอลคอน ฮิลล์ ประเทศไทย พื้นที่นี้ยังอยู่ในเขตเมืองและตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาและชนบท ให้ความรู้สึกโอบล้อมไปด้วยธรร...
Slider image 1
Slider image 2
Slider image 3
Slider image 4
Slider image 5
Slider image 6
Slider image 7
Slider image 8
Slider image 9
Slider image 10
Slider image 11
Slider image 12
Slider image 13
Slider image 14
Slider image 15
Slider image 16
Slider image 17
Slider image 18
Slider image 19
Slider image 20
Slider image 21
Slider image 22
Slider image 23
Slider image 24
Slider image 25
Slider image 26
Slider image 27
Slider image 28
Slider image 29
1 / 29
฿35,000,000
3 ห้องนอน3 ห้องน้ำ202 ตรม.อพาร์ทเม้นท์
หนองแก, หัวหิน, ประจวบคีรีขันธ์
ขายอพาร์ทเม้นท์ 3 ห้องนอน ใน หนองแก, หัวหิน
คอนโดหรู ในโครงการ The Casadaeng Khao Takiab (เดินเพียง 3 นาทีถึงชายหาด) ราคา : 35,000,000 บาท - 3 ห้องนอน, 3 ห้องน้ำ - พื้นที่ใช้สอย 202 ตรม. - ด...
Slider image 1
Slider image 2
Slider image 3
Slider image 4
Slider image 5
Slider image 6
Slider image 7
Slider image 8
Slider image 9
Slider image 10
Slider image 11
Slider image 12
Slider image 13
Slider image 14
Slider image 15
Slider image 16
Slider image 17
Slider image 18
Slider image 19
Slider image 20
Slider image 21
Slider image 22
Slider image 23
Slider image 24
Slider image 25
Slider image 26
Slider image 27
Slider image 28
Slider image 29
Slider image 30
Slider image 31
Slider image 32
Slider image 33
1 / 33
฿22,900,000
3 ห้องนอน4 ห้องน้ำ148 ตรม.อพาร์ทเม้นท์
หนองแก, หัวหิน, ประจวบคีรีขันธ์
ขายอพาร์ทเม้นท์ 3 ห้องนอน ใน หนองแก, หัวหิน
คอนโดยูนิตนี้มีพื้นที่ใช้สอยขนาด 148 ตรม. อยู่ชั้น 5 มองเห็นวิวทะเลที่สวยงาม พื้นห้องเป็นพื้นสัมผัสเนื้อทราย และฟังก์ชั่นต่างๆอีกมากมายที่เหมาะสำหรับว...
Slider image 1
Slider image 2
Slider image 3
Slider image 4
Slider image 5
Slider image 6
Slider image 7
Slider image 8
Slider image 9
Slider image 10
Slider image 11
1 / 11
฿17,500,000
3 ห้องนอน3 ห้องน้ำ160 ตรม.อพาร์ทเม้นท์
เดอะ ไพน์ หัวหิน — หนองแก, หัวหิน, ประจวบคีรีขันธ์
ขาย 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ เดอะไพน์ ชะอำ
904613 เดอะไพน์ ชะอำ ราคาขาย 17,500,000บาท / เช่า 90,000 บาทต่อเดือน พื้นที่ห้อง 160.89 ตารางเมตร -3ห้องนอน 3ห้องน้ำ -พร้อมเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช...
Slider image 1
Slider image 2
Slider image 3
Slider image 4
Slider image 5
Slider image 6
Slider image 7
1 / 7
฿9,900,000
3 ห้องนอน3 ห้องน้ำ150 ตรม.อพาร์ทเม้นท์
หนองแก, หัวหิน, ประจวบคีรีขันธ์
ขายอพาร์ทเม้นท์ 3 ห้องนอน ใน หนองแก, หัวหิน
คอนโดสุดหรูที่ My Resort คอนโดมิเนียม สำหรับขาย 3 ห้องนอน ราคาขาย: 9,900,000 บาท My Resort Hua Hin เป็นโครงการคอนโดมิเนียม ตั้งอยู่ที่หนองแก อำเภอ...
Slider image 1
Slider image 2
Slider image 3
Slider image 4
Slider image 5
Slider image 6
Slider image 7
Slider image 8
Slider image 9
1 / 9
฿10,760,736
3 ห้องนอน4 ห้องน้ำ300 ตรม.อพาร์ทเม้นท์
มาลีบู เขาเต่า — หนองแก, หัวหิน, ประจวบคีรีขันธ์
ขายอพาร์ทเม้นท์ 3 ห้องนอน ในโครงการ มาลีบู เขาเต่า
คอนโดสไตล์เรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยความน่าอยู่ น่าสัมผัส ที่ล้อมรอบไปด้วยทะเล หาดทรายและความเป็นธรรมชาติที่หลากหลาย พร้อมให้คุณได้สัมผัสทุกเวลาที่ มาลิบู...
Slider image 1
Slider image 2
Slider image 3
Slider image 4
Slider image 5
Slider image 6
Slider image 7
Slider image 8
Slider image 9
Slider image 10
Slider image 11
Slider image 12
Slider image 13
Slider image 14
Slider image 15
Slider image 16
1 / 16
฿14,800,000
3 ห้องนอน2 ห้องน้ำ226 ตรม.อพาร์ทเม้นท์
ฟอลคอน ฮิลล์ - หัวหิน — หนองแก, หัวหิน, ประจวบคีรีขันธ์
ขายอพาร์ทเม้นท์ 3 ห้องนอน ในโครงการ ฟอลคอน ฮิลล์ - หัวหิน
Falcon Hill Luxury Pool Villas (ฟอลคอน ฮิลล์ ลัคชัวรี่ พูลวิลล่า)ยินดีต้อนรับสู่ลักซูรี่พูลวิลล่าแห่งใหม่ ใจกลางความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ และความเงีย...
แสดงผลลัพธ์ 1 - 8, หน้า 1 จากทั้งหมด 1 หน้า

เจาะลึกตลาดขายอพาร์ทเม้นท์ในหัวหินปี 2568

หัวหินเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวและเมืองพักตากอากาศยอดนิยมของไทยมาอย่างยาวนาน ในปี 2568 ตลาดอสังหาริมทรัพย์หัวหินยังคงเติบโตแข็งแกร่ง โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่อาศัยเพื่อการลงทุนอย่าง อพาร์ทเม้นท์ (Apartment) ที่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นจากทั้งนักลงทุนและผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ปัจจัยหนุนมาจากการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคักหลังยุคโควิด การเข้ามาของกลุ่มผู้เช่าต่างชาติระยะยาว และโครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆ ที่เพิ่มศักยภาพทำเลหัวหิน ไม่ว่าจะเป็นโครงการมอเตอร์เวย์และทางรถไฟที่พัฒนา ช่วยให้หัวหินเข้าถึงสะดวกขึ้น บทความนี้จะนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการ ขายอพาร์ทเม้นท์ในหัวหิน ในทุกมิติสำหรับปี 2568 ตั้งแต่แนวโน้มตลาด ภาพรวมทำเลที่น่าสนใจ ประเภทอพาร์ทเม้นท์ที่ได้รับความนิยม ราคาซื้อ-ขายและผลตอบแทนการลงทุน ตลอดจนข้อควรรู้ด้านกฎหมายและการบริหารจัดการ เพื่อเป็นแนวทางให้ทั้งนักลงทุนไทยที่ต้องการสร้างรายได้ระยะยาว และผู้ซื้อที่อยากบริหารกิจการอพาร์ทเม้นท์ด้วยตนเองได้เตรียมความพร้อมอย่างรอบด้าน

ภาพรวมตลาดอพาร์ทเม้นท์หัวหิน ปี 2568

ตลาดอพาร์ทเม้นท์ในหัวหินปี 2568 มีแนวโน้มสดใสต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยได้รับแรงหนุนจากทั้งภาคท่องเที่ยวและการเพิ่มขึ้นของผู้พักอาศัยระยะยาว:

  • การท่องเที่ยวฟื้นตัวและดีมานด์ต่างชาติ: ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวฯ พบว่าในปี 2567 จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (ที่ตั้งของหัวหิน) มีนักท่องเที่ยวรวมกว่า 11 ล้านคน ซึ่งกลุ่มนักท่องเที่ยวยุโรป รัสเซีย และกลุ่มตะวันออกกลางมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่นี้หลายคนมองหาที่พักระยะยาวหรือ “ลองสเตย์” ในหัวหิน ส่งผลให้เกิดคอมมูนิตี้ชาวต่างชาติที่พักอาศัยในเมืองนี้มากขึ้นเรื่อยๆ แนวโน้มดังกล่าวช่วยกระตุ้นตลาดเช่าที่อยู่อาศัยระยะยาวอย่างชัดเจน ทั้งจาก กลุ่มครอบครัวและผู้เกษียณต่างชาติ ที่เช่าพักผ่อนระยะยาว และ กลุ่มคนไทย ที่ย้ายมาทำงานหรือเปลี่ยนบรรยากาศมาพำนักที่หัวหิน
  • อัตราเช่าและผลตอบแทนที่น่าสนใจ: ด้วยดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น อัตราการเข้าพัก (Occupancy rate) ของที่พักอาศัยให้เช่าในหัวหินปี 2568 เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 70% ตลอดปี ซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับหลายจังหวัด ค่าเช่าเฉลี่ยของห้องพักระยะยาวในหัวหินอยู่ในช่วงประมาณ 3,000–8,000 บาท/เดือน สำหรับอพาร์ทเม้นท์มาตรฐานทั่วไป และอาจสูงถึง 10,000–15,000 บาท/เดือน สำหรับห้องเช่าที่ตกแต่งดีหรือทำเลดี (เช่น ใกล้ทะเลหรือห้างสรรพสินค้า) ผลตอบแทนการลงทุนจากค่าเช่า (Rental Yield) สำหรับอสังหาฯ ประเภทนี้ในหัวหินอยู่ราว 5–7% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยในกรุงเทพฯ (ประมาณ 4–5%) สะท้อนว่าการลงทุนซื้ออพาร์ทเม้นท์ปล่อยเช่าในหัวหินสามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงและคุ้มค่า
  • อุปทานจำกัด การแข่งขันไม่รุนแรง: แม้ว่าความต้องการที่พักจะเพิ่มขึ้น แต่อุปทานฝั่งอพาร์ทเม้นท์ในหัวหินกลับไม่ได้เติบโตหวือหวานัก เนื่องจากผู้ประกอบการรายใหญ่เน้นพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมหรือบ้านตากอากาศมากกว่า อพาร์ทเม้นท์ส่วนใหญ่สร้างและบริหารโดยผู้ลงทุนรายย่อย ทำให้จำนวนโครงการใหม่ๆ มีไม่มาก เมื่อเทียบกับคอนโดฯ ดังนั้นอพาร์ทเม้นท์ที่เปิดดำเนินการอยู่เดิมจึงยังมีฐานผู้เช่าค่อนข้างแน่นอน และสามารถปรับราคาค่าเช่าได้ตามกลไกตลาดโดยไม่ถูกตัดราคามากนัก
  • ปัจจัยบวกด้านโครงสร้างพื้นฐาน: หัวหินได้รับอานิสงส์จากโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐหลายโครงการ เช่น โครงการมอเตอร์เวย์สายนครปฐม–ชะอำ, รถไฟทางคู่ช่วงนครปฐม–ชุมพร (ผ่านหัวหิน) ที่ทยอยเปิดใช้ รวมถึงแผน รถไฟความเร็วสูงกรุงเทพ–หัวหิน ในอนาคต และการขยายสนามบินหัวหินเพื่อรองรับเที่ยวบินเชิงพาณิชย์มากขึ้น โครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ช่วยลดระยะเวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ และเมืองสำคัญมาหัวหิน ทำให้เมืองนี้น่าสนใจยิ่งขึ้นทั้งสำหรับนักท่องเที่ยวและผู้ที่มองหาที่อยู่อาศัยนอกเมืองใหญ่ เมื่อคมนาคมสะดวกขึ้น ความต้องการเช่าที่พักในหัวหินก็มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลดีต่อเจ้าของอพาร์ทเม้นท์
  • ราคาที่ดินและแนวโน้มระยะยาว: ราคาที่ดินในหัวหินปรับตัวสูงขึ้นในช่วงปีหลังๆ สะท้อนศักยภาพพื้นที่ โดยเฉพาะที่ดินติดทะเลที่มีการซื้อขายในปี 2568 สูงถึงประมาณ ไร่ละ 120 ล้านบาท (จากระดับ ~80 ล้านบาท/ไร่เมื่อไม่กี่ปีก่อน) แม้ที่ดินราคาสูงขึ้นแต่เจ้าของที่ดินหลายรายยังถือครองเพื่อรอมูลค่าเพิ่ม ทำให้อุปทานที่ดินออกขายมีจำกัด นักลงทุนที่ครอบครองที่ดินหรืออพาร์ทเม้นท์ในทำเลดีจึงมีโอกาสได้รับประโยชน์จาก Capital Gain (ส่วนต่างกำไรจากมูลค่าทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้น) ในระยะยาว นอกเหนือจากรายได้ค่าเช่ารายเดือน

โดยสรุป ภาพรวมปี 2568 ตลาดอพาร์ทเม้นท์หัวหินอยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง อัตราการเช่าและผลตอบแทนอยู่ในเกณฑ์น่าพอใจ มีปัจจัยสนับสนุนเชิงบวกหลายด้าน ทั้งดีมานด์ผู้เช่าที่หลากหลายขึ้นและโครงสร้างพื้นฐานที่ส่งเสริมการเติบโต นักลงทุนที่สนใจเข้าสู่ตลาดนี้ควรติดตามแนวโน้มดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และเตรียมกลยุทธ์ให้สอดรับกับความต้องการของผู้เช่าในยุคใหม่

ทำเลยอดนิยมในการซื้ออพาร์ทเม้นท์ในหัวหิน

ทำเลที่ตั้งของอพาร์ทเม้นท์ถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของการลงทุน หัวหิน มีลักษณะภูมิประเทศเป็นเมืองชายทะเลที่ทอดยาวเหนือจรดใต้ตามแนวชายฝั่ง และมีชุมชนกระจายจากโซนติดทะเลไปถึงโซนภูเขาด้านใน แต่ละย่านมีจุดเด่นและกลุ่มผู้เช่าที่แตกต่างกันไป ด้านล่างนี้คือทำเลยอดนิยมในหัวหินสำหรับการลงทุนซื้ออพาร์ทเม้นท์ พร้อมจุดแข็งของแต่ละพื้นที่:

1. ใจกลางเมืองหัวหินและย่านตลาดโต้รุ่ง

พื้นที่ใจกลางเมือง (บริเวณใกล้ตลาดโต้รุ่งหัวหิน, ถนนเดชานุชิต, สถานีรถไฟหัวหิน และซอยใกล้เคียง) เป็น ทำเลทองดั้งเดิม ที่คึกคักทั้งกลางวันและกลางคืน จุดเด่นของย่านนี้คือความเป็นศูนย์กลางการค้าขายและการท่องเที่ยว มีตลาดโต้รุ่งชื่อดัง ร้านอาหาร ซีฟู้ด ร้านค้าพื้นเมือง และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ผู้เช่าที่สนใจพักย่านนี้จึงมีทั้ง พนักงานร้านค้า-ร้านอาหารในตัวเมือง ที่ต้องการที่พักใกล้ที่ทำงาน, นักท่องเที่ยวแบ็คแพ็ค และคนทำงานรุ่นใหม่ที่ชอบความสะดวกคึกคัก การซื้ออพาร์ทเม้นท์ในย่านใจกลางเมืองสามารถดัดแปลงเป็นเกสต์เฮ้าส์หรือโฮสเทลรองรับนักท่องเที่ยวได้ หรือจะปล่อยเช่าระยะยาวให้พนักงานในพื้นที่ก็มีดีมานด์ต่อเนื่อง จุดแข็งคือ เดินทางสะดวก ใกล้สถานีรถไฟและจุดจอดรถต่างๆ ผู้เช่าไม่จำเป็นต้องมีรถส่วนตัวก็ใช้ชีวิตได้สบาย อย่างไรก็ตาม ข้อควรพิจารณาคือที่ดินใจกลางเมืองมีจำกัดและราคาแพง อพาร์ทเม้นท์มักอยู่ในซอยเล็ก ตึกอาจมีอายุการใช้งานมานาน ผู้ลงทุนควรตรวจสอบสภาพอาคารและความคุ้มค่าของราคาที่เสนอขายในย่านนี้อย่างละเอียด

2. โซนศูนย์การค้าและถนนเพชรเกษมตอนกลาง (ใกล้ห้าง Market Village และ BluPort)

บริเวณ ถนนเพชรเกษมช่วงกิโลเมตรกลางเมือง (ประมาณซอยหัวหิน 88 ถึง ซอยหัวหิน 100+) เป็นโซนที่มีการพัฒนาเชิงพาณิชย์สูงในช่วงสิบปีที่ผ่านมา เพราะมีห้างสรรพสินค้าใหญ่สองแห่งคือ หัวหิน Market Village และ BluPort Resort Mall รวมถึงโรงพยาบาลเอกชน (รพ.กรุงเทพหัวหิน, รพ.ซานเปาโล) และซูเปอร์มาร์เก็ตนานาชาติ (เช่น วิลล่ามาร์เก็ท) อยู่รายล้อม ทำเลนี้จึงกลายเป็นย่านอยู่อาศัยยอดนิยมของทั้งชาวไทยและต่างชาติที่ต้องการความสะดวกสบายครบครันใกล้มือ การซื้ออพาร์ทเม้นท์ในโซนนี้มีจุดแข็งคือ ศักยภาพในการปล่อยเช่ากับกลุ่มผู้เช่าคุณภาพ เช่น ข้าราชการหรือพนักงานบริษัทที่ย้ายมาปฏิบัติงานในหัวหิน, ผู้บริหารโรงแรม/โรงพยาบาล, ตลอดจนนักท่องเที่ยวที่มองหาที่พักระยะกลางใกล้แหล่งช็อปปิ้ง อัตราค่าเช่าในย่านนี้มักสูงกว่าย่านอื่นเล็กน้อย เพราะผู้เช่ายินดีจ่ายเพื่ออยู่ใกล้ห้างและทะเล (จากถนนเพชรเกษมไปชายหาดระยะทางเพียงไม่กี่ร้อยเมตรในหลายจุด) การเดินทางก็สะดวก มีถนนใหญ่ผ่านและรถโดยสารวิ่งตลอด ข้อควรระวังคือ ต้นทุนที่ดินและอสังหาฯ ในย่านนี้ค่อนข้างสูง การลงทุนต้องใช้เงินมากแต่ก็คาดหวังผลตอบแทนดีตามไปด้วย นอกจากนี้ควรศึกษาผังเมืองและข้อจำกัดความสูงอาคาร เนื่องจากอยู่ไม่ไกลเขตพระราชฐานและชายทะเล ซึ่งอาจมีการควบคุมความสูงอาคารในบางบริเวณ

3. โซนหัวหินใต้ (เขาตะเกียบ, หนองแก และใกล้ซิเคด้า)

พื้นที่ด้านใต้ของตัวเมืองหัวหิน ตั้งแต่บริเวณ เขาตะเกียบ ยาวมาถึงตำบลหนองแก เป็นย่านที่มีบรรยากาศกึ่งเมืองกึ่งรีสอร์ต โดดเด่นด้วยสถานที่ท่องเที่ยวอย่าง ตลาดจั๊กจั่น (Cicada Market) และ สวนน้ำวานา นาวา รวมถึงชายหาดเขาตะเกียบที่มีความสงบเป็นส่วนตัวกว่าในเมือง โซนนี้ได้รับความนิยมจาก ชาวต่างชาติที่มาพำนักระยะยาว โดยเฉพาะกลุ่มผู้เกษียณจากยุโรปที่ชื่นชอบความเงียบสงบและธรรมชาติ และ นักท่องเที่ยวไทย ที่นิยมมาพักผ่อนช่วงสุดสัปดาห์ บริเวณนี้มีทั้งคอนโดมิเนียมตากอากาศ โรงแรม และอพาร์ทเม้นท์/เกสต์เฮ้าส์ขนาดย่อมจำนวนมาก จุดแข็งของการซื้ออพาร์ทเม้นท์ในโซนนี้คือ บรรยากาศและไลฟ์สไตล์ที่ผ่อนคลาย สามารถใช้จุดขายความเป็นรีสอร์ตดึงดูดผู้เช่าได้ เช่น ทำห้องเช่ารายเดือนสไตล์วิลล่าเล็กๆ หรือเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ที่มีครัวสำหรับชาวต่างชาติที่อยู่เป็นเดือนๆ ผู้เช่าส่วนใหญ่ในย่านนี้มักมีรถยนต์ส่วนตัวหรือเช่ารถขับ การมีที่จอดรถเพียงพอจะเพิ่มมูลค่าให้อพาร์ทเม้นท์ ขณะเดียวกัน ค่าเช่าในย่านเขาตะเกียบอาจปรับสูงขึ้นในช่วงไฮซีซั่น (ปลายปีถึงต้นปี) เนื่องจากความต้องการจากนักท่องเที่ยวมาก ผู้ลงทุนสามารถใช้กลยุทธ์ปล่อยเช่าระยะสั้นในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวเพื่อเพิ่มรายได้ แต่อาจต้องคำนึงเรื่องใบอนุญาตให้บริการที่พัก (กรณีปล่อยเช่ารายวัน) ด้วย

4. โซนหัวหินเหนือและบ่อฝ้าย

ด้านทิศเหนือของตัวเมืองหัวหิน บริเวณประมาณ ซอยหัวหิน 6 ขึ้นไปจนถึงเขตบ่อฝ้ายและสนามบินหัวหิน เป็นย่านชานเมืองที่อยู่อาศัยของคนท้องถิ่นดั้งเดิมและมีหมู่บ้านจัดสรรเกิดขึ้นใหม่หลายแห่ง พื้นที่นี้มีสถานที่ที่เป็นหมุดหมายเช่น โครงการเพลินวาน (แหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม), ร้านอาหารท้องถิ่นชื่อดัง, ห้างแม็คโครหัวหิน, สนามบินหัวหิน และหน่วยงานราชการบางส่วน อพาร์ทเม้นท์ในย่านหัวหินเหนือมักจะมีลักษณะเป็น หอพักหรืออพาร์ทเม้นท์ราคาประหยัด รองรับกลุ่มผู้เช่าที่เป็นคนทำงานในพื้นที่ เช่น พนักงานห้างและพนักงานร้านค้ารอบนอกเมือง, บุคลากรสนามบิน, ข้าราชการท้องถิ่น ตลอดจนนักเรียนนักศึกษา (บริเวณนี้มีวิทยาเขตมหาวิทยาลัยสวนดุสิตหัวหินและสถานศึกษาอื่น) จุดแข็งคือค่าใช้จ่ายในการซื้อที่ดินและสร้างอพาร์ทเม้นท์ต่ำกว่าบริเวณใจกลางเมือง ทำให้ผู้ลงทุนสามารถตั้งค่าเช่าที่แข่งขันได้ ห้องเช่าราคาประมาณ 2,500–5,000 บาท/เดือนในทำเลนี้ได้รับความนิยมและผู้เช่ามักอยู่ระยะยาวเพราะใกล้ที่ทำงาน นอกจากนี้บางโครงการอาจมีพื้นที่ขนาดใหญ่ สามารถขยายเฟสเพิ่มห้องพักในอนาคตได้ อย่างไรก็ตาม ข้อควรระวังคือเรื่องการเดินทางเข้าเมือง เนื่องจากระยะทางไกลกว่าทำเลอื่น ผู้เช่าที่ไม่มีรถส่วนตัวอาจไม่สะดวก ควรเลือกทำเลที่ใกล้ถนนใหญ่หรือมีบริการสองแถว/วินมอเตอร์ไซค์เข้าถึง และควรตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐานบริการสาธารณะ เช่น ท่อน้ำประปา ไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต ว่าครอบคลุมเพียงพอหรือไม่ในจุดที่จะลงทุน

5. โซนชานเมืองด้านตะวันตก (ฝั่งเขาหินเหล็กไฟ)

ฝั่งตะวันตกของหัวหินเป็นพื้นที่ที่เริ่มสูงขึ้นสู่เนินเขา หินเหล็กไฟ ซึ่งมีจุดชมวิวเมืองหัวหินและเป็นย่านที่อยู่อาศัยเงียบสงบ มีหมู่บ้านจัดสรรขนาดใหญ่หลายโครงการในโซนนี้ บรรยากาศโดยรวมเป็นชนบทกว่าโซนอื่น เหมาะกับผู้ที่ชอบความเป็นส่วนตัวและธรรมชาติ อพาร์ทเม้นท์หรือหอพักในแถบนี้อาจไม่ได้หนาแน่น แต่ถือเป็น โอกาสการลงทุนในทำเลที่ดินราคาย่อมเยา และมีอนาคต หากเลือกจุดที่ใกล้กับชุมชนหรือโครงการหมู่บ้านที่สร้างเสร็จใหม่ๆ ก็จะได้กลุ่มผู้เช่าเป็นพนักงานสำนักงาน คนทำงานในหัวหินที่ต้องการหลีกหนีความวุ่นวายในเมืองและยอมขับรถเข้าเมือง 10-15 นาที หรือ กลุ่มครอบครัวที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยมากกว่าในตัวเมือง อาจหาเช่าห้องชุดขนาดใหญ่หรือบ้านดัดแปลงแบ่งเช่าในแถวนี้ จุดเด่นคือที่จอดรถสะดวกสบาย บรรยากาศร่มรื่นสบายกว่าในเมือง และบางทำเลอาจมองเห็นวิวภูเขาหรือทะเลไกลๆ ได้เป็นจุดขาย อีกทั้งต้นทุนการซื้อที่ดิน/สิ่งปลูกสร้างยังไม่สูงมากนัก ผู้ลงทุนสามารถสร้างอพาร์ทเม้นท์ใหม่ที่ทันสมัยในงบประมาณที่ถูกกว่าใจกลางเมือง แต่ต้องคำนึงว่า ดีมานด์ผู้เช่าอาจไม่พลุกพล่าน เท่าทำเลอื่น การทำการตลาดหาผู้เช่าอาจต้องใช้เวลามากกว่า รวมถึงควรศึกษาผังเมืองว่าพื้นที่ฝั่งเขามีข้อจำกัดเรื่องประเภทอาคารและความสูงหรือไม่ ก่อนตัดสินใจลงทุน

โดยสรุป ทำเลแต่ละโซนในหัวหินมีเอกลักษณ์และกลุ่มผู้เช่าต่างกัน ผู้ลงทุนควรเลือกทำเลที่สอดคล้องกับกลยุทธ์การปล่อยเช่าของตน เช่น ถ้าต้องการทำเกสต์เฮ้าส์นักท่องเที่ยวควรอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวและเดินทางง่าย ถ้าต้องการเจาะตลาดพนักงานออฟฟิศ/ราชการก็ควรอยู่ใกล้ศูนย์การค้า โรงพยาบาล หรือจุดที่มีสำนักงาน หากมองหาลูกค้ากลุ่มนักศึกษาและคนทำงานท้องถิ่นรายได้น้อย ทำเลย่านชานเมืองที่ค่าเช่าถูกจะเหมาะกว่า การรู้จุดแข็งของโซนต่างๆ จะช่วยให้ลงทุนได้ตรงจุดและบริหารอพาร์ทเม้นท์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประเภทของอพาร์ทเม้นท์ที่ได้รับความนิยมในหัวหิน

รูปแบบการดำเนินธุรกิจอพาร์ทเม้นท์ในหัวหินมีหลากหลาย ขึ้นอยู่กับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายและวิธีการปล่อยเช่าของผู้ประกอบการ การเข้าใจประเภทของอพาร์ทเม้นท์ที่ได้รับความนิยมจะช่วยให้นักลงทุนเลือกโมเดลที่เหมาะกับตนเองมากที่สุด โดยประเภทหลักๆ มีดังนี้:

  • หอพัก (Dormitory) – หอพักมักหมายถึงอาคารที่แบ่งห้องพักขนาดเล็กให้เช่าในราคาไม่แพง เจาะกลุ่ม นักเรียน นักศึกษา และพนักงานรายได้น้อย เป็นหลัก ในหัวหิน หอพักลักษณะนี้จะพบได้บริเวณใกล้สถาบันการศึกษา (เช่น แถวมหาวิทยาลัยสวนดุสิต หัวหิน) หรือใกล้ย่านที่มีแรงงานจำนวนมาก (เช่น ใกล้นิคม ชุมชนโรงแรมขนาดใหญ่ ที่ต้องการที่พักราคาประหยัดให้พนักงาน) ห้องพักมักมีขนาดกะทัดรัด สิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน เช่น เตียง ตู้เสื้อผ้า พัดลม (บางแห่งมีเครื่องปรับอากาศแต่คิดค่าเช่าสูงขึ้น) ห้องน้ำอาจเป็นห้องน้ำในตัวหรือห้องน้ำรวมขึ้นอยู่กับการออกแบบ จุดเด่นของหอพักคือ ค่าเช่าถูก เข้าถึงง่าย (เช่น 2,000–4,000 บาท/เดือน) ทำให้มีอัตราการเข้าพักเต็มสม่ำเสมอเพราะเป็นที่ต้องการเสมอ ผลตอบแทนแม้ต่อห้องจะไม่สูงมากแต่มีความมั่นคง ผู้ลงทุนที่บริหารหอพักต้องคำนึงถึงกฎระเบียบตามพระราชบัญญัติหอพัก และอาจต้องดูแลผู้เช่าที่เป็นวัยเรียนวัยรุ่นเป็นพิเศษ เช่น มาตรการรักษาความปลอดภัย แยกโซนชายหญิง เป็นต้น
  • อพาร์ทเม้นท์ให้เช่ารายเดือน (Apartment) – หมายถึงอาคารแบ่งห้องเช่าที่เน้นการเช่าระยะยาว (รายเดือนขึ้นไป) กับกลุ่ม ผู้เช่าวัยทำงานและครอบครัวขนาดเล็ก อพาร์ทเม้นท์ประเภทนี้มักบริหารแบบธุรกิจมืออาชีพมากกว่าหอพัก ห้องพักโดยทั่วไปจะมี ห้องน้ำในตัว ขนาดห้องกว้างขวางพอควร (20–30 ตร.ม.หรือมากกว่า) มีเฟอร์นิเจอร์พื้นฐานครบ เช่น เตียง ที่นอน ตู้เสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้ง บางแห่งมีเครื่องปรับอากาศ เครื่องทำน้ำอุ่น ตู้เย็น หรือไมโครเวฟให้ด้วย เพื่อเพิ่มความน่าสนใจ ค่าเช่าเฉลี่ยอยู่ในช่วง 4,000–8,000 บาท/เดือน ตามสภาพและทำเล สิ่งอำนวยความสะดวกในอาคารอาจมีที่จอดรถ ระบบรักษาความปลอดภัย (Keycard, CCTV, รปภ.), อินเทอร์เน็ต Wi-Fi ส่วนกลาง หรือพื้นที่ซักล้าง จุดแข็งของอพาร์ทเม้นท์รายเดือนคือ ดึงดูดกลุ่มผู้เช่าที่มีกำลังซื้อและมักเช่าพักอาศัยนานหลายปี เช่น ข้าราชการย้ายมาต่างจังหวัด, คู่สามีภรรยาที่สร้างบ้านแล้วยังไม่เสร็จ, พนักงานโรงแรม/โรงพยาบาล ฯลฯ รายได้ค่าเช่าจึงสม่ำเสมอ ลดความยุ่งยากในการหาผู้เช่าบ่อยๆ แต่ผู้ลงทุนก็ควรใส่ใจการดูแลรักษาอาคารและบริการให้ผู้เช่าเกิดความพอใจ เพื่อรักษาอัตราการอยู่ต่อ (Renewal Rate) ให้สูง
  • เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ (Serviced Apartment) – เป็นรูปแบบที่ผสมผสานระหว่างโรงแรมกับอพาร์ทเม้นท์ กล่าวคือ ให้บริการห้องพักพร้อมเฟอร์นิเจอร์ครบ และมีบริการเสริมแบบโรงแรม เช่น ทำความสะอาดห้องเป็นประจำ เปลี่ยนผ้าปูที่นอน บริการแผนกต้อนรับ ฯลฯ กลุ่มเป้าหมายหลักคือชาวต่างชาติหรือนักธุรกิจที่เข้าพักระยะกลาง-ยาว เช่น มาทำงานโครงการที่หัวหิน 1-6 เดือน, นักท่องเที่ยวต่างชาติที่หนีหนาวมาอยู่เมืองไทยครั้งละหลายเดือน เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์มักตั้งอยู่ในทำเลดี ใกล้ชายหาดหรือศูนย์การค้า ห้องพักตกแต่งพร้อมอยู่ในระดับคุณภาพสูง มีครัวขนาดเล็กหรือแพนทรีให้ทำอาหารเองได้ ค่าเช่าจะคิดเป็นรายเดือนหรือรายสัปดาห์ ซึ่งแพงกว่าการเช่าระยะยาวทั่วไป แต่ยังถูกกว่าอยู่โรงแรมหรู เช่น อาจคิด 20,000–40,000 บาท/เดือน ขึ้นกับระดับของที่พัก ผู้เช่าสามารถหิ้วกระเป๋าเข้าอยู่ได้เลยเหมือนอยู่โรงแรม จุดเด่นของเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์คือ รายได้ต่อห้องสูง และสามารถปรับราคาตามฤดูกาลท่องเที่ยวได้ มีความยืดหยุ่นในระยะเวลาการเช่ามากกว่ารายเดือนปกติ อย่างไรก็ตามผู้ลงทุนต้องพร้อมบริหารแบบมืออาชีพ มีพนักงานดูแล และอาจต้องขอใบอนุญาตโรงแรมหรือประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง เนื่องจากบริการใกล้เคียงโรงแรม
  • เกสต์เฮ้าส์/อพาร์ทเม้นท์ปล่อยเช่ารายวัน – ในเขตท่องเที่ยวอย่างหัวหิน เกสต์เฮ้าส์และโฮสเทล ขนาดเล็กเป็นธุรกิจที่พบเห็นได้มาก บางแห่งก็ดัดแปลงมาจากอพาร์ทเม้นท์ที่เจ้าของเลือกจะปล่อยเช่ารายวันมากกว่ารายเดือนเพื่อจับตลาดนักท่องเที่ยว ข้อดีคือสามารถคิดค่าเช่าเป็นรายคืนที่สูงกว่ารายเดือน (เช่น ห้องพัดลมคืนละ 500 บาท ห้องแอร์คืนละ 800-1000 บาท) หากบริหารจัดการให้อัตราเข้าพักสูง จะสร้างรายได้รวมต่อเดือนมากกว่าปล่อยเช่าระยะยาว แต่ความท้าทายคือ ความไม่แน่นอนของผู้เข้าพัก ขึ้นกับฤดูกาลอย่างมาก รวมถึงต้องทำการตลาดเชิงรุก เช่น ลงประกาศในแพลตฟอร์มท่องเที่ยว (Agoda, Booking, Airbnb) มีค่าคอมมิชชันที่ต้องจ่าย และมีต้นทุนการทำความสะอาด ซักรีด ผ้าเครื่องนอน ฯลฯ เพิ่มเข้ามา อีกทั้งการดำเนินการลักษณะนี้ตามกฎหมายไทยถือว่าเข้าข่ายธุรกิจโรงแรม ซึ่งต้องมีใบอนุญาตประกอบกิจการโรงแรมให้ถูกต้อง หลายแห่งในพื้นที่อาจยังไม่ได้ขออนุญาตและเสี่ยงต่อการถูกตรวจสอบ ผู้ลงทุนที่สนใจโมเดลเกสต์เฮ้าส์ควรชั่งน้ำหนักระหว่าง ผลตอบแทนที่สูงในช่วงไฮซีซั่น กับ ความสม่ำเสมอของรายได้ทั้งปี หากทำเลไม่ได้อยู่ใจกลางแหล่งท่องเที่ยวจริงๆ หรือไม่มีจุดขายโดดเด่น การปล่อยเช่ารายวันอาจไม่ได้คุ้มค่าเท่าการปล่อยรายเดือน

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการหลายรายในหัวหินก็เลือกดำเนินธุรกิจแบบผสมผสานเพื่อเพิ่มรายได้ เช่น ปล่อยเช่ารายเดือนเป็นหลัก แต่ช่วงเทศกาลหรือหน้าท่องเที่ยวก็เปิดห้องว่างบางส่วนปล่อยเช่ารายวัน เพื่อเก็บเกี่ยวรายได้ช่วงดีมานด์สูง กลยุทธ์ยืดหยุ่นเหล่านี้ช่วยให้อพาร์ทเม้นท์สร้างผลตอบแทนได้สูงสุดตลอดปี แต่ก็ต้องจัดการอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อไม่ให้กระทบผู้เช่าระยะยาวเดิม (เช่น แยกโซนห้องรายวันกับรายเดือนชัดเจน) นักลงทุนควรพิจารณาว่าตนเองมีความพร้อมและความชำนาญในการบริหารรูปแบบใด เพื่อเลือกประเภทอพาร์ทเม้นท์ที่เหมาะสมกับทรัพยากรและเป้าหมายการลงทุนของตน

ราคาเฉลี่ยและผลตอบแทนการลงทุนอพาร์ทเม้นท์ปี 2568

ราคาขายอพาร์ทเม้นท์ในหัวหิน: ในปี 2568 ตลาดซื้อ-ขายอพาร์ทเม้นท์ในหัวหินมีทั้งประกาศขายอาคารทั้งหลังที่เปิดดำเนินการแล้ว และอสังหาฯ ประเภทอพาร์ทเม้นท์สร้างใหม่พร้อมผู้เช่าบางส่วน ราคาเสนอขายขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ได้แก่ ทำเล ขนาดจำนวนห้อง รายได้ค่าเช่า และสภาพอาคาร โดยภาพรวมสามารถสรุปราคาช่วงต่างๆ ได้ดังนี้:

  • อพาร์ทเม้นท์ขนาดเล็กถึงกลาง (ประมาณ 10–30 ห้องพัก): ราคาขายเฉลี่ยอยู่ราว 10–40 ล้านบาท ทั้งนี้อาคารขนาดเล็ก 8-10 ห้องในทำเลชานเมืองหรืออาคารที่มีอายุการใช้งานนานอาจพบราคาต่ำกว่า 15 ล้านบาท แต่หากเป็นอพาร์ทเม้นท์สภาพใหม่ ทำเลดี เช่น ใกล้ตลาดหรือทะเล จำนวนห้อง 20-30 ห้อง ราคามักอยู่ในช่วงหลายสิบล้านบาท เช่น 20–30 ล้านบาทขึ้นไป
  • อพาร์ทเม้นท์ขนาดใหญ่ (มากกว่า 50 ห้องขึ้นไป): ในหัวหินมีอพาร์ทเม้นท์ขนาดใหญ่ไม่มากนักเพราะส่วนใหญ่โครงการใหญ่จะถูกพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมเพื่อขายมากกว่า แต่จากข้อมูลประกาศขายบางแห่งที่เป็นกิจการอพาร์ทเม้นท์ขนาดใหญ่ (เช่น 100+ ห้อง) ราคาจะอยู่ที่ หลักหลายสิบล้านจนถึงกว่า 100 ล้านบาท เช่น กรณีอพาร์ทเม้นท์ 100 กว่าห้อง ใกล้ย่านชุมชน อาจมีราคาขายประมาณ 100–120 ล้านบาท เป็นต้น ราคานี้คิดเป็นมูลค่าต่อห้องเฉลี่ย ~1 ล้านบาทหรือมากกว่าต่อห้อง ยิ่งทำเลดี (ติดถนนใหญ่ ใกล้ทะเล) หรืออาคารใหม่มีลิฟต์ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ราคาต่อห้องก็จะยิ่งสูงขึ้น (บางกรณีอาจ 1.5–2 ล้านบาทต่อห้องได้)
  • ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตร/ต่อห้อง: หากคำนวณในแง่ราคาเฉลี่ยต่อห้องของอพาร์ทเม้นท์ในหัวหิน จะพบว่าอยู่ราว 8 แสนถึง 1.2 ล้านบาทต่อห้อง สำหรับอาคารทั่วไป ซึ่งต่ำกว่าราคาห้องชุดคอนโดมิเนียมในหัวหิน (ที่เฉลี่ยประมาณ 60,000–120,000 บาท/ตร.ม. หรือราว 2–5 ล้านบาทต่อห้องชุด) สาเหตุเพราะการซื้ออพาร์ทเม้นท์ทั้งหลัง ผู้ซื้อจะได้ที่ดินและอาคารรวมทั้งธุรกิจ (ฐานลูกค้า รายได้) ซึ่งผู้ขายมักตีมูลค่าจากรายได้ค่าเช่าเป็นหลัก มากกว่าจะอิงราคาตลาดอสังหาฯ เพียงอย่างเดียว

ผลตอบแทนการลงทุน (Yield): ในการประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนซื้ออพาร์ทเม้นท์ อัตราผลตอบแทนจากค่าเช่าต่อปี (Rental Yield) เป็นตัวเลขสำคัญที่นักลงทุนใช้ประกอบการตัดสินใจ โดยคำนวณจาก (รายได้ค่าเช่าทั้งปี ÷ ราคาซื้อทรัพย์สิน) × 100% สำหรับตลาดหัวหินปี 2568 เราสามารถประมาณผลตอบแทนได้ดังนี้:

  • อพาร์ทเม้นท์ในทำเลกลางถึงดีที่บริหารจัดการมีประสิทธิภาพ มักให้ Yield ประมาณ 5–7% ต่อปี เช่น อาคารมูลค่า 20 ล้านบาท ที่ปล่อยเช่าห้องทั้งหมดมีรายได้รวมปีละ ~1.2 ล้านบาท ก็จะให้ผลตอบแทน ~6% ตัวเลขนี้สอดคล้องกับค่าเฉลี่ยตลาดที่ระบุว่าคอนโดในหัวหิน Yield ~5–6% การลงทุนในอพาร์ทเม้นท์ซึ่งซื้อทั้งอาคาร หากบริหารดีอาจได้ผลตอบแทนเทียบเท่าหรือสูงกว่าคอนโดเล็กน้อย เพราะไม่มีค่าบริหารจัดการส่วนกลางจากนิติบุคคลเหมือนคอนโด
  • ในบางกรณี ผลตอบแทนอาจสูงกว่านี้ หากผู้ลงทุนสามารถเพิ่มมูลค่ากิจการหรือควบคุมต้นทุนได้ดี เช่น ทำเลชานเมืองที่ราคาซื้อไม่สูงมากแต่มีผู้เช่าเต็มตลอด สามารถให้ Yield เกิน 7–8% ได้ หรือหากเป็นอพาร์ทเม้นท์ที่เจ้าของดำเนินธุรกิจเสริมเช่น ติดตั้งตู้หยอดเหรียญ (เครื่องซักผ้า เครื่องน้ำดื่ม) เก็บค่าเช่าร้านค้าชั้นล่างเพิ่มเติม รายได้ส่วนนี้จะเสริมให้ผลตอบแทนโดยรวมสูงขึ้นอีกเล็กน้อย นอกจากนี้การปรับบางห้องเป็นปล่อยเช่ารายวันช่วงไฮซีซั่นก็สามารถดันผลตอบแทนต่อปีให้สูงขึ้นได้ แต่ต้องแลกมากับความผันผวนที่เพิ่มขึ้น
  • กรณีอพาร์ทเม้นท์ที่ขายพร้อมผู้เช่าเต็ม: ผู้ขายมักจะโฆษณาว่า “ผู้เช่าเต็ม รายได้ทันที” ซึ่งโดยทั่วไปแปลว่าอัตราการเข้าพักใกล้ 100% ณ วันที่ประกาศขาย หากผู้ซื้อดำเนินการต่อเนื่องก็จะมีรายรับทันทีไม่ต้องหาผู้เช่าใหม่ อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาว่าราคาที่ผู้ขายตั้งมานั้นคิดเป็น Yield เท่าใด ถ้าพบว่า Yield ต่ำกว่า 5% (เช่น ราคาขายสูงมากเมื่อเทียบรายได้ค่าเช่า) ผู้ลงทุนต้องชั่งใจว่า คุ้มค่าหรือไม่ เพราะอาจสะท้อนว่าราคาถูกบวกเก็งกำไรอนาคตไปแล้ว ระยะเวลาคืนทุนจะยาวนานขึ้น เช่น ซื้อกิจการ 30 ล้านบาท แต่รายได้สุทธิต่อปี 1 ล้านบาท เท่ากับ Yield ~3.3% ซึ่งต่ำไปหน่อยสำหรับการลงทุนลักษณะนี้ เว้นแต่จะมีโอกาสขึ้นค่าเช่าได้อีกมากหรือมูลค่าที่ดินจะขึ้นเร็ว
  • ผลตอบแทนเทียบกับต้นทุนการเงิน: ในสภาพเศรษฐกิจปี 2568 ที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ธุรกิจอสังหาฯ อยู่ประมาณ 5–6% การได้ Yield 5–7% ถือว่า พอเหมาะในการผ่อนธนาคารและมีกำไรส่วนเกิน แต่หาก Yield ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยมากอาจทำให้กระแสเงินสดติดลบ ผู้ลงทุนจึงควรคำนวณผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายทุกอย่าง (Net Yield) ให้รอบคอบ หากกู้เงินมาซื้อควรมีเงินดาวน์ในสัดส่วนที่ทำให้ภาระดอกเบี้ยไม่สูงเกินรายได้ค่าเช่า

ระยะเวลาคืนทุน: โดยทั่วไปการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ปล่อยเช่าอย่างอพาร์ทเม้นท์จะเป็นการลงทุนระยะยาว เช่น หากได้ผลตอบแทน 5% ต่อปี จะใช้เวลาประมาณ 20 ปีในการคืนทุนจากค่าเช่า (ไม่รวมการเติบโตของมูลค่าทรัพย์สิน) แต่ในทางปฏิบัติผู้ลงทุนมักได้รับกำไรจากมูลค่าที่ดิน/อาคารที่เพิ่มขึ้นเมื่อขายในอนาคตด้วย ดังนั้นการถือครองอพาร์ทเม้นท์นาน 5-10 ปีขึ้นไปในหัวหินที่แนวโน้มมูลค่าทรัพย์สินขาขึ้น นอกจากเก็บค่าเช่าแล้วยังอาจขายทำกำไรได้งามในภายหลัง

สรุป: ราคาซื้อขายและผลตอบแทนของอพาร์ทเม้นท์หัวหินในปี 2568 อยู่ในเกณฑ์ที่น่าดึงดูดใจในสายตานักลงทุน เมื่อเทียบกับสินทรัพย์การเงินอื่นๆ เช่น พันธบัตรหรือเงินฝากที่ให้ดอกเบี้ยต่ำกว่า 1-2% อย่างมาก ผลตอบแทนจากค่าเช่า 5-7% จึงเป็นจุดแข็ง ประกอบกับโอกาสสร้างกำไรส่วนต่างราคาในอนาคตด้วย แต่ทั้งนี้ความสำเร็จของการลงทุนจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการบริหารจัดการควบคุมต้นทุน รักษาอัตราการเช่าให้สูงสม่ำเสมอ และเลือกซื้อทรัพย์ในราคาที่เหมาะสมไม่แพงเกินจริง

แนวโน้มตลาดอพาร์ทเม้นท์หัวหินและกลุ่มผู้เช่า ปี 2568

แนวโน้มอุปสงค์-อุปทาน: ดังที่กล่าวในข้างต้น ปี 2568 ตลาดอพาร์ทเม้นท์หัวหินมีแนวโน้มอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่อุปทานใหม่เข้าสู่ตลาดจำกัด ทำให้ การแข่งขันด้านราคาไม่รุนแรง เจ้าของอสังหาฯ สามารถปรับค่าเช่าขึ้นได้ตามต้นทุนที่สูงขึ้น (เช่น ค่าน้ำค่าไฟหรือภาษีที่ดินที่ปรับตามราคาประเมิน) โดยไม่สูญเสียผู้เช่ามากนัก สำหรับอุปทานใหม่ แม้ยังมีผู้ประกอบการรายย่อยบางรายสร้างอพาร์ทเม้นท์ใหม่ออกมาขายหรือปล่อยเช่าเป็นระยะ แต่จำนวนไม่มากเมื่อเทียบกับคอนโดหรือบ้านจัดสรร ทั้งนี้เพราะที่ดินทำเลดีๆ ในหัวหินมักถูกใช้พัฒนาโครงการขนาดใหญ่ที่ขายเป็นยูนิตคอนโดมิเนียมหรือบ้านพักไปหมดแล้ว ผู้ที่ลงทุนอพาร์ทเม้นท์มักอาศัยซื้อที่ดินในซอยรองหรือย่านชานเมืองที่ราคายังไม่แพง แล้วปลูกสร้างอาคารเพื่อปล่อยเช่า จึงเป็นโอกาสของนักลงทุนรายกลาง-รายเล็ก ที่จะครอบครองตลาดเช่าระยะยาวในพื้นที่นั้นๆ โดยไม่ต้องแข่งขันกับบริษัทยักษ์ใหญ่โดยตรง

กลุ่มผู้เช่าในหัวหินที่มีบทบาทปี 2568:

  • พนักงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ: หัวหินเป็นเมืองท่องเที่ยว ฉะนั้นสัดส่วนแรงงานจำนวนมากอยู่ในภาคโรงแรม รีสอร์ท ร้านอาหาร สวนสนุก และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ดีมานด์ที่พักจากพนักงานเหล่านี้มีต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงนี้ที่ธุรกิจกลับมาฟื้นตัว หลายโรงแรมเปิดใหม่หรือขยายงาน ทำให้มีการจ้างงานเพิ่ม คนกลุ่มนี้มักมองหาอพาร์ทเม้นท์หรือห้องเช่าราคาเข้าถึงง่าย ใกล้ที่ทำงาน ซึ่งตอบโจทย์ทั้งหอพักและอพาร์ทเม้นท์ราคาประหยัดตามโซนต่างๆ ของหัวหิน
  • ข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจที่ย้ายมาปฏิบัติงาน: หัวหินมีสถานที่ราชการสำคัญ เช่น ศาลจังหวัด สำนักงานที่ดิน โรงพยาบาลรัฐ (รพ.หัวหิน) หน่วยงานเหล่านี้มักมีการหมุนเวียนโยกย้ายบุคลากรอยู่เรื่อยๆ เจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งจึงนิยมเช่าอพาร์ทเม้นท์อยู่แทนการซื้อบ้าน เพราะอาจปฏิบัติงานเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่ง การเลือกทำเลใกล้สถานที่ทำงานหรืออยู่ในเมืองเพื่อสะดวกเดินทางเป็นปัจจัยสำคัญ อพาร์ทเม้นท์คุณภาพดีในเมืองจึงได้รับความสนใจจากกลุ่มนี้
  • ครอบครัวชาวไทยที่ย้ายถิ่นฐาน/ทำงานทางไกล: แนวโน้ม Work from Anywhere และการแสวงหาคุณภาพชีวิตที่สงบขึ้นหลังโควิด กระตุ้นให้ครอบครัวคนไทยบางส่วนย้ายจากกรุงเทพฯ มาตั้งหลักที่หัวหิน บ้างก็เพราะสามารถทำงานทางไกลได้ หรือประกอบธุรกิจออนไลน์ไม่ยึดติดที่ บ้างก็เพื่อให้ลูกๆ ได้เติบโตในสภาพแวดล้อมที่ใกล้ชิดธรรมชาติ กลุ่มนี้บางรายอาจยังไม่พร้อมซื้อบ้านทันที จึงเช่าอยู่ก่อน (ทดลองใช้ชีวิตต่างจังหวัด) ห้องเช่าขนาด 1-2 ห้องนอนในอพาร์ทเม้นท์ที่สงบ ปลอดภัย เป็นที่ต้องการ เช่น ห้องชุดในเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์หรืออพาร์ทเม้นท์ที่มีพื้นที่กว้างขวาง ซึ่งตอบโจทย์ความเป็นส่วนตัวของครอบครัว
  • นักท่องเที่ยวต่างชาติระยะยาว (Long-stay Foreigners): เป็นกลุ่มที่เติบโตอย่างน่าจับตามองในหัวหินช่วงปี 2566–2568 เนื่องจากสถานการณ์ทั่วโลกที่ทำให้หลายคนมองหาประเทศปลายทางอากาศดี ค่าครองชีพไม่สูง และปลอดภัยสำหรับใช้ชีวิตหลังเกษียณหรือทำงานอิสระ หัวหินติดอันดับเมืองน่าอยู่ของชาวต่างชาติด้วยจุดเด่นด้าน สิ่งอำนวยความสะดวกครบครันและสังคมชาวต่างชาติที่มีอยู่เดิม (ร้านอาหารฝรั่ง แหล่งพบปะ เป็นต้น) ชาวต่างชาติเหล่านี้มักมองหาเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์หรือคอนโดเช่ารายเดือนที่สะดวกสบายใกล้ชายหาด ในช่วงไฮซีซั่นเราจะเห็นชาวยุโรปโดยเฉพาะ ชาวสแกนดิเนเวีย, เยอรมัน, รัสเซีย พักอาศัยตามอพาร์ทเม้นท์หัวหินจำนวนมาก บางคนพักยาว 3-6 เดือนแล้วกลับประเทศในฤดูร้อนของเขา เทรนด์นี้ยังคงดำเนินไปและมีแนวโน้มขยายสู่กลุ่มใหม่ๆ เช่น นักท่องเที่ยวจากจีนตอนใต้หรือเกาหลีที่สนใจลองใช้ชีวิตเมืองไทยหลังเกษียณ
  • นักศึกษาและวัยเริ่มทำงาน: หัวหินแม้จะไม่ได้เป็น “เมืองมหาวิทยาลัย” ใหญ่โต แต่ก็มีสถาบันอุดมศึกษาประจำจังหวัดและวิทยาลัยต่างๆ รวมถึงวิทยาลัยอาชีวะในพื้นที่ ทำให้มีดีมานด์หอพักนักศึกษาอยู่บ้าง โดยเฉพาะใกล้วิทยาเขตสวนดุสิตหรือวิทยาลัยการอาชีพหัวหิน เป็นต้น นอกจากนี้วัยเริ่มทำงานที่ยังโสดมักเลือกเช่าหอพักหรืออพาร์ทเม้นท์ราคาประหยัดก่อนเพื่อเก็บเงินซื้อบ้านในอนาคต กลุ่มนี้จะไวต่อระดับค่าเช่าและโปรโมชั่นต่างๆ อพาร์ทเม้นท์ที่ราคาเอื้อมถึงและมีสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานครบจะดึงดูดใจคนกลุ่มนี้

ปัจจัยอื่นๆ และแนวโน้มที่ควรจับตา:

  • ฤดูกาลท่องเที่ยวกับอัตราเช่า: หัวหินมีฤดูกาลท่องเที่ยวชัดเจน (High Season ช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ที่อากาศเย็นสบาย และช่วงวันหยุดยาวสงกรานต์/ปีใหม่) ในช่วงดังกล่าวบางอพาร์ทเม้นท์ที่เน้นนักท่องเที่ยวจะมีอัตราเข้าพักสูงมากถึง 90–100% ในขณะที่ช่วงโลว์ซีซั่น (หน้าฝนช่วงมิถุนายน-กันยายน) อาจลดลงบ้าง อย่างไรก็ตาม สำหรับอพาร์ทเม้นท์ที่เจาะกลุ่มผู้เช่ารายเดือนทั่วไป อัตราเช่าจะ ทรงตัวสูงตลอดทั้งปี ไม่แกว่งตามนักท่องเที่ยวมากนัก ความท้าทายคือผู้ลงทุนต้องตัดสินใจว่าจะจับตลาดไหนเป็นหลัก หากเน้นนักท่องเที่ยวก็ต้องบริหารแบบโรงแรมเพื่อรองรับช่วงคนเข้าพักมากๆ และหาวิธีเพิ่มรายได้ช่วงคนน้อย แต่ถ้าเน้นผู้เช่าประจำก็ควรรักษาฐานลูกค้าให้เต็มที่จะได้ไม่หวั่นไหวกับฤดูกาล
  • การแข่งขันจากที่พักรูปแบบอื่น: แม้อพาร์ทเม้นท์จะมีคู่แข่งโดยตรงน้อย แต่ก็ต้องเผชิญการแข่งขันทางอ้อมจาก คอนโดมิเนียมปล่อยเช่า และ บ้านเช่า/พูลวิลล่า ในหัวหิน ซึ่งเจ้าของรายย่อยนำมาปล่อยเช่าเองผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ปัจจุบันเจ้าของคอนโดหลายรายในหัวหินเลือกปล่อยเช่าระยะสั้นบน Airbnb หรือปล่อยเช่ารายปีให้ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติในราคาที่ใกล้เคียงกับอพาร์ทเม้นท์แต่ได้สิทธิ์ใช้สระว่ายน้ำ ฟิตเนสของโครงการ สิ่งนี้ทำให้ผู้เช่าบางส่วน (โดยเฉพาะชาวต่างชาติหรือคนทำงานที่ต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกครบ) หันไปเช่าคอนโดมากกว่าอพาร์ทเม้นท์ทั่วไป ผู้ประกอบการอพาร์ทเม้นท์จึงควรสร้างจุดเด่นแตกต่าง เช่น ทำเลที่ดีกว่าคอนโด (อยู่ใจกลางตลาดหรือใกล้ที่ทำงานมากกว่า), ตั้งราคาเช่าถูกกว่า, หรือเพิ่มบริการที่คอนโดไม่มี เช่น มีแม่บ้านทำความสะอาดสัปดาห์ละครั้ง เป็นต้น เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน
  • การปรับตัวด้านเทคโนโลยี: ผู้เช่ายุคใหม่คุ้นชินกับการค้นหาที่พักและทำธุรกรรมออนไลน์ เจ้าของอพาร์ทเม้นท์หัวหินจำนวนไม่น้อยเริ่มใช้ แพลตฟอร์มออนไลน์ในการปล่อยเช่า เช่น ลงประกาศบนเว็บไซต์เช่าที่พัก (RentHub, DDproperty, LivingInsider) และใช้สื่อสังคมออนไลน์สร้างเพจโปรโมทอพาร์ทเม้นท์ของตนเอง รวมถึงนำระบบดิจิทัลมาช่วยบริหารจัดการ เช่น แอปพลิเคชันเก็บค่าเช่า, ระบบคีย์การ์ด/รหัสผ่านเข้าตึก, การติดตั้งกล้องวงจรปิดที่ดูภาพผ่านมือถือ ฯลฯ แนวโน้มนี้จะมีมากขึ้น เพราะช่วยลดภาระและเพิ่มความพึงพอใจให้ผู้เช่า นักลงทุนควรพิจารณาลงทุนด้านเทคโนโลยีเหล่านี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงาน

สรุปแล้ว แนวโน้มปี 2568 บ่งชี้ว่าตลาดอพาร์ทเม้นท์หัวหินยังคงแข็งแรงจากดีมานด์ที่หลากหลาย ทั้งคนไทยและต่างชาติที่เข้ามาอยู่อาศัย อัตราการเช่าเฉลี่ยสูงและผลตอบแทนอยู่ในเกณฑ์ดี ผู้ลงทุนควรติดตามปัจจัยภายนอกที่อาจส่งผล เช่น นโยบายภาครัฐด้านการท่องเที่ยว (โครงการส่งเสริม “เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ” ที่หัวหิน-ชะอำเคยเป็นพื้นที่นำร่อง) หรือสถานการณ์เศรษฐกิจมหภาค ซึ่งอาจกระทบกำลังเช่าของผู้คน แต่โดยภาพรวม หัวหินยังคงเป็นตลาดอสังหาฯ ที่มีเสน่ห์และความยั่งยืน จากทั้งเสน่ห์ของเมืองเองและปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง

ข้อควรรู้ด้านกฎหมายในการซื้อและบริหารอพาร์ทเม้นท์

การลงทุนในอพาร์ทเม้นท์ไม่ใช่แค่เรื่องซื้อขายทรัพย์สิน แต่ยังหมายถึงการประกอบธุรกิจให้เช่าที่อยู่อาศัย ซึ่งมีกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องหลายประการ นักลงทุนควรศึกษาและปฏิบัติตามกฎหมายเหล่านี้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาภายหลัง ข้อควรรู้ด้านกฎหมายที่สำคัญมีดังต่อไปนี้:

  • ใบอนุญาตประกอบกิจการหอพัก: ตามพระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ.2558 หากผู้ลงทุนต้องการดำเนินธุรกิจประเภทหอพัก (โดยเฉพาะที่พักสำหรับนักเรียนนักศึกษาหรือผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 25 ปี) จะต้องขอใบอนุญาตประกอบกิจการหอพักเอกชนจากนายทะเบียนท้องถิ่นก่อนเปิดดำเนินการ หอพักจะอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เฉพาะ เช่น การกำหนดให้ผู้ดูแลหอพักต้องผ่านคุณสมบัติที่กฎหมายกำหนด, การทำสัญญาเช่าเป็นลายลักษณ์อักษรมาตรฐาน, การห้ามเก็บเงินประกันเกิน 1 เดือน, เวลาปิด-เปิดหอพัก ฯลฯ หากอพาร์ทเม้นท์ที่จะลงทุนตั้งใจจับตลาดนักศึกษา กลุ่มวัยรุ่น ควรสำรวจว่าขนาด/ลักษณะของกิจการเข้าข่ายหอพักต้องขอใบอนุญาตหรือไม่ (เช่น หอพักที่รับผู้พักหญิงต้องมีผู้จัดการหญิง, ต้องแยกโซนหญิงชายชัดเจน เป็นต้น) เพื่อดำเนินการให้ถูกต้อง
  • ใบอนุญาตโรงแรม (กรณีปล่อยเช่าระยะสั้น): กฎหมายไทยกำหนดว่าการให้เช่าที่พักอาศัยเป็นรายวันหรือรายสัปดาห์ ถือเป็นการประกอบกิจการโรงแรม ต้องได้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติโรงแรม พ.ศ.2547 เว้นแต่กรณีที่เข้าข่าย “บ้านพักรับรอง” (ไม่เกิน 4 ห้อง และรับผู้พักรวมไม่เกิน 20 คนโดยไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น) ซึ่งได้รับการยกเว้นบางส่วน ผู้ลงทุนที่มีแผนจะดัดแปลงอพาร์ทเม้นท์มาทำเป็นเกสต์เฮ้าส์หรือปล่อยเช่ารายวัน ควรยื่นขออนุญาตให้ถูกต้องต่อสำนักงานจังหวัด/กรรมการธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ในพื้นที่ ไม่เช่นนั้นหากถูกร้องเรียนหรือเจ้าหน้าที่ตรวจพบ อาจโดนสั่งปรับและให้หยุดดำเนินการได้ ในทางปฏิบัติ หลายคนอาจเริ่มจากการปล่อยเช่ารายวันเล็กน้อยปนกับรายเดือน แต่ควรตระหนักถึงความเสี่ยงทางกฎหมายนี้ด้วย
  • สัญญาเช่าและสิทธิผู้บริโภค: เมื่อปี 2018 สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้ออกประกาศให้ธุรกิจให้เช่าที่อยู่อาศัย (หมายถึงการปล่อยเช่าห้องพักตั้งแต่ 5 หน่วยขึ้นไปเป็นธุรกิจ) อยู่ภายใต้สัญญาควบคุมเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค หมายความว่า ผู้ประกอบการต้องทำสัญญาเช่าเป็นลายลักษณ์อักษรกับผู้เช่าทุกราย โดยมีรายละเอียดขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนด เช่น รายละเอียดห้องและทรัพย์สิน, อัตราค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ, เงินประกันไม่เกิน 1 เดือน, ค่าเช่าล่วงหน้าไม่เกิน 1 เดือน, เงื่อนไขการคืนเงินประกันภายใน 7 วันหลังสิ้นสุดสัญญา, เงื่อนไขการบอกเลิกสัญญา (ผู้เช่าสามารถบอกเลิกก่อนหมดสัญญาได้โดยแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 30 วัน) และห้ามมีข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม เช่น ปรับกรณีผู้เช่าย้ายออกก่อนกำหนดเกินค่าเช่า 1 เดือน, หรือริบเงินประกันโดยไม่มีเหตุ เป็นต้น ผู้ลงทุนควรจัดทำ สัญญาเช่ามาตรฐาน ที่เป็นธรรมตามประกาศสคบ. ซึ่งนอกจากป้องกันการฟ้องร้องแล้วยังสร้างความน่าเชื่อถือให้กิจการด้วย
  • ภาษีที่เกี่ยวข้อง: การถือครองและดำเนินธุรกิจอพาร์ทเม้นท์เกี่ยวพันกับภาษีหลายประเภท ได้แก่
    • ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง: อพาร์ทเม้นท์ถือเป็นการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ จัดอยู่ในประเภททรัพย์สินเพื่อการอื่นๆ ที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยของเจ้าของเอง อัตราภาษีจะสูงกว่าอสังหาฯ เพื่อการอยู่อาศัย (อัตราภาษีปี 2565 กำหนดเพดานไม่เกิน 0.3% ของราคาประเมินสำหรับทรัพย์สินเชิงพาณิชย์ และมีการปรับลดบางปี) เจ้าของต้องชำระภาษีที่ดินฯ กับเทศบาลหรืออบต. ท้องที่ทุกปี หากไม่ชำระจะมีเบี้ยปรับ
    • ภาษีเงินได้จากค่าเช่า: รายได้ค่าเช่าไม่ว่าบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลต้องนำมาคำนวณภาษีเงินได้ ประเภทบุคคลธรรมดาจะรวมเป็นเงินได้ประเภทที่ 5 ในแบบภ.ง.ด.ปี สามารถหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 30% (หรือเลือกหักตามจริงถ้ามีหลักฐาน) แล้วคิดภาษีตามฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ส่วนกรณีจดทะเบียนในรูปบริษัท รายได้ค่าเช่าหลังหักค่าใช้จ่ายจะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตรา 20% นอกจากนี้รายได้ค่าเช่ายังอาจมีภาระภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หากเจ้าของเป็นนิติบุคคลที่จด VAT และมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท/ปี ต้องเก็บ VAT 7% จากผู้เช่า (โดยปกติค่าเช่าที่พักอาศัยได้รับยกเว้น VAT แต่ค่าบริการเสริมบางอย่างอาจไม่ยกเว้น) ดังนั้นผู้ลงทุนควรวางแผนโครงสร้างภาษีให้เหมาะสมตั้งแต่แรกเริ่ม
    • อากรแสตมป์/ภาษีธุรกิจเฉพาะ: ส่วนนี้เกี่ยวกับการซื้อขายอาคาร กรณีขายอพาร์ทเม้นท์ทั้งหลัง ผู้ขายที่ถือในนามบุคคลธรรมดา หากถือครองเกิน 5 ปีและมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเกิน 1 ปีจะได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ แต่ส่วนใหญ่กรณีลงทุนนี้ไม่ได้เข้าเงื่อนไขดังกล่าว จะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% จากราคาขาย (หรือราคาประเมิน แล้วแต่อย่างใดสูงกว่า) และอากรแสตมป์ 0.5% แต่ถ้าเสียธุรกิจเฉพาะแล้วจะยกเว้นอากรแสตมป์ นอกจากนี้ยังมีภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายจากการขายอสังหาฯ ที่ผู้ขายต้องรับผิดชอบตามอัตราก้าวหน้า (คิดจากราคาประเมินและปีถือครอง) ต้นทุนภาษีในการซื้อขายเหล่านี้โดยมากตกกับผู้ขาย แต่ผู้ซื้อก็ควรรู้ไว้เพื่อประเมินภาพรวมการลงทุน
  • ข้อบังคับผังเมืองและการก่อสร้าง: หัวหินอยู่ภายใต้ผังเมืองรวมที่กำหนดโซนการใช้ประโยชน์ที่ดินและควบคุมความสูงอาคารบางพื้นที่ ผู้ลงทุนควรตรวจสอบว่า ที่ดินที่สนใจสามารถสร้างหรือใช้งานเป็นอพาร์ทเม้นท์ได้ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ เช่น ที่ดินบางแปลงอาจอยู่ในเขตสีเขียว (เกษตรกรรม) ที่ไม่อนุญาตสร้างอาคารพาณิชย์, หรืออยู่ใกล้เขตพระราชวังไกลกังวลที่อาจมีข้อจำกัดเรื่องความสูงอาคาร นอกจากนี้การดัดแปลงอาคารเก่าเพื่อใช้งานเป็นที่พักให้เช่า หากเพิ่มจำนวนห้องหรือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอาคารอย่างมีนัยสำคัญ จะต้องยื่นขออนุญาตต่อเทศบาลตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร ควรให้วิศวกร/สถาปนิกตรวจสอบแบบและโครงสร้าง เพื่อความปลอดภัยและถูกต้องตามกฎหมายนิติบุคคลอาคารชุด (ในกรณีที่จะขายห้องแยก ซึ่งอพาร์ทเม้นท์ปกติไม่เข้าข่าย) ก็ไม่เกี่ยวแต่หากในอนาคตคิดจะแปลงอพาร์ทเม้นท์เป็นคอนโดขายจะมีขั้นตอนต่างหากที่ยุ่งยาก
  • แรงงานและทรัพย์สินทางปัญญา: หากอพาร์ทเม้นท์มีการจ้างพนักงาน เช่น แม่บ้าน, รปภ., ช่างซ่อมประจำ ควรปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน เช่น ทำประกันสังคมให้ลูกจ้าง, จ่ายค่าจ้างไม่ต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำ, จัดวันหยุดตามสิทธิ เป็นต้น ในด้านทรัพย์สินทางปัญญา หากเปิดทีวีหรือเพลงในพื้นที่ส่วนกลาง ควรระวังเรื่องลิขสิทธิ์ (มีหน่วยงานมาตรวจบ่อยในแหล่งท่องเที่ยว) การติดกล้องวงจรปิดต้องไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลเกินไป เป็นต้น

การปฏิบัติตามข้อกฎหมายเหล่านี้นอกจากจะหลีกเลี่ยงบทลงโทษและปัญหาทางกฎหมายแล้ว ยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและความน่าเชื่อถือให้กับกิจการอพาร์ทเม้นท์ของผู้ลงทุนในระยะยาว ผู้เช่าจะรู้สึกปลอดภัยและมั่นใจเมื่อเห็นว่าเจ้าของดำเนินธุรกิจอย่างมืออาชีพ โปร่งใสตามกฎหมาย

ค่าใช้จ่ายในการซื้อและบริหารอพาร์ทเม้นท์

การลงทุนในอพาร์ทเม้นท์ ผู้ลงทุนควรเตรียมงบประมาณไม่ใช่เฉพาะค่าสินทรัพย์ (ค่าที่ดินและอาคาร) เท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงถึง ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นทั้งในการซื้อและการบริหารจัดการต่อเนื่อง ดังรายการต่อไปนี้:

  • ค่าใช้จ่ายในการซื้อทรัพย์สิน: ได้แก่
    • ค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์: อัตรา 2% ของราคาประเมิน/ราคาซื้อขาย (คิดจากราคาใดสูงกว่า) โดยปกตินิยมแบ่งชำระคนละครึ่งระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย (ฝ่ายละ 1%) หรือแล้วแต่ตกลง
    • ค่าธรรมเนียมจดจำนอง: กรณีขอสินเชื่อจากธนาคาร ผู้ซื้อจะมีค่าจดจำนอง 1% ของวงเงินจำนอง จ่ายให้กรมที่ดินตอนโอน
    • ภาษีธุรกิจเฉพาะ/อากร: (ตามที่ได้กล่าวในหัวข้อกฎหมาย) ปกติผู้ขายรับผิดชอบ แต่ในบางดีลอาจเจรจาให้ผู้ซื้อแบ่งภาระบางส่วน ควรรู้ไว้เพื่อไม่ประหลาดใจตอนวันโอน
    • ค่าตรวจสอบและค่ากฎหมาย: เพื่อความรอบคอบ ผู้ลงทุนอาจว่าจ้างทนายหรือนิติกรตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ ประวัติที่ดิน สัญญาต่างๆ รวมถึงค่าจ้างตัวแทนดำเนินการโอน หากไม่สะดวกทำเอง ค่าใช้จ่ายส่วนนี้แล้วแต่ตกลงกับผู้ให้บริการ
    • ค่า Commission นายหน้า: หากการซื้อผ่านนายหน้า บางครั้งผู้ซื้ออาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมนายหน้า (แต่ส่วนใหญ่ผู้ขายเป็นฝ่ายจ่าย) อัตรามาตรฐานคือ 3% ของราคาซื้อขาย
  • ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงซ่อมแซมก่อนเปิดดำเนินการ: อพาร์ทเม้นท์มือสองที่ซื้อมา มักต้องเผื่องบสำหรับซ่อมแซมปรับปรุงบ้าง เช่น ทาสีใหม่, ปรับปรุงห้องน้ำ, เปลี่ยนสุขภัณฑ์, ซ่อมแซมระบบไฟฟ้า-ประปา, ปรับภูมิทัศน์, ซื้อเฟอร์นิเจอร์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ชำรุด ฯลฯ งบประมาณส่วนนี้ขึ้นกับสภาพอาคารเดิม อาจใช้ตั้งแต่หลักแสนบาทไปจนถึงหลายล้านบาทสำหรับการรีโนเวทครั้งใหญ่ ควรตรวจสอบอาคารและประเมินค่าใช้จ่ายส่วนนี้ล่วงหน้าในการทำ Feasibility การลงทุน
  • ค่าใช้จ่ายดำเนินการรายเดือน/รายปี: เมื่อเริ่มเปิดให้เช่า ผู้ลงทุนจะมีต้นทุนในการบริหารจัดการต่อเนื่อง เช่น
    • ค่าน้ำ-ค่าไฟส่วนกลาง: ไฟฟ้าส่องสว่างบริเวณส่วนกลาง, ปั๊มน้ำ, ลิฟต์ (ถ้ามี), ทางเดิน, อินเทอร์เน็ตส่วนกลาง ฯลฯ ค่าไฟเหล่านี้ผู้เช่าไม่ได้จ่าย เจ้าของต้องรับผิดชอบ เช่นเดียวกับค่าน้ำส่วนกลาง (น้ำรดต้นไม้ ทำความสะอาด)
    • ค่าอินเทอร์เน็ต/เคเบิลทีวี: หากอพาร์ทเม้นท์มีบริการ Wi-Fi ครอบคลุมทั่วอาคาร หรือติดตั้งเคเบิลทีวีไว้ให้ผู้เช่า เจ้าของจะมีค่าบริการรายเดือนตามแพ็กเกจ
    • ค่าจ้างพนักงาน: กรณีมี ผู้ดูแลอาคาร (Manager/แม่บ้าน/รปภ.) ก็ต้องคิดถึงเงินเดือน โบนัส สวัสดิการเหล่านั้น หากอาคารขนาดเล็กและเจ้าของดูแลเองอาจประหยัดส่วนนี้ แต่สำหรับอาคาร 20-30 ห้องขึ้นไป มักต้องมีแม่บ้านทำความสะอาดพื้นที่ส่วนกลาง, มีช่างแวะมาตรวจสอบระบบตามระยะ หรือบางแห่งจ้าง รปภ. ดูแลความปลอดภัยช่วงกลางคืน เป็นต้น
    • ค่าบำรุงรักษาและซ่อมย่อย: ทุกเดือนควรมีงบประมาณเผื่อสำหรับการซ่อมเล็กๆ น้อยๆ ในห้องผู้เช่า เช่น ซ่อมก๊อกน้ำ ท่ออุดตัน เปลี่ยนหลอดไฟ เปลี่ยนอะไหล่แอร์ เติมน้ำยาแอร์ เป็นต้น รวมถึงค่าบำรุงรักษาระบบใหญ่เป็นครั้งคราว เช่น ตรวจเช็คปั๊มน้ำ ถังเก็บน้ำ ลิฟต์ (ต้องตรวจตามกฎหมายทุกปี), ระบบดับเพลิง เพื่อให้ใช้งานได้ปกติ ค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะมากหรือน้อยขึ้นกับอายุอาคารและจำนวนห้อง หากอาคารใหม่ปัญหายังน้อย แต่หากอาคารเก่าอาจมีเรื่องให้ซ่อมทุกเดือน
    • ค่าประกันภัย: การทำประกันภัยอาคารเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม แนะนำให้ทำ ประกันอัคคีภัยและภัยอื่นๆ สำหรับอาคารปล่อยเช่าโดยเฉพาะ ซึ่งครอบคลุมความเสียหายจากไฟไหม้ น้ำท่วม พายุ ฯลฯ ตามทุนประกัน รวมถึงอาจพิจารณาประกันความรับผิด (กรณีมีผู้ได้รับบาดเจ็บในทรัพย์สินเรา) ค่าเบี้ยประกันเป็นรายปี คิดตามทุนประกันและความเสี่ยง แต่ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่คุ้มค่าเพื่อบริหารความเสี่ยงในธุรกิจ
    • ค่าการตลาดและค่าดำเนินงานอื่น: เช่น ค่าโฆษณาออนไลน์ (หากลงประกาศแบบมีค่าใช้จ่ายเพื่อโปรโมท), ค่าทำป้ายชื่ออาคาร (อาจมีภาษีป้ายรายปีเล็กน้อย), ค่าเครื่องใช้สำนักงานต่างๆ (ใบเสร็จ สัญญา แบบฟอร์ม) สิ่งเหล่านี้แม้ไม่มากแต่ก็ควรบันทึกไว้ในโครงสร้างต้นทุน
  • ค่าภาษีและค่าธรรมเนียมต่อเนื่อง: นอกจากภาษีที่ดินฯ ที่ต้องจ่ายประจำปีตามที่กล่าวไป ผู้ลงทุนอาจต้องเสีย ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตหอพัก (มีอายุ 1 ปี ต้องต่ออายุ), ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบการธุรกิจโรงแรม (ต่ออายุทุก 5 ปี) รวมถึงค่าบริการผู้สอบบัญชีและค่าทำบัญชี (ถ้าดำเนินการในรูปแบบบริษัท) ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายประจำปีที่ต้องคำนึงถึง
  • ค่าใช้จ่ายฉุกเฉินและเงินสำรอง: ควรจัดสรรเงินสำรองฉุกเฉินไว้สำหรับเหตุไม่คาดฝัน เช่น ผู้เช่าค้างค่าเช่าแล้วหนีไป ทิ้งห้องเสียหายต้องซ่อม, เหตุการณ์อุบัติภัย (ไฟไหม้ น้ำท่วม) ต้องซ่อมใหญ่, หรือแม้แต่ช่วงที่ห้องว่างมากผิดปกติก็จะมีรายรับลดลง เงินกองทุนสำรอง 3-6 เดือนของค่าใช้จ่ายจะช่วยให้กิจการไม่สะดุด

โดยภาพรวม การบริหารอพาร์ทเม้นท์เปรียบเสมือนการบริหารบริษัทเล็กๆ แห่งหนึ่ง ผู้ลงทุนควรวางแผนด้านการเงินให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายเหล่านี้ในระยะยาว อย่าตั้งงบประมาณพอดีเกินไปจนไม่มีเงินหมุนเวียนเพียงพอ บ่อยครั้งที่ธุรกิจไปไม่รอดไม่ใช่เพราะขาดทุน แต่เพราะกระแสเงินสดติดลบ การกันเงินส่วนหนึ่งจากรายได้แต่ละเดือนเข้ากองทุนซ่อมบำรุงและภาษี จะช่วยแบ่งเบาภาระเมื่อต้องจ่ายก้อนใหญ่และทำให้การเงินของกิจการมั่นคงยิ่งขึ้น

เปรียบเทียบการลงทุนอพาร์ทเม้นท์กับคอนโด บ้าน และวิลล่า

สำหรับนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ อพาร์ทเม้นท์เป็นหนึ่งในทางเลือกนอกเหนือจากคอนโดมิเนียม บ้านเช่า หรือวิลล่าพูลวิลล่าเพื่อการท่องเที่ยว การเข้าใจข้อดีข้อด้อยของแต่ละรูปแบบจะช่วยในการตัดสินใจลงทุนให้เหมาะกับเป้าหมายและความพร้อมของตนเอง ดังนี้:

  • อพาร์ทเม้นท์ (ซื้อทั้งอาคารเพื่อปล่อยเช่า):
    ข้อดี: ผู้ลงทุนจะได้ครอบครอง สินทรัพย์ทั้งที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ทำให้ในระยะยาวมีโอกาสได้กำไรจากมูลค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้การมีหลายห้องเช่าในอาคารเดียวช่วยกระจายความเสี่ยงของรายได้ (ถ้ามีห้องว่างบางห้อง ยังมีรายได้จากห้องอื่นมาชดเชย) ต่างจากการลงทุนบ้านหรือคอนโดทีละยูนิตที่ถ้าว่างคือขาดรายได้ทั้งก้อน เจ้าของอพาร์ทเม้นท์ยังมี อิสระในการบริหารจัดการทรัพย์สิน สามารถปรับปรุง เปลี่ยนแปลง เพิ่มบริการ เพื่อเพิ่มมูลค่าได้ตามต้องการโดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากเจ้าของร่วมอื่นๆ นอกจากนี้อพาร์ทเม้นท์มักให้ ผลตอบแทนต่อบาทลงทุนสูงกว่า เช่น เงิน 20 ล้านบาทซื้อคอนโดได้อาจ 4-5 ห้อง แต่ซื้ออพาร์ทเม้นท์ได้ 20 ห้อง รายได้รวมจาก 20 ห้องมักจะมากกว่าจาก 5 ห้อง ในแง่กระแสเงินสดต่อเดือน
    ข้อด้อย: การลงทุนซื้ออพาร์ทเม้นท์ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ ไม่ว่าจะเงินทุนตัวเองหรือเงินกู้ก็ถือเป็นภาระผูกพันสูง การบริหารจัดการยุ่งยากกว่า เพราะต้องดูแลผู้เช่าหลายราย ดูแลอาคารขนาดใหญ่ มีบทบาทเหมือนผู้ประกอบการธุรกิจ ต้องเตรียมพร้อมทั้งเวลาและทักษะในการจัดการลูกค้าและทรัพย์สิน หากไม่มีประสบการณ์อาจต้องจ้างมืออาชีพมาช่วยดูแล (ซึ่งก็เป็นค่าใช้จ่ายเพิ่ม) อีกทั้ง สภาพคล่องของอพาร์ทเม้นท์ต่ำกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น คือเมื่อจะขาย อาจต้องใช้เวลานานในการหาผู้ซื้อที่มีเงินทุนสูงมาซื้อทั้งอาคาร แตกต่างจากคอนโดที่ขายแยกเป็นห้องได้ง่าย หรือบ้านที่คนทั่วไปซื้ออยู่อาศัยก็เยอะกว่า การประเมินราคาขายต่อของอพาร์ทเม้นท์ยังซับซ้อน ต้องพิจารณาศักยภาพรายได้ ไม่ได้อิงราคาตลาดง่ายๆ แบบคอนโด/บ้าน
  • คอนโดมิเนียม (ซื้อห้องชุดปล่อยเช่า):
    ข้อดี: ใช้เงินลงทุนน้อยกว่าอพาร์ทเม้นท์มาก ผู้ลงทุนรายย่อยสามารถเริ่มจากซื้อคอนโด 1 ห้อง (ในหัวหินราคาเริ่มต้นหลักล้านบาท) แล้วปล่อยเช่าได้เลย ความยุ่งยากในการบริหารต่ำ เพราะมีนิติบุคคลดูแลส่วนกลาง อาคาร ท่อ ทางเดิน สวน ให้ทั้งหมด เจ้าของแค่ดูแลเรื่องหาผู้เช่าและดูแลสภาพห้องของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้น ตลาดซื้อขายคอนโดมีสภาพคล่องสูงกว่า จะขายต่อก็ประกาศขายได้ง่าย ทั้งกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองและนักลงทุนด้วยกัน รวมถึงสามารถขายให้ชาวต่างชาติได้โดยตรง (ชาวต่างชาติถือกรรมสิทธิ์คอนโดได้ 49% ของพื้นที่โครงการ) ทำให้ฐานผู้ซื้อมากกว่าทรัพย์ประเภทอื่น ด้านผลตอบแทนแม้ต่อหน่วยจะไม่สูงเท่าอพาร์ทเม้นท์ แต่หากลงทุนหลายห้องในหลายโครงการก็ช่วยกระจายความเสี่ยงได้ระดับหนึ่ง
    ข้อด้อย: อัตราผลตอบแทนต่อหน่วยต่ำกว่า เพราะราคาห้องคอนโดโดยเฉลี่ยสูงกว่าราคาห้องเช่าอพาร์ทเม้นท์มาก (จ่าย 3 ล้านบาทเพื่อค่าเช่า 15,000 บาท/เดือน vs จ่าย 3 ล้านบาทซื้ออพาร์ทเม้นท์เล็กได้ 3 ห้อง ห้องละ 5,000 บาท/เดือน รวม 15,000 บาท/เดือนเท่ากัน) นอกจากนี้เจ้าของคอนโดต้องจ่าย ค่าส่วนกลางรายปี ให้โครงการ ซึ่งหักลบจากรายได้ค่าเช่าไป (หัวหินค่าส่วนกลางคอนโดประมาณ 40-60 บาทต่อตร.ม.ต่อเดือน ห้อง 30 ตร.ม.ก็ ~1,200 บาท/เดือน) ทำให้ Yield สุทธิต่ำลง อีกประการคือเจ้าของคอนโดไม่มีสิทธิปฏิบัติการกับทรัพย์สินส่วนกลางหรือปรับปรุงภายนอกเอง ต้องขึ้นอยู่กับมติที่ประชุมเจ้าของร่วม ดังนั้นหากโครงการมีปัญหาการบริหาร เช่น นิติบุคคลบริหารไม่ดี ปล่อยทรุดโทรม จะกระทบความสามารถปล่อยเช่าของเราด้วยแต่เราไปแก้ไขตรงๆ ไม่ได้ และที่สำคัญ การแข่งขันในตลาดเช่าคอนโดสูง โดยเฉพาะในช่วงที่มีโครงการใหม่สร้างเสร็จ จะมีคอนโดปล่อยเช่าแข่งกันจำนวนมาก ผู้เช่ามีทางเลือกหลากหลายกว่า จึงต่อรองราคาได้มากกว่า
  • บ้านเดี่ยว/ทาวน์เฮ้าส์ (บ้านเช่า):
    ข้อดี: การปล่อยเช่าบ้านทั้งหลังเหมาะกับผู้เช่าเป็น ครอบครัวหรือผู้บริหารระดับสูง ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว พื้นที่ใช้สอยเยอะกว่าอยู่คอนโด/อพาร์ทเม้นท์ ผลตอบแทนรายเดือนต่อยูนิตอาจสูง เช่น บ้านเดี่ยว 3 ห้องนอนในหัวหินอาจปล่อยเช่าได้ 25,000–40,000 บาท/เดือน ทั้งนี้ ผู้เช่าบ้านมักเช่าระยะยาวหลายปี และดูแลบ้านค่อนข้างดีเพราะรู้สึกเหมือนเป็นบ้านที่เขาอาศัยเอง เจ้าของบ้านมีภาระดูแลน้อยกว่าอพาร์ทเม้นท์ (แค่ 1 ครอบครัวแทนที่จะหลายๆ ห้อง) การลงทุนบ้านเช่ามี ทางออกที่ยืดหยุ่น เพราะถ้าช่วงไหนไม่มีผู้เช่า เจ้าของก็สามารถใช้พักผ่อนเองในวันหยุดหรือซ่อมแซมปรับปรุงเพิ่มมูลค่าได้ โดยไม่กระทบคนอื่น
    ข้อด้อย: ความเสี่ยงห้องว่าง 100% – ต่างจากอพาร์ทเม้นท์ที่ว่างบางห้อง บ้านมีหลังเดียวถ้าไม่มีผู้เช่าก็ขาดรายได้ทั้งหมด ในบางทำเลหัวหินบ้านเช่าไม่ได้เป็นที่ต้องการมากนัก (เพราะคนเช่ามักเลือกซื้อเลยถ้าจะอยู่ระยะยาว) ทำให้อัตราการหาผู้เช่าได้น้อยครั้งต่อปี ต้องยอมลดราคาเพื่อปิดดีล บางครั้งปล่อยว่างหลายเดือน นอกจากนี้ ค่าเฉลี่ยผลตอบแทนของบ้านเช่ามักต่ำ (ประมาณ 3–5% ต่อปี) เนื่องจากราคาบ้านและที่ดินสูงแต่ค่าเช่าขึ้นลงจำกัด ยิ่งถ้าเป็นบ้านหลังใหญ่ราคาแพง คนเช่าอาจไม่ค่อยมี ต้องพึ่งพาคนต่างชาติหรือองค์กรเช่าซึ่งไม่ได้มีกลุ่มใหญ่ การบำรุงรักษาบ้านยังเป็นภาระเจ้าของทั้งหมด (หลังคา รั้ว สวน ฯลฯ ไม่มีส่วนกลางดูแลให้เหมือนคอนโด) ค่าใช้จ่ายเหล่านี้บั่นทอนกำไรพอควร
  • วิลล่า/พูลวิลล่าเพื่อการลงทุนท่องเที่ยว:
    ข้อดี: พูลวิลล่า (บ้านเดี่ยวพร้อมสระว่ายน้ำและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการพักผ่อน) กำลังเป็นสินค้าดาวรุ่งในเมืองท่องเที่ยวอย่างหัวหิน นักลงทุนซื้อมาเพื่อปล่อยเช่ารายวัน/รายสัปดาห์ให้นักท่องเที่ยวแบบกลุ่มหรือครอบครัวใหญ่ ซึ่งยินดีจ่ายค่าเช่าสูงเพื่อแลกกับความเป็นส่วนตัวและปาร์ตี้สังสรรค์ได้เต็มที่ รายได้ต่อคืนของพูลวิลล่าสูงมาก เช่น หลังหนึ่งอาจปล่อยได้คืนละ 8,000–15,000 บาท ขึ้นกับขนาดและทำเล หากมีทีมการตลาดและบริหารดี อัตราการเข้าพักสูง ก็สามารถสร้างผลตอบแทนรวมต่อปีได้ถึงระดับ 8-10% หรือมากกว่า (บางโครงการขายพูลวิลล่าพร้อมการันตีผลตอบแทน 5 ปีแรกให้ผู้ซื้อลงทุน) ข้อดีอีกอย่างคือ ผู้ลงทุนสามารถใช้ประโยชน์ส่วนตัวได้ เช่น พาครอบครัวไปพักผ่อนในวันที่ไม่มีลูกค้าเช่า ถือเป็น Lifestyle Investment ไปในตัว
    ข้อด้อย: การปล่อยเช่าพูลวิลล่าใกล้เคียงกับการทำโรงแรมขนาดเล็ก เจ้าของต้องเตรียมพร้อมด้านการบริการมากมาย ทั้งจัดหาคนดูแลทำความสะอาดสระและบ้านหลังแขกเช็คเอาท์, การตลาดออนไลน์ตอบแชทลูกค้าตลอด, บำรุงรักษาสิ่งอำนวยความสะดวกไม่ให้ชำรุด เช่น ปั๊มสระ เครื่องกรอง เครื่องครัว ฯลฯ และที่สำคัญ รายได้ขึ้นกับการท่องเที่ยวอย่างมาก หากเกิดวิกฤตที่นักท่องเที่ยวลดลง (เช่น โควิด หรือภาวะเศรษฐกิจถดถอย) พูลวิลล่าจะได้รับผลกระทบก่อนเพื่อนเพราะค่าเช่าสูง ผู้คนรัดเข็มขัดก็จะไม่เช่า อีกทั้งในเชิงกฎหมาย พูลวิลล่าที่ปล่อยเช่ารายวันก็ถือว่าต้องมีใบอนุญาตโรงแรมเช่นกัน แต่หลายแห่งยังไม่ได้จัดการ เรื่องนี้อาจกลายเป็นความเสี่ยงหากภาครัฐเข้มงวดขึ้นในอนาคต

สรุปการเปรียบเทียบ: หากนักลงทุนต้องการ รายได้มั่นคงระยะยาวแบบเสือนอนกิน มีเวลาบริหารและเงินทุนพร้อม อพาร์ทเม้นท์ทั้งหลังเป็นทางเลือกที่ดีเพราะได้สินทรัพย์ก้อนใหญ่และกระแสเงินสดต่อเนื่อง แต่ถ้าต้องการ เริ่มลงทุนเล็กๆ ความเสี่ยงต่ำ สภาพคล่องสูง คอนโดปล่อยเช่าอาจเหมาะกว่า ส่วนบ้านหรือพูลวิลล่าเหมาะกับผู้ที่ ชอบการลงทุนแบบกึ่งใช้งานเองกึ่งปล่อยเช่า และพร้อมรับความผันผวน โดยบางคนก็ใช้กลยุทธ์ผสมผสาน เช่น ลงทุนทั้งคอนโดและอพาร์ทเม้นท์ควบคู่ หรือซื้อพูลวิลล่าไว้หนึ่งหลังพร้อมกับมีอพาร์ทเม้นท์หลังเล็กๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง ทั้งนี้ทุกแบบล้วนมีโอกาสและความเสี่ยง จึงควรพิจารณาปัจจัยส่วนบุคคลและเป้าหมายการลงทุนประกอบกันอย่างรอบคอบ

ข้อควรระวังและเทคนิคการตรวจสอบอพาร์ทเม้นท์ก่อนลงทุน

การจะซื้ออพาร์ทเม้นท์สักแห่ง หรือแม้แต่การลงทุนสร้างเอง ผู้ลงทุนควรตรวจสอบรายละเอียดต่างๆ อย่างถี่ถ้วน เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเจอปัญหาภายหลัง เนื่องจากเงินลงทุนสูงและการแก้ไขทีหลังอาจทำได้ยาก หัวข้อนี้จะรวบรวม ข้อควรระวัง และ เทคนิคการตรวจสอบ (Due Diligence) ที่ควรทำก่อนตัดสินใจลงทุนในอพาร์ทเม้นท์หัวหิน:

  • ตรวจสอบกรรมสิทธิ์และเอกสารสิทธิ์ที่ดิน: ขั้นแรกสุดคือ เช็กโฉนดที่ดิน ที่อพาร์ทเม้นท์ตั้งอยู่ว่าเป็นชนิดโฉนดที่เป็นกรรมสิทธิ์สมบูรณ์หรือไม่ (ควรเป็นโฉนด น.ส.4 จ. ที่ไม่มีข้อจำกัดการโอน) ตรวจดูเนื้อที่ตรงตามที่ประกาศหรือไม่ แนวเขตที่ดินมีรุกล้ำหรือมีปัญหากับเพื่อนบ้านหรือไม่ ควรขอสำเนาโฉนดและนำไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดินหรือระบบออนไลน์ (ถ้ามี) ดูว่ามีการจำนองหรือภาระผูกพันอะไรจดทะเบียนอยู่หรือไม่ หากมีต้องตกลงให้ผู้ขายปลดจำนองก่อนหรือดำเนินการอย่างไรต่อไป นอกจากนี้ดู ผังเมืองรวม ว่าที่ดินอยู่ในสีอะไร ย่านนั้นอนุญาตใช้ประโยชน์เพื่อที่พักอาศัยหรือไม่ (กรณีจะเปลี่ยนแปลงต่อเติม) หากอพาร์ทเม้นท์สร้างมานานอาจไม่มีปัญหา แต่หากเป็นที่ดินเปล่าที่จะสร้างใหม่ก็ต้องดูข้อกำหนดผังเมืองและกฎหมายอาคาร เช่น ความสูงที่สร้างได้, ระยะร่นจากถนน-เขตที่ดิน, ที่จอดรถขั้นต่ำที่ต้องมี ฯลฯ
  • ตรวจสอบใบอนุญาตก่อสร้างและแบบแปลน (สำหรับอาคารที่มีอยู่แล้ว): ขอเอกสาร ใบอนุญาตปลูกสร้างอาคาร (แบบ อ.1 หรือใบขออนุญาต) จากผู้ขาย รวมถึงแบบแปลนอาคาร ถ้าเป็นไปได้เพื่อดูว่าอาคารก่อสร้างถูกต้องตามที่ขออนุญาตหรือไม่ เช่น ขออนุญาตสร้างอาคารพักอาศัย จำนวนห้องตามแบบตรงกับของจริงหรือไม่ บางกรณีอาคารเก่าอาจมีการต่อเติมภายหลังโดยไม่ขออนุญาต (เช่น กั้นห้องเพิ่ม ทำชั้นลอยเพิ่ม) ซึ่งอาจมีความเสี่ยงทางกฎหมายหากตรวจพบ ผู้ซื้อต้องประเมินว่าจะรับความเสี่ยงได้หรือไม่หรือให้ผู้ขายดำเนินการแก้ไขให้เรียบร้อยก่อนโอน
  • สำรวจสภาพอาคารและประเมินค่าซ่อม: ควรพาช่างผู้ชำนาญ (วิศวกรโยธาหรือสถาปนิก) ไปตรวจอาคาร ประเมินโครงสร้าง เช่น ดูรอยร้าว ผนังทรุด ตัวอาคารเอียงหรือไม่, สภาพหลังคา ฝ้าเพดาน มีรอยน้ำรั่วซึมหรือเชื้อราหรือไม่, ระบบไฟฟ้า ประปา ท่อน้ำทิ้ง ยังใช้งานได้ดีหรือควรเปลี่ยนใหม่, ระบบปั๊มน้ำ ถังเก็บน้ำ ขนาดพอกับจำนวนผู้พักอาศัยหรือไม่, ถ้ามีลิฟต์ให้เช็กว่ายังใช้งานดี ตรวจสอบประวัติการตรวจและบำรุงรักษา ลิสต์รายการซ่อมที่จำเป็น และประมาณการค่าใช้จ่าย เพื่อใช้เจรจาราคาหรือวางแผนหลังซื้อ การตรวจสภาพนี้รวมถึงการดู ห้องพักตัวอย่าง สัก 2-3 ห้อง (ห้องมุม, ห้องกลาง) ดูพื้น กระเบื้อง สุขภัณฑ์ ประตูหน้าต่าง ว่ายังอยู่ในสภาพดีหรือต้องซ่อมเยอะหรือไม่
  • ตรวจสอบอัตราการเช่าและรายได้จริง: หากซื้อกิจการที่ดำเนินการอยู่ สิ่งสำคัญคือตรวจสอบว่า ผู้เช่าปัจจุบันมีจำนวนเท่าใด อัตราเข้าพักกี่เปอร์เซ็นต์ ควรขอรายการค่าเช่าและค่าใช้จ่ายย้อนหลังอย่างน้อย 6-12 เดือน จากผู้ขาย (เช่น รายงานบัญชีรายรับรายจ่าย) เพื่อดูภาพรวมรายได้ที่แท้จริง อย่าดูแค่เดือนล่าสุดเพราะอาจเป็นช่วงไฮซีซั่นที่รายได้สูงผิดปกติ หรือผู้ขายอาจเพิ่งปล่อยห้องเต็มเพื่อโชว์ตัวเลข ควรดูทั้งปีเพื่อประเมินฤดูกาลด้วย นอกจากนี้ พิจารณาค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ที่กิจการมี เช่น ค่าน้ำไฟส่วนกลาง เงินเดือนพนักงาน อัตราการเก็บค่าเช่าได้จริง (มีห้องไหนค้างจ่ายบ้าง?) ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เราคำนวณกระแสเงินสดสุทธิและผลตอบแทนได้แม่นยำ อย่าอายที่จะขอหลักฐาน เช่น ใบเสร็จค่าน้ำค่าไฟ ใบกำกับภาษีหรือบิลต่างๆ มายืนยันตัวเลข
  • พูดคุยกับผู้เช่าหรือผู้ดูแลปัจจุบัน (ถ้าเป็นไปได้): การได้ข้อมูลปากต่อปากจากคนที่อาศัยหรือทำงานที่อพาร์ทเม้นท์นั้นจะช่วยเปิดมุมมองเพิ่มเติม เช่น ถ้าคุยกับแม่บ้าน/ผู้ดูแล เราอาจได้รู้ว่าที่ผ่านมาผู้เช่าชอบบ่นเรื่องอะไร (น้ำไม่ไหล? อินเทอร์เน็ตช้า?) หรือมีปัญหาทะเลาะกันบ่อยไหม ความเห็นจากผู้เช่าสักคนสองคน (อาจลองสอบถามแบบไม่เป็นทางการ เช่น ทำทีเป็นลูกค้าจะมาเช่า แล้วถามความเห็น) จะรู้ว่า กลุ่มผู้เช่าเป็นใคร บรรยากาศอาคารดีหรือไม่ ปลอดภัยไหม ข้อมูลเหล่านี้บางครั้งผู้ขายอาจไม่บอกหรือไม่ทราบละเอียดเท่าคนในสถานที่
  • สำรวจพื้นที่โดยรอบและสิ่งแวดล้อม: ดู ทำเลที่ตั้งจริง ของอพาร์ทเม้นท์ว่ามีสิ่งรบกวนหรือไม่ เช่น ข้างๆ เป็นบาร์ผับเสียงดังหรือเปล่า, อยู่ติดชุมชนแออัดหรือมีขยะมูลฝอยส่งกลิ่นไหม, ถนนทางเข้ากว้างพอไหม สภาพดีหรือขรุขระน้ำท่วม, ยามค่ำคืนมีไฟส่องสว่างปลอดภัยหรือเปล่า, เพื่อนบ้านข้างเคียงเป็นอะไร (ถ้าอยู่ติดที่รกร้างก็อาจเสี่ยงโดนยึดเป็นที่มั่วสุม เป็นต้น) และสำคัญมาก ดูศักยภาพทำเลในอนาคต เช่น มีโครงการก่อสร้างใกล้เคียงที่จะเกิดขึ้นหรือไม่ (ถ้ามีตึกสูงสร้างข้างๆ อาจบดบังวิวหรือเกิดเสียงดังในอนาคต), ที่ดินเปล่าข้างเคียงมีโอกาสถูกพัฒนาเป็นคู่แข่งหรือเปล่า, หรือโครงสร้างพื้นฐานใหม่อย่างสถานีรถไฟ/ถนนตัดใหม่ อยู่ในรัศมีที่เอื้อต่ออพาร์ทเม้นท์แค่ไหน
  • วิเคราะห์ศักยภาพการปรับปรุงและต่อยอด: หลังตรวจสภาพแล้ว ควรคิดต่อว่า เราสามารถเพิ่มมูลค่าให้อพาร์ทเม้นท์นี้ได้อย่างไรบ้าง เช่น มีพื้นที่ว่างเหลือที่สามารถสร้างห้องเพิ่มในอนาคตได้ไหม มีพื้นที่ชั้นล่างที่ปล่อยว่างซึ่งอาจปรับเป็นร้านค้า คาเฟ่ หรือ Co-working space เล็กๆ เพิ่มบริการให้ผู้เช่าหรือเก็บค่าเช่าได้หรือไม่ มีดาดฟ้า/ชั้นลอยที่ปรับเป็นพื้นที่ส่วนกลางหรือห้องพิเศษเพิ่มรายได้หรือเปล่า การเห็นช่องเหล่านี้จะทำให้ประเมินได้ว่าการลงทุนนี้มี upside แค่ไหน หรือเต็มที่แล้ว
  • ประเมินความเสี่ยงเฉพาะตัวทรัพย์: เช่น ถ้าอาคารอยู่ติดทะเล ควรถามหามาตรการป้องกันการผุกร่อนจากไอเค็มทะเล, ถ้าอยู่ใกล้ทางรถไฟ เสียงรถไฟรบกวนมากไหม (อาจลองไปฟังช่วงรถไฟผ่าน), อยู่ใกล้สนามบินก็เช็คเสียงเครื่องบิน, บางพื้นที่หัวหินมีลิงหรือสัตว์ป่าลงมารบกวน (แถวเขาตะเกียบมีลิง) ต้องรู้เพื่อเตรียมวิธีรับมือ ปัญหาเหล่านี้หากไม่ยอมรับตั้งแต่แรกอาจทำให้ผู้เช่าหนีได้
  • ตรวจสอบกฎหมายและข้อบังคับที่อาจกระทบ: ดังที่กล่าวในหัวข้อกฎหมาย หากอาคารนี้เคยจดทะเบียนเป็นหอพักหรือเคยได้รับใบอนุญาตอะไร ผู้ซื้อควรขอดูและทราบเงื่อนไข เช่น ถ้าเป็นหอพัก มีข้อกำหนดต้องทำตามทุกปีหรือไม่, ถ้ามีใบ ร.ง.4 (โรงงาน) หรือใบอนุญาตอื่นพ่วงมากับที่ (บางที่อาจเคยทำอย่างอื่นมาก่อน) ต้องเคลียร์อย่างไร ควรคุยกับหน่วยงานท้องถิ่น (เทศบาล/อบต.) เพื่อทำความเข้าใจสถานะของอาคารด้วย
  • เงื่อนไขสัญญาจะซื้อจะขายที่เป็นธรรม: หลังพิจารณาทุกอย่างและตัดสินใจจะซื้อ ควรทำข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรกับผู้ขายระบุเงื่อนไขต่างๆ ให้ชัด เช่น รายการทรัพย์สินที่แถมมาด้วย (เฟอร์นิเจอร์, เครื่องใช้ไฟฟ้า, ระบบต่างๆ), กรณีผู้เช่าที่มีอยู่จะโอนสัญญาเช่าอย่างไร ผู้ขายต้องช่วยแจ้งผู้เช่าหรือไม่, ค่าน้ำค่าไฟที่เก็บล่วงหน้าหรือเงินประกันที่ผู้เช่าจ่ายไว้จะโอนให้ผู้ซื้ออย่างไร, ภาระภาษีค้างจ่ายหรือค่าส่วนกลาง (ถ้ามี) ใครรับผิดชอบ, การโอนพนักงาน (ถ้าจะรับพนักงานเดิมมาทำต่อ) จะทำอย่างไร, ตลอดจนระบุวันที่โอนกรรมสิทธิ์ ราคา และค่าธรรมเนียมที่ตกลงกัน เพื่อให้ไม่มีข้อขัดแย้งทีหลัง

ข้อควรระวังเหล่านี้อาจดูมากมาย แต่จำเป็นสำหรับการลงทุนที่ใช้เงินสูงอย่างอพาร์ทเม้นท์ การตรวจสอบรอบด้านจะช่วยให้ผู้ลงทุนมั่นใจว่าทรัพย์ที่ได้มาคุ้มค่า ปลอดปัญหาซ่อนเร้น และพร้อมสร้างผลตอบแทนตามที่คาดหวังไว้ อย่าลืมว่า ความเสี่ยงลดได้ด้วยการเตรียมพร้อมข้อมูล การตัดสินใจอย่างรีบเร่งโดยไม่ตรวจสอบเพียงเพราะกลัวคนอื่นตัดหน้า อาจนำไปสู่ความเสียหายภายหลังที่ไม่คุ้มกัน

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

ถาม: ต้องใช้งบประมาณเท่าไรในการซื้ออพาร์ทเม้นท์ในหัวหิน?
ตอบ: งบประมาณขึ้นอยู่กับขนาดและทำเลของอพาร์ทเม้นท์ที่ต้องการซื้อ อพาร์ทเม้นท์เล็ก 10–15 ห้องในชานเมือง อาจใช้เงินประมาณหลักสิบล้านบาทต้นๆ (เช่น 10–15 ล้านบาท) ในขณะที่ อพาร์ทเม้นท์ขนาดกลาง 20–30 ห้องในทำเลตัวเมือง อาจอยู่ในช่วง 20–40 ล้านบาท ส่วน อพาร์ทเม้นท์ขนาดใหญ่หรือทำเลติดทะเล ราคาสามารถสูงถึง 50–100 ล้านบาทหรือมากกว่า อย่าลืมเผื่องบอีกประมาณ 5-10% ของราคาซื้อสำหรับค่าโอนและค่าปรับปรุงซ่อมแซมก่อนเปิดดำเนินการจริง

ถาม: ผลตอบแทนจากการลงทุนอพาร์ทเม้นท์ในหัวหินอยู่ที่ประมาณเท่าไร?
ตอบ: โดยทั่วไปผลตอบแทนจากค่าเช่าหรือ Rental Yield ของอพาร์ทเม้นท์หัวหินอยู่ราว 5–7% ต่อปี สำหรับการปล่อยเช่ารายเดือนตามปกติ ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี ยกตัวอย่างเช่น ลงทุนซื้อ 20 ล้านบาท อาจได้ค่าเช่าประมาณปีละ 1.0–1.4 ล้านบาท (คิดเป็น 5-7%) ทั้งนี้ผลตอบแทนจริงจะขึ้นอยู่กับอัตราการเช่าและการควบคุมค่าใช้จ่ายของผู้บริหาร หากสามารถเพิ่มรายได้ (เช่น ปล่อยเช่ารายวันในบางห้องช่วงไฮซีซั่น หรือเก็บค่าบริการเสริม) ก็อาจดันผลตอบแทนให้สูงขึ้นเกิน 8% ได้ ในทางกลับกัน ถ้าอาคารมีห้องว่างมากหรือค่าใช้จ่ายบริหารสูง ผลตอบแทนอาจลดต่ำกว่า 5% ได้เช่นกัน

ถาม: ผู้เช่าในหัวหินมีตลอดทั้งปีหรือไม่? จะได้รับผลกระทบจากฤดูกาลท่องเที่ยวอย่างไร?
ตอบ: หัวหินมีทั้งผู้เช่าที่พักอาศัยระยะยาว (กลุ่มคนทำงานท้องถิ่น ข้าราชการ ครอบครัวต่างชาติที่อยู่เป็นปี) และผู้เช่าระยะสั้นตามฤดูกาล (นักท่องเที่ยวไทยสุดสัปดาห์ นักท่องเที่ยวต่างชาติหนีหนาว) หากอพาร์ทเม้นท์ของคุณจับตลาดผู้เช่ารายเดือนทั่วไป คุณจะมี ผู้เช่าค่อนข้างสม่ำเสมอตลอดปี ฤดูกาลอาจมีผลบ้างเช่น บางคนย้ายออกช่วงปลายปีแล้วมีคนใหม่เข้ามาต้นปี แต่โดยรวมอัตราเช่าจะคงที่ เช่น 70–90% ตลอดปี ไม่ถึงกับวูบวาบ แต่ถ้าคุณเน้นปล่อยเช่ารายวัน/รายสัปดาห์ให้กลุ่มนักท่องเที่ยว ฤดูท่องเที่ยว (พ.ย.–ก.พ.) ห้องจะเต็มและทำรายได้สูงมาก แต่หน้าฝน (ก.ค.–ก.ย.) อาจเงียบ ต้องทำใจกับความผันผวนนี้ ทางแก้คือต้องปรับกลยุทธ์การตลาด เช่น ลดราคาโปรโมชั่นดึงดูดคนไทยมาพักผ่อนช่วงโลว์ซีซั่น หรือหันปล่อยเช่ารายเดือนราคาพิเศษในช่วงที่นักท่องเที่ยวน้อย เพื่อให้มีรายได้บางส่วนช่วยค่าใช้จ่าย

ถาม: จำเป็นต้องมีใบอนุญาตอะไรบ้างในการทำธุรกิจอพาร์ทเม้นท์?
ตอบ: กรณีปล่อยเช่าระยะยาว (รายเดือนขึ้นไป) โดยทั่วไปไม่ต้องมีใบอนุญาตพิเศษ ยกเว้นว่าคุณทำเป็น “หอพัก” สำหรับนักเรียนนักศึกษาตามกฎหมายหอพัก ก็ต้องขอใบอนุญาตประกอบกิจการหอพักจากกรมกิจการเด็กและเยาวชน และปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่กำหนด ส่วน กรณีปล่อยเช่ารายวัน/รายสัปดาห์ จะเข้าข่ายธุรกิจโรงแรม ควรขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมจากกรมการท่องเที่ยว นอกจากนี้กิจการให้เช่าที่อยู่อาศัยที่มีห้องเช่าตั้งแต่ 5 ห้องขึ้นไป ต้องทำสัญญาเช่าตามประกาศคุ้มครองผู้บริโภค (ซึ่งเป็นหน้าที่ตามกฎหมาย ไม่ใช่ใบอนุญาตแต่เป็นข้อกำหนดที่ต้องปฏิบัติ) สรุปคือ ก่อนดำเนินการควรตรวจสอบว่าธุรกิจของคุณเข้าข่ายข้อบังคับพิเศษใดๆ หรือไม่และจัดการให้ถูกต้อง

ถาม: ควรซื้ออพาร์ทเม้นท์ที่มีผู้เช่าอยู่แล้วหรือสร้างใหม่เองดีกว่า?
ตอบ: แต่ละทางมีข้อดีต่างกัน การซื้ออพาร์ทเม้นท์ที่ดำเนินการอยู่แล้ว คุณจะได้รับรายได้ทันที มีฐานผู้เช่าเดิม ไม่ต้องเสียเวลาการตลาดนาน แต่ราคาซื้ออาจสูงเพราะผู้ขายคิดมูลค่ากิจการเข้าไปด้วย และอาคารอาจต้องซ่อมปรับปรุงบ้างตามสภาพอายุ ขณะที่การสร้างใหม่เอง คุณได้ออกแบบตามต้องการ อาคารใหม่ทันสมัย ประหยัดค่าซ่อมในช่วงแรก และต้นทุนต่อหน่วยอาจถูกกว่า (ถ้าคุมงานก่อสร้างดี) แต่ข้อเสียคือ ใช้เวลานานและมีความเสี่ยงระหว่างสร้าง ทั้งเรื่องงบประมาณบานปลาย อาคารเสร็จแล้วต้องใช้เวลา Ramping up หาผู้เช่าให้เต็ม ซึ่งอาจกินเวลา 6 เดือนถึง 2 ปีตามภาวะตลาด ช่วงแรกอาจยังไม่มีกำไร ต้องมีทุนหมุนรองรับ ดังนั้นหากคุณไม่มีประสบการณ์ก่อสร้างหรือไม่สะดวกจัดการงานก่อสร้างเอง การซื้อกิจการที่มีอยู่แล้วจะปลอดภัยและง่ายกว่า แต่ถ้าคุณมีที่ดินเปล่าอยู่แล้วหรือมีแผนชัดเจนในการสร้างที่พักรูปแบบใหม่ที่โดดเด่น การสร้างเองก็อาจให้ผลตอบแทนระยะยาวที่ดีกว่า

ถาม: ลงทุนซื้ออพาร์ทเม้นท์ทั้งหลังกับซื้อคอนโดหลายๆ ห้องปล่อยเช่า แบบไหนดีกว่ากัน?
ตอบ: ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและความพร้อมของคุณ: ถ้าคุณต้องการ เป็นเจ้าของสินทรัพย์ขนาดใหญ่และพร้อมจะบริหาร การซื้ออพาร์ทเม้นท์ทั้งหลังจะให้กำไรจากการดำเนินงานเต็มที่กว่าและควบคุมทุกอย่างได้ แต่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่และทุ่มเทเวลาบริหารสูง ในทางกลับกัน การซื้อคอนโดหลายๆ ห้อง (อาจกระจายในหลายโครงการ) ช่วยกระจายความเสี่ยงด้านทำเล เช่น ถ้าเศรษฐกิจไม่ดีในหัวหินก็อาจยังมีห้องปล่อยเช่าในเมืองอื่นที่ไปได้ นอกจากนี้คอนโดสามารถขายออกเป็นห้องๆ ได้ง่ายกว่าเมื่ออยากเปลี่ยนการลงทุน ข้อเสียคือ ผลตอบแทนรวมอาจไม่สูงเท่า เพราะมีต้นทุนแฝงจากค่าส่วนกลางและราคาซื้อคอนโดที่แพงกว่า ในเชิงบริหารง่ายกว่าก็จริง แต่ก็ไม่ได้ไร้ปัญหา (ต้องประสานงานกับนิติบุคคล แต่ละที่กฎต่างกัน และต้องหาผู้เช่าเองเหมือนกัน) โดยสรุป หากคุณมีทุนหนาและต้องการทำธุรกิจจริงจัง อพาร์ทเม้นท์จะคุ้มค่ากว่า แต่ถ้าคุณเริ่มต้นและยังอยากถือครองสินทรัพย์ที่ยืดหยุ่นขายต่อได้ง่าย คอนโดหลายห้องก็เป็นทางเลือกที่ลดภาระลงมา

ถาม: มีวิธีการหาผู้เช่าในหัวหินอย่างไรบ้าง?
ตอบ: ในยุคปัจจุบัน ช่องทางออนไลน์เป็นวิธีหลัก ในการหาผู้เช่า คุณสามารถลงประกาศอพาร์ทเม้นท์ของคุณบนเว็บไซต์ยอดนิยม เช่น RentHub, DDproperty, Kaidee Property, หรือกลุ่มเฟซบุ๊ก “หาห้องเช่าหัวหิน” พร้อมรูปถ่ายห้องและเบอร์ติดต่อ นอกจากนี้การติดป้ายโฆษณาหน้าอาคารก็ยังได้ผล โดยเฉพาะดึงดูดคนที่ผ่านไปมาในย่านนั้นๆ ถ้าเป้าหมายคือพนักงานบริษัทหรือนักศึกษาก็อาจขออนุญาตติดประกาศตามกระดานข่าวขององค์กรหรือสถานศึกษานั้นๆ ดู รวมถึงการ จับมือกับนายหน้า/เอเจนซี่ท้องถิ่น ซึ่งเขามีเครือข่ายผู้มองหาที่เช่าอยู่แล้วก็ช่วยได้ (ตกลงค่านายหน้าซึ่งปกติเก็บจากผู้เช่าครึ่งเดือนหรือหนึ่งเดือน) สำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ การลงประกาศใน Airbnb หรือ Booking.com จะเปิดตลาดต่างประเทศ ซึ่งควรดูแลเรื่องภาษาอังกฤษในการตอบโต้ด้วย อีกวิธีที่ช่วยคือ การสร้างจุดเด่นและบอกต่อ เช่น ถ้าอพาร์ทเม้นท์คุณสะอาด ปลอดภัย มีชุมชนที่ดี ผู้เช่าเดิมมักจะแนะนำเพื่อนหรือญาติมาเช่าต่อ เป็นการหาลูกค้าแบบปากต่อปากที่ทรงพลังในเมืองเล็กๆ อย่างหัวหิน

ถาม: ชาวต่างชาติสามารถซื้ออพาร์ทเม้นท์ทั้งหลังในหัวหินได้หรือไม่?
ตอบ: ตามกฎหมายไทย ชาวต่างชาติไม่สามารถถือกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างประเภทอาคารพาณิชย์ (เช่น อพาร์ทเม้นท์ทั้งหลัง) ได้โดยตรง การลงทุนในลักษณะนี้สำหรับชาวต่างชาติทำได้ผ่าน การตั้งบริษัทจำกัด ที่มีคนไทยถือหุ้นอย่างน้อย 51% แล้วให้บริษัทเป็นเจ้าของทรัพย์สิน หรือใช้วิธีเช่าที่ดินระยะยาว (ลีสโฮลด์) 30 ปีแล้วปลูกสร้างอาคาร ทั้งสองวิธีมีความซับซ้อนทางกฎหมายและค่าใช้จ่ายการจัดการ บริษัทต่างชาติบางรายจึงนิยมร่วมทุนกับผู้ประกอบการไทยหรือเข้าซื้อผ่านกองทรัสต์/กองทุนอสังหาฯ มากกว่า อย่างไรก็ตาม ในกรณีคอนโดมิเนียม ชาวต่างชาติสามารถซื้อทั้งห้องชุดเพื่อปล่อยเช่าได้ง่ายกว่า เพราะกฎหมายอนุญาต ดังนั้นหากคุณเป็นชาวต่างชาติที่สนใจลงทุนอสังหาฯ ในหัวหิน การซื้อคอนโดหลายยูนิตจะสะดวกกว่าการซื้ออพาร์ทเม้นท์ทั้งหลัง

ถาม: ควรบริหารอพาร์ทเม้นท์เองหรือต้องจ้างผู้จัดการมืออาชีพ?
ตอบ: ขึ้นอยู่กับ ขนาดของอพาร์ทเม้นท์และความพร้อมของคุณ ถ้าอาคารขนาดเล็ก (< 10–15 ห้อง) และคุณพักอาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกัน มีเวลาติดตามงานใกล้ชิด ก็อาจบริหารเองได้สบายๆ งานหลักคือเก็บค่าเช่า ดูแลซ่อมแซมเล็กน้อย ติดต่อช่างเมื่อต้องการ ฯลฯ แต่ถ้าอพาร์ทเม้นท์ขนาดใหญ่ 20 ห้องขึ้นไป การจ้างผู้จัดการหรือผู้ดูแล จะช่วยแบ่งเบาภาระมาก ผู้จัดการจะคอยประสานงานกับผู้เช่า จัดห้องให้เช่าเมื่อว่าง รับแจ้งซ่อม และดูแลความเรียบร้อยทั่วไป เจ้าของสามารถติดตามผลเป็นระยะและตรวจสอบบัญชีรายรับรายจ่ายได้ นอกจากนี้ยังมีบริษัทบริหารทรัพย์สินบางแห่งที่รับดูแลอพาร์ทเม้นท์ให้แบบครบวงจร (คิดค่าบริการเป็นเปอร์เซ็นต์ของรายได้หรือเหมาเป็นเดือน) ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่และอยากถือการลงทุนแบบ passive income แต่ไม่ว่ากรณีใด เจ้าของควรเข้ามาตรวจสอบกิจการสม่ำเสมอ เช่น ตรวจอาคารเดือนละครั้ง พูดคุยกับผู้เช่า เพื่อให้มั่นใจว่าผู้จัดการดูแลงานได้มาตรฐานและไม่เกิดการทุจริต

ถาม: ทำอย่างไรให้อพาร์ทเม้นท์โดดเด่นและดึงดูดผู้เช่าได้มากกว่าคู่แข่ง?
ตอบ: ในตลาดที่มีทางเลือกมาก ผู้เช่าจะเทียบหลายๆ ที่ก่อนตัดสินใจ เจ้าของอพาร์ทเม้นท์สามารถทำให้อพาร์ทเม้นท์ของตน มีจุดขายและน่าอยู่ ยิ่งขึ้นได้ เช่น:

  • รักษาความสะอาดและความปลอดภัย: พื้นที่ส่วนกลางที่สะอาด ไม่มีขยะ ไม่มีแมลงรบกวน ห้องพักไม่มีกลิ่นอับ จะสร้างความประทับใจแรกพบได้มาก รวมถึงการมีกล้องวงจรปิดและระบบเข้าออกที่ปลอดภัย ทำให้ผู้เช่าโดยเฉพาะผู้หญิงมั่นใจที่จะพัก
  • สิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มเติม: หากเป็นไปได้และงบประมาณเอื้อ ลองพิจารณาเพิ่มบริการหรือพื้นที่พิเศษ เช่น มุมสวนหย่อมเล็กๆ ให้นั่งเล่น, จัดทำ Co-working Space หรือโต๊ะนั่งทำงานส่วนกลางพร้อม Wi-Fi แรงๆ สำหรับคนทำงาน, ติดตั้งเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญและตู้น้ำดื่ม จะเพิ่มความสะดวกให้ผู้เช่ามาก
  • ตกแต่งห้องให้น่าอยู่: ห้องที่ได้รับการรีโนเวททาสีใหม่ ใช้เฟอร์นิเจอร์ที่ดูทันสมัย (ไม่ต้องแพงแต่ให้ดูดี) ติดผ้าม่านสวยงาม และอุปกรณ์ครบ เช่น มีแอร์ น้ำอุ่น อินเทอร์เน็ตพร้อมใช้ จะปล่อยเช่าได้ราคาดีกว่าห้องเปล่าโล่งๆ การลงทุนตกแต่งเล็กน้อยอาจคืนทุนได้ในรูปค่าเช่าที่สูงขึ้น
  • ยืดหยุ่นและเป็นมิตรกับผู้อยู่อาศัย: การบริหารแบบเข้าใจผู้เช่า เช่น อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้ในบางห้อง (ซึ่งหาได้ยาก), มีนโยบายช่วยเหลือกรณีผู้เช่าตกงานชั่วคราว (ผ่อนผันค่าเช้าเล็กน้อย) หรือจัดกิจกรรมเล็กๆ เช่น งานปีใหม่ให้ผู้เช่าร่วม ย่อมสร้างความประทับใจและทำให้ผู้เช่าอยู่นาน รวมถึงบอกต่อคนรู้จักให้มาเช่าที่นี่
  • การตลาดออนไลน์ที่น่าสนใจ: นอกจากประกาศตามเว็บแล้ว คุณอาจสร้างเพจเฟซบุ๊กหรืออินสตาแกรมของอพาร์ทเม้นท์ โพสต์ภาพห้องสวยๆ รีวิวจากผู้เช่าที่พอใจ หรือเล่าเรื่องราวข้อดีของทำเล ใส่แฮชแท็ก #ห้องเช่าหัวหิน #apartmentHuahin เพื่อเพิ่มการมองเห็น ก็จะช่วยดึงดูดผู้เช่ากลุ่มออนไลน์ได้มาก

ถาม: หากเศรษฐกิจชะลอตัวหรือท่องเที่ยวซบเซา จะกระทบธุรกิจอพาร์ทเม้นท์มากน้อยแค่ไหน?
ตอบ: ธุรกิจอพาร์ทเม้นท์ถือว่ามีความเสี่ยงผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจ น้อยกว่าสินทรัพย์ท่องเที่ยวอื่นๆ เช่น โรงแรมหรือพูลวิลล่า เพราะฐานลูกค้าส่วนหนึ่งคือผู้เช่าที่ต้องอยู่อาศัยจริง (Real demand) แม้ท่องเที่ยวซบเซา คนกลุ่มนี้ก็ยังต้องเช่าบ้านอยู่ อย่างช่วงโควิดที่ผ่านมาหัวหินนักท่องเที่ยวหดหาย แต่หอพัก/อพาร์ทเม้นท์หลายแห่งยังพอมีผู้เช่าท้องถิ่นประคองรายได้อยู่ไม่ได้เป็นศูนย์ อย่างมากอาจลดลงเล็กน้อยเนื่องจากบางคนย้ายกลับต่างจังหวัด อย่างไรก็ดี ปัจจัยเศรษฐกิจกระทบกำลังเช่าของผู้คน เช่น ถ้าค่าครองชีพสูงขึ้น ผู้เช่าอาจต่อรองขอลดค่าเช่าหรือย้ายไปห้องที่เล็กลงถูกลง เจ้าของต้องติดตามสถานการณ์และยืดหยุ่นพอควร (เช่น ชะลอการขึ้นค่าเช่าในปีที่เศรษฐกิจไม่ดี) ส่วนในด้านท่องเที่ยว หากซบเซานานๆ อาจกระทบห้องเช่าที่จับลูกค้าต่างชาติบ้าง แต่พอยุคฟื้นตัว ดีมานด์ก็จะกลับมา การลงทุนในอพาร์ทเม้นท์จึงยังถือว่า ทนทานต่อความผันผวน ดีกว่าการลงทุนอสังหาฯ ประเภทอื่นในหัวหิน

หวังว่าคำถามและคำตอบเหล่านี้จะช่วยให้ท่านที่สนใจลงทุน “ขายอพาร์ทเม้นท์ในหัวหิน” ได้ข้อมูลครบถ้วนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่ที่กำลังชั่งใจหรือผู้ที่มีประสบการณ์ในธุรกิจอสังหาแล้วก็ตาม การเตรียมความพร้อมทั้งด้านความรู้ตลาด กฎหมาย และการบริหาร จะทำให้การลงทุนของท่านประสบความสำเร็จและได้ผลตอบแทนคุ้มค่าในระยะยาวในเมืองตากอากาศที่มีเสน่ห์อย่างหัวหิน

Loading...
สมัครรับอีเมลอัพเดทข่าว