































































ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯกำลังปรับตัวเข้าสู่ยุคใหม่หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงปี 2567-2568 แนวโน้มการซื้อขายทาวน์เฮ้าส์ในกรุงเทพฯมีความน่าสนใจอย่างยิ่ง ทั้งจากมุมมองของนักลงทุนและผู้ซื้อที่ต้องการที่อยู่อาศัยเอง
บทความนี้นำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับตลาดทาวน์เฮ้าส์ในกรุงเทพฯ อัปเดตล่าสุดปี 2568 รวมถึงพฤติกรรมผู้ซื้อไทย โอกาสสำหรับนักลงทุน ทำเลที่โดดเด่นพร้อมตัวอย่างราคาตลาด นอกจากนี้ยังมีการเปรียบเทียบระหว่างทาวน์เฮ้าส์ คอนโดมิเนียม และบ้านเดี่ยวในแง่ของการลงทุนและการอยู่อาศัย พร้อมด้วย Checklist ในการเลือกซื้อทาวน์เฮ้าส์ ข้อควรรู้ด้านกฎหมายและขั้นตอนการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทย ตลอดจนกลยุทธ์การจัดโครงสร้างเนื้อหา Landing Page เพื่อ SEO และช่วงท้ายมีการตอบคำถามที่พบบ่อยจากผู้ซื้อทาวน์เฮ้าส์ในกรุงเทพฯ เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและมีข้อมูลครบถ้วน.
ในปี 2568 ตลาดทาวน์เฮ้าส์ในกรุงเทพมหานครยังคงอยู่ท่ามกลางการปรับตัวจากช่วงชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่ผ่านมา ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงเผชิญความท้าทายจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ถูกกดดันด้วยภาระหนี้ครัวเรือนสูงและเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น ส่งผลให้ การเติบโตของยอดขายทาวน์เฮ้าส์โดยรวมยังทรงตัว แต่ขณะเดียวกันมีสัญญาณเชิงบวกบางประการที่บ่งชี้ว่าอุปสงค์เริ่มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น – ข้อมูลการสำรวจผู้บริโภคปลายปี 2567 พบว่ากลุ่มคนไทยยังสนใจซื้อที่อยู่อาศัยสูง แม้จะมีเพียงประมาณหนึ่งในสามที่มีเงินออมเพียงพอต่อการซื้อจริงก็ตาม แนวโน้มในปี 2568 แสดงให้เห็นว่าความสนใจในการซื้อบ้านทุกประเภทเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมได้รับความสนใจมากที่สุด อย่างไรก็ตาม บ้านแนวราบ เช่น บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ก็มีความต้องการเพิ่มขึ้นเช่นกัน (ประมาณ 6-10% เมื่อเทียบปีต่อปี) สะท้อนว่าผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยหันมาให้ความสำคัญกับพื้นที่ใช้สอยและความเป็นส่วนตัวมากขึ้นหลังยุคโควิด
ช่วงราคาที่ได้รับความนิยม – สำหรับทาวน์เฮ้าส์ในกรุงเทพฯ ระดับราคาที่มีดีมานด์สูงสุดในปี 2567-2568 อยู่ที่ประมาณ 2-3 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับราคาที่ผู้ซื้อกลุ่มใหญ่สามารถเข้าถึงได้ (ราคานี้ทรงตัวใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา) ส่วนทาวน์เฮ้าส์ที่ราคาแพงขึ้นไป (เช่นช่วง 5-6 ล้านบาท) พบว่าความต้องการเริ่มเพิ่มขึ้นเร็วขึ้น เนื่องจากเป็นกลุ่มสินค้าใหม่ที่พัฒนาฟังก์ชันและทำเลคุณภาพ รองรับผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อสูงขึ้นและนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนระยะยาว
การเปิดโครงการใหม่และซัพพลาย – ผู้พัฒนาอสังหาฯ ยังคงเปิดตัวโครงการทาวน์โฮม/ทาวน์เฮ้าส์ใหม่อย่างระมัดระวัง ในช่วงปี 2567-2568 จำนวนหน่วยเปิดขายใหม่ปรับตัวลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากต้นทุนวัสดุก่อสร้างและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นในช่วงก่อนหน้า แต่โครงการใหม่ที่เปิดตัวมักเน้นไปที่ทำเลศักยภาพและกลุ่มราคาเข้าถึงง่าย เพื่อตอบโจทย์กลุ่มครอบครัวเริ่มต้นและผู้ซื้อบ้านหลังแรก โดยในปี 2568 ตลาดบ้านแนวราบกลับมาใกล้จุดสมดุล ระหว่างอุปสงค์และอุปทานมากขึ้น ผู้พัฒนาหลายรายหันไปพัฒนาโครงการแนวราบในเขตชานเมืองที่มีรถไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานรองรับความเจริญ
การออกแบบและเทรนด์ใหม่ – ทาวน์เฮ้าส์รุ่นใหม่ในตลาดปี 2568 ได้รับการออกแบบให้ทันสมัยและตอบสนองไลฟ์สไตล์ยุคหลังโควิดมากขึ้น โครงการจำนวนมากมาพร้อม สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง เช่น สระว่ายน้ำ ฟิตเนส สวนหย่อม และระบบรักษาความปลอดภัย เพื่อดึงดูดผู้ซื้อคนรุ่นใหม่ นอกจากนี้แนวคิด บ้านอัจฉริยะ (Smart Home) และการออกแบบเพื่อรองรับการทำงานที่บ้าน (work from home) ก็เริ่มกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในการพัฒนาทาวน์เฮ้าส์ เห็นได้ว่าผู้ประกอบการให้ความสำคัญกับการสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อแข่งขันในตลาด
นโยบายภาครัฐและปัจจัยบวก – ในปี 2568 รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ โดย ลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท ซึ่งครอบคลุมทาวน์เฮ้าส์ส่วนใหญ่ในตลาดมาตรฐาน มาตรการนี้ช่วยลดค่าใช้จ่ายวันโอนกรรมสิทธิ์ลงอย่างมาก กระตุ้นให้ผู้ซื้อที่ลังเลตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงปลายปี 2568 มีโอกาสปรับลดลงตามภาวะเงินเฟ้อที่ทรงตัว สิ่งนี้จะเป็นผลดีต่อผู้กู้ซื้อบ้านเนื่องจากภาระผ่อนจะผ่อนคลายลง ประกอบกับการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่หนุนเศรษฐกิจให้เติบโตประมาณ 2.8-3% ทำให้ภาพรวมตลาดอสังหาฯ เริ่มเห็นปัจจัยบวกมากขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน
โดยสรุป แนวโน้มตลาดทาวน์เฮ้าส์ในกรุงเทพฯ ปี 2568 แม้จะยังไม่กลับมาบูมเต็มที่ แต่ก็แสดงสัญญาณการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ความต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงยังมีอยู่จากกลุ่มคนไทยที่ต้องการพื้นที่มากขึ้น ในขณะที่นักลงทุนเองก็จับตามองสินค้ากลุ่มนี้เพราะมองเห็นโอกาสทั้งในแง่การปล่อยเช่าและมูลค่าเพิ่มในอนาคต การเลือกซื้อทาวน์เฮ้าส์ยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มองหาบ้านในเมืองใหญ่ ด้วยราคาที่จับต้องได้และคุณสมบัติการใช้งานที่ตอบโจทย์ยุคใหม่
พฤติกรรมผู้ซื้อที่อยู่อาศัยชาวไทยในปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพเศรษฐกิจและสังคม ผู้ซื้อบ้านรุ่นใหม่ (โดยเฉพาะกลุ่มมิลเลนเนียลและ Gen Z) มีแนวโน้ม ชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ชั่วคราว และเลือกที่จะเช่าที่อยู่อาศัยก่อน ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “Generation Rent” ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัย เช่น ความยืดหยุ่นในการย้ายที่อยู่ตามโอกาสการทำงาน การไม่ต้องแบกรับภาระหนี้สินระยะยาว และระดับราคาบ้านที่สูงเมื่อเทียบกับรายได้ที่เริ่มต้น อย่างไรก็ตาม คนไทยจำนวนมากยังมีค่านิยมที่ต้องการเป็นเจ้าของบ้านของตัวเอง โดยเฉพาะเมื่อเริ่มสร้างครอบครัว พฤติกรรมที่พบคือมักเริ่มจากการซื้อที่อยู่อาศัยขนาดเล็กหรือราคาย่อมเยาก่อน เช่น คอนโดมิเนียมหรือทาวน์เฮ้าส์หลังเริ่มต้น แล้วจึงขยับขยายสู่บ้านหลังใหญ่ขึ้นเมื่อมีฐานะการเงินมั่นคง
ผู้ซื้อไทยให้ความสำคัญกับ ทำเลและความคุ้มค่า เป็นอย่างมาก ทำเลที่เดินทางสะดวก ใกล้ที่ทำงาน โรงเรียน และสิ่งอำนวยความสะดวก จะได้รับความสนใจสูง แม้ว่าทาวน์เฮ้าส์หลายโครงการจะตั้งอยู่ชานเมือง แต่หากอยู่ใกล้เส้นทางรถไฟฟ้าหรือทางด่วน ผู้ซื้อก็พร้อมพิจารณา นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังเปรียบเทียบราคาและมูลค่าที่ได้รับอย่างถี่ถ้วน ยุคดิจิทัลทำให้ผู้ซื้อสามารถค้นหาข้อมูลออนไลน์ ทั้งรีวิวโครงการ เปรียบเทียบราคา ประเมินมูลค่าตลาด และต่อรองราคาได้อย่างมีข้อมูล แนวโน้มหนึ่งคือการมองหาบ้านที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ เฉพาะของตน เช่น บางครอบครัวต้องการพื้นที่สำหรับสัตว์เลี้ยง (ส่งผลให้บ้านแนวราบที่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้รับความนิยมมากขึ้น) หรือพื้นที่สำหรับทำโฮมออฟฟิศ ดังนั้นโครงการทาวน์เฮ้าส์ที่ออกแบบยืดหยุ่น (เช่น มีห้องอเนกประสงค์ที่ปรับเป็นห้องทำงานได้) จะดึงดูดผู้ซื้อกลุ่มนี้เป็นพิเศษ
อีกพฤติกรรมที่น่าสนใจของผู้ซื้อไทยคือ การรอโปรโมชั่นหรือมาตรการกระตุ้น ผู้ประกอบการมักจัดโปรฯ ลดราคา ฟรีค่าโอน ฟรีของแถม เพื่อจูงใจให้ตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น ขณะเดียวกันมาตรการรัฐ (เช่น การลดค่าธรรมเนียมโอนเหลือ 0.01%) ก็มีผลอย่างยิ่งต่อจังหวะการซื้อ คนไทยจำนวนไม่น้อยเลือก “รอดู” ช่วงเวลาที่เหมาะสม เช่น ดอกเบี้ยต่ำ โปรโมชั่นแรง ก่อนตัดสินใจซื้อบ้าน การเข้าใจพฤติกรรมเหล่านี้ทำให้ผู้ขายและนักลงทุนสามารถวางกลยุทธ์ให้สอดคล้อง เช่น ตั้งราคาที่เหมาะสมกับตลาดและจัดแพ็คเกจส่งเสริมการขายที่ตรงใจลูกค้า
โอกาสสำหรับนักลงทุนในตลาดทาวน์เฮ้าส์ ถือว่ายังมีอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสภาพตลาดจะไม่ได้เติบโตรวดเร็ว แต่ก็มีช่องว่างสำหรับผู้ที่มองเห็นแนวโน้มบางอย่าง นักลงทุนที่ต้องการซื้อทาวน์เฮ้าส์เพื่อปล่อยเช่า สามารถใช้ประโยชน์จากกระแส Generation Rent ดังกล่าว ปัจจุบันความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ เพิ่มสูงขึ้น ผู้เช่าหลายกลุ่มเริ่มมองหาบ้านเช่าแทนการอยู่คอนโด โดยเฉพาะครอบครัวคนไทยหรือชาวต่างชาติที่พำนักระยะยาวในไทยที่ต้องการพื้นที่กว้างขวางกว่าคอนโด การซื้อทาวน์เฮ้าส์ในทำเลยอดนิยม (เช่น ใกล้แหล่งงาน โรงเรียนนานาชาติ หรือนิคมอุตสาหกรรมชานเมือง) เพื่อปล่อยเช่าให้กลุ่มครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อนร่วมแชร์บ้าน สามารถสร้างกระแสรายได้สม่ำเสมอ นักลงทุนควรคำนึงถึงการตกแต่งบ้านให้พร้อมอยู่ (เฟอร์นิเจอร์บางส่วนและเครื่องใช้ไฟฟ้าจำเป็น) เพื่อเพิ่มมูลค่าในการปล่อยเช่าและดึงดูดผู้เช่าในราคาที่สูงขึ้น
นอกจากการปล่อยเช่าแล้ว การลงทุนเพื่อเก็งกำไรระยะยาว ในทาวน์เฮ้าส์ก็เป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจ เพราะที่ดินในกรุงเทพฯ มีแนวโน้มมูลค่าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การครอบครองทาวน์เฮ้าส์เท่ากับได้ครอบครองที่ดินผืนเล็กๆ ซึ่งในระยะยาวมีโอกาสเติบโต นักลงทุนบางรายเลือกซื้อทาวน์เฮ้าส์มือสองในทำเลศักยภาพที่ราคายังไม่แพง ปรับปรุงซ่อมแซมใหม่ แล้วขายต่อทำกำไรเมื่อราคาตลาดขยับสูงขึ้น หรือถือครองไว้หลายปีเพื่อรับอานิสงส์จากโครงการสาธารณูปโภคใหม่ๆ (เช่น สถานีรถไฟฟ้า ห้างใหญ่) ที่จะเกิดขึ้นในย่านนั้น ทั้งนี้ กลยุทธ์ “ซื้อ-ปรับปรุง-ขายต่อ” ต้องคำนึงถึงต้นทุนค่ารีโนเวทและภาษีการขายอสังหาฯ (เช่น ภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% หากขายภายใน 5 ปี) ซึ่งต้องนำมาคำนวณความคุ้มค่าอย่างรอบคอบ
ความเสี่ยงที่นักลงทุนควรพิจารณา ได้แก่ สภาพคล่องของตลาด หากซื้อทาวน์เฮ้าส์ในทำเลที่ความต้องการไม่สูงพอ อาจใช้เวลานานในการขายต่อ นอกจากนี้ การปล่อยเช่าอาจมีช่วงว่างผู้เช่า (vacancy) ควรเตรียมเงินสำรองสำหรับผ่อนธนาคารในช่วงที่ยังไม่มีผู้เช่า อย่างไรก็ดี การกระจายการลงทุนมายังอสังหาฯ ประเภททาวน์เฮ้าส์สามารถช่วยกระจายความเสี่ยงจากตลาดคอนโดที่มีซัพพลายล้นตลาด และตลาดหุ้นที่ผันผวน สินทรัพย์จริงอย่างอสังหาริมทรัพย์แนวราบยังคงน่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองหาระยะกลางถึงยาว โดยเฉพาะหากเลือกทำเลและช่วงจังหวะเข้าซื้อได้เหมาะสม
โดยสรุป ผู้ซื้อไทยในยุคปัจจุบันมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปตามปัจจัยเศรษฐกิจและไลฟ์สไตล์ ส่วนฝั่งนักลงทุนยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนจากทาวน์เฮ้าส์ได้ หากเข้าใจพฤติกรรมของผู้เช่าและแนวโน้มของตลาด การวางแผนอย่างมีกลยุทธ์ เช่น การเลือกทำเลที่ดีและบริหารต้นทุนอย่างรัดกุม จะช่วยให้นักลงทุนสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสในตลาดทาวน์เฮ้าส์ได้อย่างเต็มที่
ตลาดทาวน์เฮ้าส์ในกรุงเทพฯกระจายตัวอยู่ในหลายทำเล ทั้งย่านใจกลางเมืองและชานเมือง โดยแต่ละทำเลมีระดับราคาที่แตกต่างกันไปตามความเจริญและความต้องการของผู้ซื้อ ต่อไปนี้คือทำเลเด่นบางส่วนที่น่าสนใจ พร้อมตัวอย่างช่วงราคาทาวน์เฮ้าส์ในพื้นที่นั้นๆ:
(หมายเหตุ: ราคาที่ยกมาข้างต้นเป็นการประมาณช่วงราคาในตลาด ณ ต้นปี 2568 ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงตามภาวะตลาดและสภาพของทรัพย์สินจริงในแต่ละทำเล)
การเลือกซื้อที่อยู่อาศัยประเภทต่างๆ มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน ทั้งในแง่ประสบการณ์การอยู่อาศัยและผลตอบแทนการลงทุน ด้านล่างนี้เป็นการเปรียบเทียบคุณสมบัติของ ทาวน์เฮ้าส์ vs คอนโดมิเนียม vs บ้านเดี่ยว โดยแบ่งตามมุมมองการอยู่อาศัยและการลงทุน:
การเลือกซื้อทาวน์เฮ้าส์สักหลังควรพิจารณาปัจจัยหลายด้านอย่างรอบคอบ เพื่อให้ได้บ้านที่เหมาะสมกับความต้องการและคุ้มค่าการลงทุนที่สุด ต่อไปนี้คือรายการตรวจสอบ (Checklist) ที่ผู้ซื้อควรใช้ประกอบการตัดสินใจก่อนซื้อทาวน์เฮ้าส์:
เมื่อทำตาม Checklist ข้างต้นครบถ้วน ผู้ซื้อจะมั่นใจมากขึ้นในการเลือกทาวน์เฮ้าส์ที่เหมาะสม ทั้งในแง่คุณภาพชีวิตและความคุ้มค่าทางการเงิน อย่าลืมใช้เวลาในการเปรียบเทียบหลายๆ ตัวเลือก และหากเป็นไปได้ ควรเข้าไปดูสถานที่จริงในช่วงเวลาต่างๆ เพื่อให้เห็นภาพรวมอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจซื้อ
การซื้อทาวน์เฮ้าส์หรืออสังหาริมทรัพย์ในไทยมีขั้นตอนทางกฎหมายและเอกสารที่ผู้ซื้อควรทราบ เพื่อให้การซื้อขายเป็นไปอย่างราบรื่นและถูกต้องตามกฎหมาย ด้านล่างนี้เป็นข้อควรรู้และลำดับขั้นตอนคร่าวๆ ในการซื้อบ้านในประเทศไทย:
หมายเหตุ: ชาวต่างชาติไม่สามารถซื้อทาวน์เฮ้าส์หรือที่ดินในไทยได้โดยตรง (ยกเว้นในนามบริษัทหรือกรณีเช่าระยะยาว) บทความนี้จึงกล่าวถึงขั้นตอนสำหรับผู้ซื้อสัญชาติไทยเป็นหลัก ผู้ซื้อที่เป็นชาวต่างชาติหรือสมรสกับชาวต่างชาติควรปรึกษาที่ปรึกษากฎหมายเพิ่มเติมเนื่องจากมีข้อจำกัดและเอกสารเฉพาะที่เกี่ยวข้อง
ถาม: ชาวต่างชาติสามารถซื้อทาวน์เฮ้าส์หรือที่ดินในประเทศไทยได้หรือไม่?
ตอบ: โดยทั่วไป ชาวต่างชาติไม่มีสิทธิ์ถือครองที่ดินในไทยโดยตรง ดังนั้นจึงไม่สามารถซื้อทาวน์เฮ้าส์ (ซึ่งมีที่ดิน) ในนามตนเองได้ ยกเว้นจะใช้วิธีถือหุ้นผ่านบริษัทจดทะเบียนในไทยหรือเช่าระยะยาว (เช่น สัญญาเช่า 30 ปี) อย่างไรก็ตาม ชาวต่างชาติสามารถซื้อคอนโดมิเนียมได้ถูกต้องตามกฎหมาย (ถือครองเป็นกรรมสิทธิ์ห้องชุด) ในสัดส่วนไม่เกิน 49% ของพื้นที่โครงการคอนโดนั้นๆ หากชาวต่างชาติสนใจลงทุนในทาวน์เฮ้าส์จริงๆ ควรปรึกษาทนายหรือผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายอสังหาฯ เพื่อหาทางเลือกที่ปลอดภัยและถูกกฎหมาย
ถาม: ควรซื้อทาวน์เฮ้าส์มือหนึ่งจากโครงการใหม่ หรือซื้อบ้านมือสองดี?
ตอบ: การเลือกซื้อบ้านใหม่หรือบ้านมือสองขึ้นอยู่กับงบประมาณและความต้องการของผู้ซื้อ บ้านมือหนึ่ง จากโครงการใหม่จะได้เปรียบเรื่องความทันสมัยของแบบบ้าน สภาพใหม่เอี่ยม ไม่มีประวัติผู้อยู่อาศัยมาก่อน และมักมาพร้อมโปรโมชั่นของแถมหรือการรับประกันจากผู้ประกอบการ แต่ราคาก็อาจสูงกว่าในทำเลและขนาดใกล้เคียงกัน บ้านมือสอง มีข้อดีคือราคา ต่อรองได้ และอาจได้ทำเลที่ใกล้เมืองหรือชุมชนที่พัฒนาแล้วมากกว่า นอกจากนี้บางครั้งบ้านมือสองมีการต่อเติมหรือให้เฟอร์นิเจอร์มาพร้อม ซึ่งผู้ซื้อไม่ต้องจ่ายเพิ่ม อย่างไรก็ดี บ้านมือสองต้องตรวจสภาพบ้านให้ดีก่อนซื้อว่ามีจุดชำรุดหรือไม่ และอาจต้องเผื่อค่าซ่อมบำรุงไว้ด้วย สรุปคือถ้าคุณให้ความสำคัญกับความใหม่และความง่าย (จบทีเดียวเข้าอยู่ได้เลย) บ้านใหม่อาจเหมาะกว่า แต่ถ้ามองหาความคุ้มค่าและทำเล บ้านมือสองที่สภาพดีอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
ถาม: ถ้าอยากซื้อทาวน์เฮ้าส์ราคา 3 ล้านบาท ควรมีรายได้ต่อเดือนประมาณเท่าไรถึงกู้ผ่าน?
ตอบ: สูตรคร่าวๆ ที่ธนาคารใช้คือภาระผ่อนบ้านต่อเดือนไม่ควรเกินประมาณ 40% ของรายได้ต่อเดือน สมมติทาวน์เฮ้าส์ราคา 3 ล้านบาท ผ่อน 30 ปี จะมีค่างวดประมาณ 18,000-20,000 บาทต่อเดือน (ขึ้นกับอัตราดอกเบี้ย) ดังนั้นผู้กู้ควรมีรายได้ประจำราว 50,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป จึงจะมีโอกาสกู้ผ่านและผ่อนไหวโดยไม่ตึงมือ ทั้งนี้ ธนาคารจะพิจารณาปัจจัยอื่นด้วย เช่น ภาระหนี้อื่นๆ ประวัติเครดิต และอาชีพของผู้กู้ หากรายได้ต่ำกว่าที่คำนวณ อาจพิจารณากู้ร่วมกับคู่สมรสหรือญาติพี่น้องเพื่อเพิ่มรายได้รวมให้ถึงเกณฑ์
ถาม: เราต้องจ่ายค่าใช้จ่ายอะไรบ้างในวันโอนซื้อทาวน์เฮ้าส์?
ตอบ: ค่าใช้จ่ายวันโอนกรรมสิทธิ์ที่สำคัญได้แก่ ค่าธรรมเนียมการโอน (ปกติ 2% ของราคาประเมิน แต่ปี 2568 ลดเหลือ 0.01% สำหรับราคาบ้านไม่เกิน 7 ล้าน), ค่าจดจำนอง (กรณีกู้ธนาคาร ปกติ 1% ของวงเงินกู้ ปี 2568 ลดเหลือ 0.01% เช่นกัน), ภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% (ผู้ขายจ่าย หากถือครองไม่เกิน 5 ปีหรือขายในนามบริษัท), หรือ อากรแสตมป์ 0.5% (ผู้ขายจ่าย หากไม่เข้าเกณฑ์ภาษีธุรกิจฯ), และ ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (ผู้ขายจ่าย คำนวณตามราคาประเมินและปีที่ถือครอง) นอกจากนี้ผู้ซื้ออาจมีค่ามิเตอร์น้ำ-ไฟ ค่าส่วนกลางค้างจ่าย (กรณีบ้านมือสอง) ที่ต้องชำระในวันโอนด้วย แนะนำให้ตกลงกับผู้ขายล่วงหน้าว่าใครออกค่าใช้จ่ายส่วนใดเพื่อลดปัญหาในวันโอน
ถาม: “ทาวน์โฮม” กับ “ทาวน์เฮ้าส์” มีความแตกต่างกันหรือไม่?
ตอบ: โดยแก่นแล้ว “ทาวน์โฮม” กับ “ทาวน์เฮ้าส์” เป็นทรัพย์ประเภทเดียวกัน คือบ้านแถวที่มีผนังด้านข้างติดกับบ้านหลังอื่นๆ ในโครงการเดียวกัน คำว่า “ทาวน์โฮม” (Townhome) เป็นคำที่วงการอสังหาฯ ไทยนิยมใช้เรียกทาวน์เฮ้าส์รุ่นใหม่ที่ออกแบบทันสมัย มีฟังก์ชันใกล้เคียงบ้านเดี่ยวเล็กๆ เพื่อการตลาด ในทางกฎหมายทรัพย์สิน ทั้งทาวน์โฮมและทาวน์เฮ้าส์ถือเป็นบ้านประเภท “บ้านแถว” เหมือนกัน ดังนั้นไม่ว่าจะประกาศขายในชื่อใด ผู้ซื้อควรพิจารณาที่ลักษณะตัวบ้าน ทำเล และคุณภาพมากกว่าชื่อเรียก
ถาม: การซื้อทาวน์เฮ้าส์เพื่อปล่อยเช่าเป็นการลงทุนที่ดีหรือไม่?
ตอบ: การปล่อยเช่าทาวน์เฮ้าส์สามารถเป็นการลงทุนที่ดีได้หากเลือกทำเลและบริหารจัดการอย่างเหมาะสม ในเขตกรุงเทพฯ ความต้องการเช่าบ้านแนวราบเพิ่มขึ้น ในช่วงหลัง โดยเฉพาะจากครอบครัวที่ต้องการพื้นที่มากกว่าคอนโด แต่ยังไม่พร้อมซื้อบ้าน กลุ่มผู้เช่ายังรวมถึงชาวต่างชาติที่มาทำงานและต้องการบ้านพักอาศัยสำหรับครอบครัว รวมถึงบางธุรกิจขนาดเล็กที่เช่าทาวน์เฮ้าส์ทำออฟฟิศ ทั้งนี้ ผลตอบแทนจากการเช่าทาวน์เฮ้าส์ (Rental Yield) ในทำเลชานเมืองกรุงเทพฯ โดยเฉลี่ยอาจอยู่ราว 4-6% ต่อปี ซึ่งใกล้เคียงหรือสูงกว่าคอนโดบางทำเล ส่วนกำไรจากมูลค่าบ้านที่เพิ่มขึ้น (Capital Gain) ก็มีโอกาสตามการขึ้นของราคาที่ดิน แต่การลงทุนปล่อยเช่าก็มีความท้าทาย เช่น ต้องบริหารจัดการผู้เช่า ซ่อมบำรุง และอาจมีช่วงที่บ้านว่างไม่มีผู้เช่า ดังนั้นจึงควรวางแผนการเงินสำรองไว้ด้วย โดยรวมแล้วหากคุณศึกษาตลาดเช่าของทำเลนั้นดีและซื้อบ้านในราคาที่เหมาะสม การปล่อยเช่าทาวน์เฮ้าส์ก็เป็นทางเลือกลงทุนที่น่าสนใจ
ถาม: ปี 2568 เป็นเวลาที่ดีในการซื้อทาวน์เฮ้าส์ในกรุงเทพฯ หรือไม่?
ตอบ: ปี 2568 มีปัจจัยบวกหลายอย่างที่สนับสนุนการซื้ออสังหาริมทรัพย์ เช่น มาตรการลดค่าโอนและดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับลดลง ทำให้ต้นทุนการซื้อบ้านลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ นอกจากนี้ ราคาทาวน์เฮ้าส์ในหลายทำเลยังไม่ได้ปรับตัวสูงมากนักเนื่องจากภาวะตลาดที่ชะลอตัวช่วงก่อนหน้า ผู้ซื้อที่มีความพร้อมทางการเงินในปีนี้อาจใช้โอกาสนี้ในการต่อรองราคาและได้ทรัพย์สินที่คุ้มค่า อย่างไรก็ตาม ความพร้อมของผู้ซื้อเองเป็นสิ่งสำคัญ หากคุณมีความมั่นคงในงานและการเงิน การซื้อบ้านในช่วงที่มาตรการส่งเสริมและอัตราดอกเบี้ยเอื้ออำนวยก็ถือว่าน่าสนใจ แต่หากยังไม่พร้อม ควรวางแผนเก็บเงินและรอโอกาสที่เหมาะสม การตัดสินใจซื้อบ้านควรตั้งอยู่บนความพร้อมของตัวคุณเองเป็นหลัก

ลุมพินี เซ็นเตอร์ แฮปปี้แลนด์

ชีวาทัย รามคำแหง

ลุมพินี วิลล์ รามคำแหง 44