ประกาศขายทาวน์เฮ้าส์ ในเชียงใหม่
391 ยูนิต






























































































































































































































คู่มือซื้อทาวน์เฮ้าส์ในเชียงใหม่ ปี 2568
เชียงใหม่เป็นหนึ่งในจังหวัดที่โดดเด่นด้านการลงทุนและอยู่อาศัย ด้วยเสน่ห์ของวัฒนธรรมท้องถิ่น สภาพอากาศที่เย็นสบาย และศักยภาพการเติบโตของเมือง ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์เชียงใหม่เป็นที่สนใจของทั้งผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองและนักลงทุนชาวไทย ในปี 2568 ตลาดที่อยู่อาศัยของเชียงใหม่มีความเปลี่ยนแปลงจากปีก่อน ๆ ทั้งจากปัจจัยเศรษฐกิจและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป บทความฉบับนี้เป็นคู่มือเชิงวิเคราะห์ที่รวบรวมข้อมูลสำคัญสำหรับการซื้อ ทาวน์เฮ้าส์ (หรือที่มักเรียกว่า ทาวน์โฮม) ในจังหวัดเชียงใหม่ โดยนำเสนอภาพรวมตลาด แนวโน้มผู้ซื้อ ทำเลที่น่าสนใจ เปรียบเทียบระหว่างบ้านโครงการใหม่กับบ้านมือสอง การวิเคราะห์ผลตอบแทนการลงทุน ตลอดจนข้อกฎหมายที่ควรรู้ และคำแนะนำสำหรับทั้งนักลงทุนและผู้ซื้อบ้านมือแรก
เนื้อหาต่อไปนี้จะเจาะลึกประเด็นสำคัญที่ผู้สนใจซื้อทาวน์เฮ้าส์ในเชียงใหม่ควรทราบ โดยใช้ภาษาทางการเชิงธุรกิจ เพื่อให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนและเป็นประโยชน์สูงสุดในการตัดสินใจลงทุนหรือเลือกซื้อที่อยู่อาศัย
1. ภาพรวมตลาดทาวน์เฮ้าส์ในจังหวัดเชียงใหม่ ปี 2568
ภาวะตลาดโดยรวม: ตลาดอสังหาริมทรัพย์เชียงใหม่ในปี 2568 มีสัญญาณฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป เมื่อเทียบกับช่วงปี 2566 ที่ภาคธุรกิจชะลอตัวจากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นและกำลังซื้อที่ลดลง ปัจจัยดังกล่าวเคยทำให้ผู้ประกอบการหลายรายต้องชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ และผู้บริโภคบางส่วนชะลอการตัดสินใจซื้อบ้าน อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ปี 2568 ภาพรวมเศรษฐกิจเริ่มมีเสถียรภาพขึ้น การท่องเที่ยวในเชียงใหม่ฟื้นตัวต่อเนื่องจากนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ ซึ่งส่งผลเชิงบวกให้ความต้องการที่อยู่อาศัยกลับมาคึกคักขึ้นกว่าปีก่อน
ทั้งนี้ รายงานจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) ระบุว่าตลาดที่อยู่อาศัยในจังหวัดเชียงใหม่ปี 2566 อยู่ในภาวะชะลอตัวต่อเนื่อง โดยจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ลดลงถึงประมาณ 32% จากปีก่อน และยังมีหน่วยบ้านจัดสรรเหลือขายสะสมในตลาดกว่า 9,000 หน่วย อย่างไรก็ตาม REIC คาดการณ์ว่าภาพรวมจะเริ่มฟื้นตัวในปี 2567 โดยยอดขายที่อยู่อาศัยใหม่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นราว 27% จากปี 2566 และอัตราการดูดซับ (absorption rate) ของตลาดจะปรับดีขึ้นเล็กน้อย
อุปทานและอุปสงค์: จำนวนทาวน์เฮ้าส์ที่เปิดขายใหม่ในเชียงใหม่ช่วงปี 2567 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2568 ยังคงมีไม่มากนัก ผู้พัฒนาโครงการเน้นระบายสต็อกบ้านที่สร้างเสร็จแล้วและค้างขายจากปีก่อน ๆ เป็นหลัก แทนที่จะเร่งเปิดโครงการใหม่หลายโครงการในคราวเดียว ส่งผลให้ อุปทาน (Supply) ทาวน์เฮ้าส์ในตลาดเพิ่มขึ้นอย่างระมัดระวัง ด้าน อุปสงค์ (Demand) หรือความต้องการซื้อเริ่มมีแนวโน้มฟื้นตัว โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ซื้อที่มีความพร้อมด้านการเงิน ซึ่งได้รับอานิสงส์จากภาวะที่ผู้ขายและผู้พัฒนายอมปรับราคาหรือจัดโปรโมชั่นเพื่อจูงใจการขาย นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ยังแข่งขันด้านสินเชื่อที่อยู่อาศัยโดยเสนอเงื่อนไขผ่อนปรนมากขึ้น ทำให้ผู้ซื้อที่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์สามารถเข้าถึงสินเชื่อบ้านได้ง่ายขึ้น แม้อัตราดอกเบี้ยจะยังอยู่ในระดับสูงกว่าเมื่อเทียบกับหลายปีก่อนก็ตาม
แนวโน้มราคา: โดยภาพรวมระดับราคาทาวน์เฮ้าส์ในเชียงใหม่ทรงตัวถึงปรับเพิ่มเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า กลุ่มบ้านระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ยังคงเป็นที่ต้องการสูง แต่ผู้ซื้อกลุ่มนี้บางส่วนประสบปัญหาความสามารถในการกู้ซื้อบ้านลดลงจากภาระดอกเบี้ยและหนี้สินอื่น ๆ ทำให้ผู้ประกอบการบางรายเลือกใช้กลยุทธ์ ลดราคา หรือเพิ่มส่วนลดของแถมเพื่อปิดการขาย ขณะเดียวกัน ทาวน์เฮ้าส์ในทำเลศักยภาพหรือโครงการที่มีจุดขายเฉพาะยังสามารถรักษาระดับราคาได้ค่อนข้างดี สำหรับกลุ่มบ้านราคา 3-5 ล้านบาท พบว่ามีผู้ประกาศขายบ้านมือสองในช่วงระดับราคานี้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากผู้ขายคาดหวังจะเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงขึ้น ส่วนบ้านราคาประหยัดต่ำกว่า 3 ล้านบางส่วนกลับถูกปรับลดราคาลงในตลาดมือสองเพื่อเร่งขายให้แก่ผู้ซื้อที่อ่อนไหวด้านราคา
ปัจจัยกระทบตลาด: ในปีนี้มีหลายปัจจัยทั้งเชิงบวกและเชิงลบที่ส่งผลต่อทิศทางตลาดทาวน์เฮ้าส์เชียงใหม่:
- ปัจจัยบวก:
- การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและการจัดงานอีเวนต์ในเชียงใหม่ กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นและเพิ่มดีมานด์ที่อยู่อาศัย
- แผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในภาคเหนือ (เช่น ระบบขนส่งมวลชน รถไฟความเร็วสูง หรือทางหลวงใหม่) ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของทำเลรอบนอกเมือง
- ผู้ประกอบการอสังหาฯ กระตุ้นยอดขายด้วยโปรโมชั่นจูงใจ เช่น ฟรีค่าโอนกรรมสิทธิ์ ฟรีค่าส่วนกลางรายปีแรก หรือการลดราคาเป็นพิเศษสำหรับผู้จองช่วงเปิดตัว
- ปัจจัยลบ:
- อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้านที่ทรงตัวในระดับสูง ทำให้ต้นทุนการผ่อนบ้านของผู้ซื้อมือใหม่อยู่ในเกณฑ์สูง กดดันกำลังซื้อของผู้มีรายได้ปานกลาง-ต่ำ
- หนี้สินครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้สถาบันการเงินเข้มงวดการอนุมัติสินเชื่อ และผู้บริโภคบางส่วนไม่มั่นใจที่จะสร้างภาระหนี้ระยะยาวเพิ่ม
- การแข่งขันจากตลาดบ้านมือสองที่มีทรัพย์สินรอการขายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะบ้านที่เจ้าของยอมลดราคาเพื่อปิดการขายเร็วขึ้น เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดผู้ซื้อในบางทำเล
โดยสรุป ภาพรวมตลาดทาวน์เฮ้าส์เชียงใหม่ปี 2568 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นกว่าปีก่อนเล็กน้อย แต่อำนาจการต่อรองยังอยู่ในมือผู้ซื้อในหลายพื้นที่ เนื่องจากผู้ขายและผู้พัฒนายินดีมอบเงื่อนไขพิเศษเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้า สำหรับผู้ซื้อที่เตรียมความพร้อมด้านการเงินมาอย่างดี ปีนี้นับเป็นจังหวะที่น่าสนใจในการมองหาทาวน์เฮ้าส์ในเชียงใหม่ ทั้งเพื่ออยู่อาศัยเองระยะยาวและเพื่อการลงทุนสร้างผลตอบแทนในอนาคต
2. พฤติกรรมผู้ซื้อทาวน์เฮ้าส์ในเชียงใหม่ (กลุ่มอายุ, รายได้, วัตถุประสงค์)
การทำความเข้าใจว่า “ใคร” คือผู้ซื้อทาวน์เฮ้าส์ในเชียงใหม่ จะช่วยให้นักลงทุนและผู้พัฒนาโครงการสามารถวางกลยุทธ์การตลาดได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย จากข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคและการค้นหาบ้านออนไลน์ พบประเด็นที่น่าสนใจดังนี้:
- กลุ่มอายุ: ผู้สนใจซื้อที่อยู่อาศัยในเชียงใหม่ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงวัยทำงานตอนต้นถึงวัยกลางคน โดยเฉพาะกลุ่มอายุประมาณ 25-40 ปี เป็นสัดส่วนใหญ่ของผู้ค้นหาบ้านในตลาดนี้ กลุ่มนี้ประกอบด้วยคนวัยเริ่มสร้างเนื้อสร้างตัวและครอบครัวใหม่ หลายคนกำลังมองหาบ้านหลังแรกของตนเอง ข้อมูลจากตลาดออนไลน์พบว่าผู้ค้นหาบ้านในเชียงใหม่ถึง 79% เป็นเพศหญิง และเกือบครึ่งอยู่ในช่วงอายุ 25-34 ปี รองลงมาคือช่วง 35-44 ปี ซึ่งบ่งชี้ว่าผู้หญิงวัยทำงานมีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจซื้อบ้านเพื่อครอบครัว นอกจากนี้ยังมีกลุ่มวัยรุ่นตอนปลาย (อายุราว 22-29 ปี) ที่เพิ่งเริ่มทำงานและบางส่วนแต่งงานแล้ว เริ่มสนใจซื้อทาวน์เฮ้าส์ราคาเอื้อมถึงเพื่อเป็นเรือนหอหรือที่อยู่อาศัยแรกของตน
- รายได้และฐานะการเงิน: โดยทั่วไปผู้ซื้อทาวน์เฮ้าส์ในเชียงใหม่จัดอยู่ในกลุ่มชนชั้นกลางที่มีรายได้ปานกลางถึงปานกลางค่อนข้างสูง สอดคล้องกับระดับราคาส่วนใหญ่ของทาวน์เฮ้าส์ที่อยู่ในช่วง 1-3 ล้านบาท (ระดับราคานี้ต้องอาศัยรายได้ครัวเรือนประมาณหลายหมื่นบาทต่อเดือนเพื่อให้สินเชื่อบ้านผ่านเกณฑ์) สำหรับผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อสูงขึ้น (เช่น ผู้บริหารวัย 35-45 ปีขึ้นไป) มักมองหาทาวน์เฮ้าส์หรือบ้านแฝดระดับราคา 3-5 ล้านบาท ซึ่งให้พื้นที่ใช้สอยและคุณภาพวัสดุสูงกว่า ทั้งนี้ ผู้ซื้อบ้านในเชียงใหม่ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่า ควบคู่กับทำเลที่ตั้งที่เหมาะสมกับงบประมาณของตน ปัจจุบันภาระหนี้สินครัวเรือนและดอกเบี้ยที่สูงทำให้ผู้ซื้อหลายคนระมัดระวังเรื่องการผ่อนชำระ ส่งผลให้บางส่วนหันไปมองหาบ้านมือสองราคาย่อมเยาแทนบ้านใหม่เพื่อประหยัดงบประมาณ
- วัตถุประสงค์การซื้อ: ผู้ซื้อทาวน์เฮ้าส์ในเชียงใหม่สามารถแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มตามเป้าหมายการซื้อ ได้แก่:
- ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง (บ้านหลังแรก): กลุ่มนี้คือคนพื้นที่เชียงใหม่หรือผู้ที่ย้ายมาทำงานในจังหวัดนี้ เช่น คู่แต่งงานใหม่ และคนวัยทำงานที่ต้องการตั้งรกราก ครอบครัวขนาดเล็กที่ต้องการขยับขยายจากคอนโดหรือบ้านเช่า ปัจจัยหลักในการตัดสินใจซื้อของกลุ่มนี้ ได้แก่ ทำเลที่เดินทางสะดวกไปยังที่ทำงาน ราคาเหมาะสมกับรายได้ และสภาพแวดล้อมโครงการที่ปลอดภัยสำหรับการเริ่มต้นครอบครัว
- ซื้อเพื่อการลงทุนปล่อยเช่า: นักลงทุนบางส่วนมองว่าทาวน์เฮ้าส์ในเชียงใหม่เป็นทรัพย์สินเพื่อการลงทุนที่น่าสนใจ เนื่องจากราคาซื้อไม่สูงเกินไปและมีโอกาสสร้างรายได้จากการปล่อยเช่า ทั้งแบบรายเดือนให้คนทำงานหรือนักศึกษา และแบบระยะสั้นสำหรับนักท่องเที่ยว/ชาวต่างชาติที่พำนักระยะยาว ผู้ซื้อกลุ่มนี้จะพิจารณาทำเลที่มีดีมานด์เช่าสูง เช่น ใกล้มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล นิคมอุตสาหกรรม หรือแหล่งท่องเที่ยว ทั้งยังคำนวณผลตอบแทนค่าเช่า (rental yield) หลังหักค่าใช้จ่ายอย่างรอบคอบ โดยทั่วไปคาดหวังผลตอบแทนประมาณ 4-6% ต่อปี ขึ้นอยู่กับทำเลและลักษณะทรัพย์
- ซื้อเป็นบ้านหลังที่สอง/บ้านพักตากอากาศ: เชียงใหม่เป็นจุดหมายยอดนิยมสำหรับบ้านพักตากอากาศและการอยู่อาศัยช่วงเกษียณ ผู้ซื้อกลุ่มนี้จำนวนไม่น้อยมาจากต่างจังหวัดหรือกรุงเทพฯ (ข้อมูลการค้นหาออนไลน์พบว่าประมาณ 33% ของผู้สนใจหาที่อยู่อาศัยเชียงใหม่มาจากผู้ใช้งานในกรุงเทพฯ) โดยมีเป้าหมายซื้อบ้านไว้พักผ่อนในวันหยุดหรือเป็นบ้านรองสำหรับครอบครัว บางรายวางแผนย้ายมาอยู่เชียงใหม่หลังเกษียณด้วยสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่และค่าครองชีพที่ต่ำกว่าเมืองหลวง ทาวน์เฮ้าส์จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจเพราะดูแลรักษาง่ายกว่าบ้านเดี่ยวและอยู่ในโครงการที่มีระบบรักษาความปลอดภัย
- ซื้อเพื่อเก็งกำไรระยะยาว: ผู้ซื้อบางราย โดยเฉพาะนักลงทุนที่มีประสบการณ์ อาจซื้อทาวน์เฮ้าส์ในทำเลที่คาดว่าจะมีมูลค่าสูงขึ้นในอนาคต (เช่น พื้นที่ใกล้โครงการคมนาคมใหม่ หรือตามแนวขยายเมืองในอำเภอรอบนอก) โดยหวังถือครองไว้เพื่อขายต่อทำกำไรเมื่อราคาขยับสูงขึ้นในอีก 3-5 ปีข้างหน้า กลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับศักยภาพการเติบโตของทำเลและชื่อเสียงของโครงการ เพื่อให้ทรัพย์ที่ซื้อสามารถขายต่อได้ง่ายและได้กำไรคุ้มค่า
โดยสรุป พฤติกรรมผู้ซื้อทาวน์เฮ้าส์ในเชียงใหม่สะท้อนถึงคนรุ่นใหม่วัยทำงานที่ต้องการสร้างหลักฐานให้ชีวิต ครอบครัวขนาดเล็กที่มองหาที่อยู่อาศัยคุ้มค่า และนักลงทุนที่เห็นโอกาสในตลาดอสังหาฯ เมืองท่องเที่ยวนี้ ผู้ซื้อทุกกลุ่มต่างให้ความสำคัญกับ ทำเลที่ตั้ง เป็นอันดับแรก รองลงมาคือความปลอดภัยของโครงการและความสะดวกในการเดินทางเชื่อมต่อพื้นที่สำคัญ ดังนั้น โครงการทาวน์เฮ้าส์ที่สามารถตอบโจทย์พฤติกรรมและความต้องการของผู้ซื้อเหล่านี้ได้ จะมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงในตลาดเชียงใหม่
3. ทำเลเด่นที่นิยมซื้อทาวน์เฮ้าส์ในเชียงใหม่ (พร้อมเปรียบเทียบราคาตามโซน)
จังหวัดเชียงใหม่มีลักษณะการขยายตัวของเมืองเป็นวงกว้างออกจากเขตเมืองเก่า โดยพื้นที่อยู่อาศัยได้ขยายไปตามแนวถนนวงแหวนและทางหลวงสายหลักรอบเมือง ทำเลที่ตั้งจึงมีผลอย่างมากต่อราคาทาวน์เฮ้าส์และความน่าสนใจในการอยู่อาศัยหรือลงทุน ดังนี้:
- ย่านใจกลางเมือง: พื้นที่ในตัวเมืองชั้นใน (เช่น เขตตำบลสุเทพ-นิมมานเหมินทร์, ช้างเผือก ใกล้คูเมือง) มีความต้องการที่อยู่อาศัยสูงเนื่องจากอยู่ใกล้แหล่งงาน โรงเรียน และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทาวน์เฮ้าส์ในย่านใจกลางเมืองมักเป็นอสังหาฯ มือสองหรือโครงการขนาดเล็กที่พัฒนาไปแล้วในอดีต เนื่องจากที่ดินหายากและมีราคาแพง ระดับราคาทาวน์เฮ้าส์ในเขตเมืองจึงสูงกว่าพื้นที่อื่น โดยบ้านสภาพเก่าในซอยอาจเริ่มต้นราว 3-4 ล้านบาท ส่วนทาวน์เฮ้าส์ปรับปรุงใหม่หรือที่ตั้งติดถนนใหญ่ในย่านการค้า (เช่น ย่านนิมมานฯ) อาจมีราคาสูงถึง 8-10 ล้านบาทขึ้นไป ความโดดเด่นของทำเลใจกลางเมืองคือความสะดวกในการเดินทางและมูลค่าที่ดินที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่ข้อจำกัดคือที่จอดรถและความหนาแน่นของชุมชนเมือง
- โซนเหนือ (อำเภอแม่ริม/สันทราย): พื้นที่ทางทิศเหนือของตัวเมือง เช่น บริเวณอำเภอแม่ริม (ตามถนนโชตนา หรือถนนหมายเลข 107) และอำเภอสันทราย (บริเวณตำบลสันผีเสื้อ, ใกล้ศูนย์ราชการเชียงใหม่และแยกรวมโชค) เป็นทำเลที่ได้รับความนิยมในการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรใหม่ ๆ รวมถึงทาวน์เฮ้าส์ เนื่องจากอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 10-15 กม. ซึ่งเดินทางเข้าตัวเมืองได้สะดวก และมีสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับ (เช่น ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล, มีโชคพลาซ่า) ทาวน์เฮ้าส์ในโซนนี้ส่วนใหญ่เป็นโครงการใหม่หรือสร้างในทศวรรษล่าสุด ระดับราคาปานกลางเอื้อมถึงง่ายกว่าย่านในเมือง (โดยทั่วไปประมาณ 2-4 ล้านบาทต่อยูนิต ขึ้นอยู่กับขนาดและแบรนด์โครงการ) ตัวอย่างทำเลเด่น เช่น ย่านโชตนากิโลเมตรที่ 5-7, แม่ริมตอนต้น, สันทรายสายเก่า เป็นต้น โซนนี้เหมาะสำหรับครอบครัวรุ่นใหม่ที่ต้องการบ้านราคาสมเหตุสมผลในระยะขับรถประมาณ 20-30 นาทีถึงตัวเมือง
- โซนตะวันออก (อำเภอดอยสะเก็ด/สันกำแพง): พื้นที่ฝั่งตะวันออกของเชียงใหม่ เช่น โซนถนนสันกำแพงสายใหม่ (เส้นวงแหวนรอบนอก ทางไปบ่อสร้าง-ดอยสะเก็ด) และพื้นที่ใกล้ศูนย์การค้าพรอมเมนาดา เป็นอีกทำเลยอดนิยมสำหรับโครงการทาวน์โฮมและบ้านจัดสรรราคาปานกลางถึงค่อนข้างต่ำ เนื่องจากที่ดินยังพอหาได้มากและราคาไม่สูงเท่าฝั่งอื่น ระยะทางจากตัวเมืองประมาณ 10-15 กม. (เดินทางเข้าเมืองผ่านถนนซุปเปอร์ไฮเวย์หรือวงแหวนรอบกลาง) ทาวน์เฮ้าส์ในโซนนี้มีจุดขายที่ได้บ้านใหม่ในงบประมาณจำกัด ระดับราคาเริ่มต้นค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่น หลายโครงการมีหน่วยขายในราคา ต่ำกว่า 2 ล้านบาท (สำหรับทาวน์เฮ้าส์ขนาดเล็ก ~16-18 ตร.วา) และโครงการระดับกลางอยู่ที่ราว 2-3 ล้านบาท ทำเลที่โดดเด่น เช่น ย่านบ่อสร้าง-ดอยสะเก็ด, สันกำแพงสายใหม่, แถวชุมชนดอนจั่น ใกล้พรอมเมนาดา โซนตะวันออกนี้เหมาะกับผู้ซื้อที่ต้องการบ้านใหม่ราคาเอื้อมถึงและยอมรับการเดินทางเข้าเมืองประมาณ 20-30 นาที
- โซนใต้ (อำเภอหางดง/สารภี): พื้นที่ทางทิศใต้ของเมืองเชียงใหม่แยกออกเป็นฝั่งตะวันตกและตะวันออกของทางหลวงสายหลัก อำเภอหางดง (ทิศตะวันตก, ตามถนนเชียงใหม่-หางดง Route 108) เป็นชานเมืองที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีหมู่บ้านจัดสรรและทาวน์โฮมหลายโครงการรองรับการขยายตัวของชุมชนจากตัวเมือง เหมาะกับครอบครัวที่ต้องการอยู่ใกล้เมือง (ห่างตัวเมือง ~10 กม. และสนามบินเชียงใหม่ ~5-8 กม.) สิ่งอำนวยความสะดวกครบทั้งห้างบิ๊กซี หางดง, แม็คโคร, ตลาดสด และโรงเรียนนานาชาติบางแห่ง ระดับราคาทาวน์เฮ้าส์ในหางดงอยู่ในช่วงประมาณ 2-3 ล้านบาทสำหรับโครงการทั่วไป บางโครงการที่อยู่ติดถนนใหญ่หรือเป็นทาวน์โฮม 3 ชั้นอาจมีราคาสูงถึง 4-5 ล้านได้
ส่วนทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองในเขตอำเภอสารภีและเขตติดต่อจังหวัดลำพูน (ตามทางหลวงเชียงใหม่-ลำพูน Route 11) จะมีลักษณะกึ่งชนบทมากกว่า ชุมชนอยู่อาศัยไม่หนาแน่น จึงมีโครงการบ้านจัดสรรเกิดขึ้นน้อยกว่า ราคาที่ดินและบ้านต่ำกว่า โดยทาวน์เฮ้าส์มือสองบางแห่งในสารภีอาจหาได้ในราคา 1.5-2 ล้านบาทเท่านั้น กลุ่มผู้ซื้อที่สนใจทำเลใต้ของเชียงใหม่มักเป็นคนที่ทำงานในโซนสนามบินหรือย่านนิคมอุตสาหกรรมลำพูน ซึ่งต้องการบ้านราคาประหยัดและบรรยากาศเงียบสงบชานเมือง
ด้านล่างนี้เป็น ตารางเปรียบเทียบระดับราคาทาวน์เฮ้าส์ โดยประมาณในแต่ละโซนของจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้เห็นภาพรวมความแตกต่างของทำเล:
|
โซนพื้นที่ |
ตัวอย่างทำเล |
ราคาทาวน์เฮ้าส์เฉลี่ย (ประมาณ) |
|
ใจกลางเมือง |
นิมมานเหมินทร์, ช้างเผือก |
สูง (ประมาณ 4–8 ล้านบาทต่อยูนิต หรือมากกว่าในทำเลธุรกิจ) |
|
โซนเหนือ |
แม่ริม, สันทราย (รวมโชตนา) |
ปานกลาง (ประมาณ 2–4 ล้านบาทต่อยูนิต) |
|
โซนตะวันออก |
สันกำแพง, ดอยสะเก็ด (บ่อสร้าง) |
ค่อนข้างต่ำ (ประมาณ 1.5–3 ล้านบาทต่อยูนิต) |
|
โซนใต้ |
หางดง, สารภี |
ปานกลางถึงต่ำ (ประมาณ 2–3 ล้านบาทต่อยูนิต, พื้นที่ไกลเมืองอาจต่ำกว่า 2 ล้าน) |
จากตารางข้างต้นจะเห็นได้ว่าทำเลที่ต่างกันส่งผลให้ระดับราคาทาวน์เฮ้าส์แตกต่างกันอย่างชัดเจน ผู้ซื้อควรพิจารณาเลือกทำเลที่เหมาะกับงบประมาณและความต้องการของตน เช่น หากต้องการความสะดวกสบายสูงใกล้เมืองก็อาจต้องยอมรับราคาที่สูงขึ้น ในขณะที่หากยอมอยู่ชานเมืองออกไปเล็กน้อยก็จะได้บ้านที่มีขนาดใหญ่ขึ้นหรือราคาจับต้องได้มากขึ้น นอกจากนี้ทำเลยังส่งผลต่อรูปแบบการใช้ชีวิต เช่น ความสงบของแถวชานเมืองเทียบกับความคึกคักในเมือง ดังนั้นการเลือกโซนที่ตั้งจึงควรคำนึงถึงทั้งงบประมาณ ไลฟ์สไตล์ และศักยภาพการเติบโตของมูลค่าทรัพย์สินในอนาคต
4. เปรียบเทียบทาวน์เฮ้าส์โครงการใหม่ vs บ้านมือสองในเชียงใหม่
การตัดสินใจเลือกระหว่างซื้อ ทาวน์เฮ้าส์โครงการใหม่ (บ้านมือหนึ่งจากผู้ประกอบการ) กับ บ้านมือสอง (ทาวน์เฮ้าส์ที่เจ้าของปัจจุบันนำมาขายต่อ) ในเชียงใหม่ขึ้นอยู่กับความต้องการและเงื่อนไขของผู้ซื้อแต่ละราย ทั้งสองทางเลือกมีข้อดีข้อเสียต่างกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้:
- ราคา: โดยทั่วไปแล้ว บ้านโครงการใหม่ มักมีราคาสูงกว่าบ้านมือสองในทำเลและขนาดใกล้เคียงกัน เพราะเป็นทรัพย์สินใหม่ไม่เคยผ่านการอยู่อาศัย อีกทั้งผู้พัฒนามักตั้งราคาไว้รวมต้นทุนการก่อสร้างและกำไร ในขณะที่ บ้านมือสอง มักตั้งราคาขายถูกกว่าบ้านใหม่หลายเปอร์เซ็นต์ (อาจถูกกว่าราว 10-30% ขึ้นกับอายุและสภาพบ้าน) เนื่องจากเจ้าของเดิมอาจต้องการขายเพื่อย้ายที่อยู่หรือปลดภาระสินเชื่อ ความแตกต่างด้านราคาระหว่างบ้านใหม่กับมือสองทำให้ผู้ซื้อที่งบประมาณจำกัดหลายรายหันมาพิจารณาบ้านมือสองมากขึ้นในช่วงที่ราคาบ้านใหม่ปรับสูงและดอกเบี้ยเงินกู้เพิ่มขึ้น
- ทำเล: บ้านโครงการใหม่ มักตั้งอยู่ในทำเลขยายตัวใหม่ชานเมืองหรืออำเภอรอบนอกที่มีที่ดินผืนใหญ่พอสำหรับพัฒนาโครงการ เช่น โซนสันทราย หางดง สันกำแพง ซึ่งบางครั้งอาจไกลจากตัวเมืองหรือย่านธุรกิจหลักพอสมควร ในทางกลับกัน บ้านทาวน์เฮ้าส์มือสอง หลายแห่งตั้งอยู่ในทำเลเมืองชั้นในหรือพื้นที่ที่ปัจจุบันไม่มีที่ดินเหลือให้พัฒนาโครงการใหม่แล้ว (เช่น ในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ ย่านชุมชนเดิม) ผู้ซื้อที่ต้องการอยู่ใกล้เมืองหรือในย่านชุมชนเก่าแก่อาจเลือกบ้านมือสองเพราะได้ทำเลที่ดีกว่าบ้านโครงการใหม่ที่หาทำเลใกล้เมืองไม่ได้
- สภาพบ้านและการออกแบบ: บ้านโครงการใหม่ ได้เปรียบเรื่องความใหม่ของตัวบ้าน โครงสร้างและวัสดุยังไม่ผ่านการใช้งาน ภายในบ้านมักออกแบบตามแนวคิดสมัยใหม่ เช่น พื้นที่เปิดโล่ง เพดานสูง ระบบไฟฟ้าและประปาที่ทันสมัย อีกทั้งผู้ซื้อสามารถเลือกแปลงมุมหรือแปลงที่ตั้งดีที่สุดในโครงการได้ (หากซื้อช่วงเปิดตัว) พร้อมทั้งได้รับประกันโครงสร้างอาคารและระบบต่าง ๆ จากผู้ประกอบการ (เช่น รับประกันโครงสร้าง 5-10 ปี ระบบไฟฟ้า-ประปา 1-2 ปี เป็นต้น) ในขณะที่ บ้านมือสอง อาจมีสภาพทรุดโทรมหรือผ่านการดัดแปลงมาบ้างตามอายุการใช้งาน ผู้ซื้อต้องตรวจสอบสภาพบ้านอย่างละเอียด เช่น รอยร้าว โครงสร้างหลังคา ระบบท่อและสายไฟ หากบ้านค่อนข้างเก่าผู้ซื้ออาจต้องเผื่องบประมาณสำหรับการซ่อมแซมปรับปรุง (รีโนเวท) อย่างไรก็ตาม บ้านมือสองบางหลังมีคุณลักษณะที่หาไม่ได้ในบ้านโครงการใหม่ เช่น ขนาดที่ดินที่กว้างกว่า การก่อสร้างที่แข็งแรงทนทาน หรือทำเลที่ตั้งที่ดีกว่า ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบเฉพาะตัวบ้านแต่ละหลัง
- สิ่งอำนวยความสะดวกและค่าส่วนกลาง: บ้านโครงการใหม่ มักอยู่ในโครงการจัดสรรที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการส่วนกลาง เช่น ระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง สวนหย่อม สนามเด็กเล่น คลับเฮ้าส์หรือสระว่ายน้ำ (ขึ้นอยู่กับระดับโครงการ) การอยู่อาศัยในโครงการใหม่จึงได้ประโยชน์ด้านบรรยากาศชุมชนและสิ่งแวดล้อมที่ผู้พัฒนาจัดเตรียมไว้ แต่ผู้ซื้อก็ต้องรับภาระ ค่าส่วนกลาง รายเดือน/รายปี เพื่อดูแลสาธารณูปโภคเหล่านั้น ในทางกลับกัน บ้านมือสอง บางแห่งตั้งอยู่ในชุมชนดั้งเดิมที่ไม่ได้มีการจัดการแบบโครงการจัดสรร (ไม่มีนิติบุคคลหมู่บ้าน) อาจไม่มีค่าส่วนกลาง หรือหากเป็นบ้านมือสองในโครงการเก่า ค่าส่วนกลางอาจต่ำกว่าโครงการใหม่ แต่สิ่งอำนวยความสะดวกก็น้อยกว่า หรือเสื่อมโทรมตามอายุโครงการ ผู้ซื้อควรพิจารณาว่าตนเองให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมโครงการใหม่มากน้อยเพียงใด เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายส่วนกลางที่จะตามมา
- การดำเนินการซื้อขายและสินเชื่อ: การซื้อ บ้านโครงการใหม่ มักสะดวกในด้านขั้นตอน เพราะผู้ประกอบการจะมีทีมงานช่วยประสานงานสินเชื่อธนาคารและการโอนกรรมสิทธิ์ให้ ลูกค้าเพียงเตรียมเอกสารและเงินดาวน์ตามที่กำหนด นอกจากนี้ช่วงเปิดโครงการใหม่ ๆ ผู้พัฒนามักมีโปรโมชั่นช่วยเหลือค่าใช้จ่ายวันโอน (เช่น ฟรีค่าธรรมเนียมการโอน, ฟรีค่าจดจำนอง, ของแถมตกแต่งบ้าน เป็นต้น) ทำให้ลูกค้าจ่ายเงินก้อนแรกน้อยลง ในทางตรงข้าม การซื้อบ้านมือสอง ผู้ซื้อและผู้ขายต้องตกลงกันเองเรื่องการโอนกรรมสิทธิ์ ค่าโอนและภาษีต่าง ๆ (โดยทั่วไปค่าธรรมเนียมโอน 2% ของราคาประเมินจะตกลงแบ่งจ่ายคนละครึ่ง หรือแล้วแต่กรณี) ผู้ซื้อบ้านมือสองควรเตรียมงบสำหรับค่าใช้จ่ายวันโอนและค่าซ่อมแซม (ถ้ามี) เพิ่มเติมจากราคาบ้าน และควรตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ (โฉนดที่ดิน) ดูว่ามีภาระจำนองหรือค้างชำระค่าส่วนกลางหรือไม่ เพื่อให้การซื้อขายราบรื่น
สรุป: หากผู้ซื้อให้ความสำคัญกับความใหม่ ทันสมัย ได้เลือกแปลงบ้านตามใจ และไม่ต้องการปวดหัวกับการซ่อมแซม บ้านโครงการใหม่ย่อมตอบโจทย์มากกว่า แต่ต้องแลกมาด้วยราคาที่สูงขึ้นและทำเลที่อาจอยู่ชานเมือง ส่วนผู้ซื้อที่เน้นความคุ้มค่าในเชิงราคา ต้องการทำเลใกล้เมือง หรือไม่รังเกียจการปรับปรุงบ้านเล็กน้อย บ้านมือสองในเชียงใหม่ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ทั้งนี้ไม่ว่าจะเลือกแบบใด ผู้ซื้อควรตรวจสอบสภาพบ้านและเงื่อนไขการขายอย่างละเอียด เปรียบเทียบความคุ้มค่าโดยรวมระหว่างตัวเลือกบ้านใหม่และบ้านมือสอง เพื่อให้ได้บ้านที่ตรงกับความต้องการและงบประมาณที่สุด
5. การวิเคราะห์ ROI และโอกาสในการลงทุนปล่อยเช่าทาวน์เฮ้าส์ในทำเลต่าง ๆ
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการซื้อทาวน์เฮ้าส์เพื่อปล่อยเช่า สิ่งสำคัญคือการประเมิน ผลตอบแทนการลงทุน (Return on Investment - ROI) โดยปกติมักวัดจาก อัตราผลตอบแทนค่าเช่า (Rental Yield) รายปี ซึ่งคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของราคาอสังหาริมทรัพย์ ตัวอย่างเช่น หากซื้อทาวน์เฮ้าส์ราคา 2,000,000 บาท และปล่อยเช่าได้เดือนละ 10,000 บาท จะมีรายได้ค่าเช่าปีละ 120,000 บาท คิดเป็นผลตอบแทนค่าเช่า ประมาณ 6% ต่อปี ก่อนหักค่าใช้จ่าย
อัตราผลตอบแทนเฉลี่ย: ในตลาดเชียงใหม่ ผลตอบแทนค่าเช่าของทาวน์เฮ้าส์ทั่วไปอยู่ในช่วงประมาณ 4-6% ต่อปี ขึ้นอยู่กับทำเลและราคาซื้อทรัพย์สิน ย่านที่ราคาบ้านไม่สูงมากแต่มีดีมานด์เช่าสูงจะให้ yield สูงกว่า เช่น ทาวน์เฮ้าส์ชานเมืองราคา 1.5-2 ล้านบาทซึ่งปล่อยเช่าให้ครอบครัวท้องถิ่นได้เดือนละ ~8,000 บาท คิดเป็น yield ราว 5-6% ในทางตรงข้าม ทำเลใจกลางเมืองที่ราคาซื้อบ้านสูง (เช่น 5-6 ล้านบาท) แต่สามารถปล่อยเช่าได้เดือนละ ~20,000 บาท จะให้ yield ต่ำกว่า (ประมาณ 4% กว่า) ทั้งนี้ในช่วงปี 2567-2568 สังเกตว่าค่าเช่าเฉลี่ยในเชียงใหม่ปรับตัวลดลงเล็กน้อย เนื่องจากมีซัพพลายบ้านปล่อยเช่าในตลาดมากขึ้นและผู้เช่ามีทางเลือกหลากหลาย เจ้าของทรัพย์มักต้องตั้งค่าเช้าอย่างระมัดระวังไม่สูงเกินไปเพื่อดึงดูดผู้เช่า
วิเคราะห์ตามทำเล: ทำเลของอสังหาริมทรัพย์มีผลอย่างยิ่งต่อทั้งอัตราการปล่อยเช่าและความเร็วในการหาผู้เช่า:
- ย่านใจกลางเมืองและแหล่งท่องเที่ยว: เช่น นิมมานเหมินทร์, เขตเมืองเก่า, ย่านไนท์บาซาร์ เป็นทำเลที่มีความต้องการเช่าสูงจากทั้งชาวไทยที่ทำงานในเมืองและชาวต่างชาติ (ทั้งกลุ่ม expat ที่มาทำงานระยะยาวและนักท่องเที่ยวที่พักระยะกลาง) ทาวน์เฮ้าส์ในย่านเหล่านี้สามารถปล่อยเช่าได้ในอัตราค่าเช่าค่อนข้างสูง (เช่น 15,000-30,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป ขึ้นอยู่กับขนาดและการตกแต่ง) แต่เนื่องจากราคาซื้อทรัพย์สินในย่านกลางเมืองสูง ทำให้ % ผลตอบแทนไม่โดดเด่นมากนัก (ประมาณ 4-5% ต่อปี) จุดแข็งของทำเลเหล่านี้คือโอกาสปล่อยเช่าได้ต่อเนื่องไม่มีช่วงว่างนาน และสามารถปรับค่าเช่าเพิ่มขึ้นได้ในอนาคตตามการเติบโตของเศรษฐกิจท่องเที่ยว
- ย่านมหาวิทยาลัยและโรงพยาบาล: บริเวณใกล้มช. (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) ย่านสันติธรรม, ย่านมหาวิทยาลัยแม่โจ้, และใกล้โรงพยาบาลใหญ่ (รพ.สวนดอก เป็นต้น) เป็นทำเลที่มีกลุ่มผู้เช่าเฉพาะ ได้แก่ นักศึกษาและบุคลากรทางการศึกษา ตลอดจนบุคลากรการแพทย์ ทาวน์เฮ้าส์ใกล้แหล่งเหล่านี้มักแบ่งเช่าเป็นห้อง (สำหรับนักศึกษาที่เช่าร่วมกัน) หรือปล่อยเช่าเป็นหลังให้ครอบครัวบุคลากร อัตราค่าเช่าอาจไม่ได้สูงมากนัก (เช่น 8,000-15,000 บาทต่อเดือนสำหรับบ้าน 2-3 ห้องนอนธรรมดา) แต่มีความสม่ำเสมอของดีมานด์ ผู้ลงทุนสามารถคาดหวังผลตอบแทนปานกลาง ~5% ต่อปี และมักมีผู้เช่าหมุนเวียนต่อเนื่องหากตั้งราคาเหมาะสม
- ย่านนิคมอุตสาหกรรมและเขตชานเมืองที่มีงานรองรับ: เช่น โซนใกล้นิคมอุตสาหกรรมลำพูน, สารภี, สันกำแพง ที่มีโรงงานหรือสำนักงานของบริษัทต่าง ๆ ตั้งอยู่ แม้จะอยู่ชานเมืองแต่ก็มีกลุ่มพนักงานระดับจัดการหรือครอบครัวที่ย้ายมาติดต่องาน ต้องการเช่าบ้านที่สงบและมีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าคอนโด ทาวน์เฮ้าส์ในทำเลเหล่านี้มักมีราคาซื้อไม่สูง (บ้านใหม่ 2-3 ล้านบาท หรือบ้านมือสอง 1.5-2 ล้านบาท) และปล่อยเช่าได้ในระดับ 7,000-12,000 บาทต่อเดือน ผลตอบแทนอาจอยู่ในช่วง 5-7% ต่อปี ซึ่งค่อนข้างน่าสนใจ แต่ข้อควรระวังคือบางพื้นที่ดีมานด์ผู้เช่าอาจขึ้นกับฤดูกาลหรือภาวะเศรษฐกิจของภาคอุตสาหกรรม เมื่อตลาดแรงงานซบเซาอาจหาผู้เช่าได้ช้าลง
- ย่านชานเมืองทั่วไป: สำหรับทาวน์เฮ้าส์ที่อยู่ในโครงการชานเมืองที่ไม่ได้อยู่ใกล้แหล่งงานหรือสถานที่สำคัญเฉพาะเจาะจง โอกาสในการปล่อยเช่าจะขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของชุมชนท้องถิ่นเป็นหลัก ผู้เช่าอาจเป็นครอบครัวคนพื้นที่ที่ยังไม่พร้อมซื้อบ้านของตนเอง หรือพนักงานบริษัททั่วไปที่มองหาบ้านเช่าราคาย่อมเยา ผลตอบแทนในกลุ่มนี้อาจอยู่ราว 4-5% และผู้ปล่อยเช่าอาจต้องเผื่อระยะเวลาที่บ้านว่างหาผู้เช่า (vacancy period) นานกว่าทำเลในเมือง
โอกาสและกลยุทธ์การลงทุน: ในภาพรวมตลาดเช่าบ้านเชียงใหม่ยังเติบโตควบคู่ไปกับการขยายตัวของเมืองและการท่องเที่ยว นักลงทุนที่ซื้อทาวน์เฮ้าส์เพื่อปล่อยเช่าในช่วงที่ราคาทรัพย์ยังไม่สูงมาก (เช่น ปี 2565-2568 ซึ่งตลาดยังฟื้นตัว) อาจได้รับประโยชน์เมื่อเศรษฐกิจกลับมาคึกคักเต็มที่ ทำให้ค่าเช่ามีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ยังมีกลยุทธ์ที่นักลงทุนบางรายใช้เพิ่ม ROI เช่น ปรับปรุงตกแต่งบ้านให้มีเอกลักษณ์แล้วปล่อยเช่าในรูปแบบที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว (รายเดือนหรือรายสัปดาห์ในช่วงไฮซีซัน) ซึ่งสามารถคิดค่าเช่าเฉลี่ยต่อเดือนได้สูงกว่าการปล่อยเช่าระยะยาวปกติ อย่างไรก็ตาม การปล่อยเช่าระยะสั้นให้กับนักท่องเที่ยวต้องปฏิบัติตามกฎหมาย (เช่น กฎการเช่าไม่เกิน 30 วันตาม พ.ร.บ.โรงแรม) และควรคำนึงถึงผลกระทบต่อเพื่อนบ้านในโครงการ
ความเสี่ยงและข้อควรพิจารณา: ผู้ลงทุนปล่อยเช่าควรพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ประกอบด้วย เช่น ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาบ้านระหว่างที่มีผู้เช่า (ซ่อมแซมอุปกรณ์ เสื่อมสภาพตามการใช้งาน) ค่าเบี้ยประกันภัยบ้าน ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (สำหรับบ้านที่ไม่ได้อยู่อาศัยเองจะมีภาระภาษีรายปี แม้อัตราจะไม่สูงมากสำหรับบ้านมูลค่าไม่มาก) รวมถึงความเสี่ยงที่บ้านอาจไม่มีผู้เช่าในบางช่วง การกระจายพอร์ตการลงทุนและมีเงินสำรองสำหรับผ่อนชำระเงินกู้กรณีบ้านว่างจึงเป็นสิ่งสำคัญ สรุปคือการลงทุนปล่อยเช่าทาวน์เฮ้าส์ในเชียงใหม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจได้ หากเลือกทำเลที่มีดีมานด์เช่าสม่ำเสมอ ซื้อทรัพย์ในราคาที่เหมาะสม และบริหารจัดการทรัพย์สินอย่างมีประสิทธิภาพ
6. ประเด็นทางกฎหมายและสิทธิของผู้ซื้อทาวน์เฮ้าส์ (การโอนกรรมสิทธิ์, ค่าส่วนกลาง, ข้อจำกัดโครงการฯ)
การซื้อทาวน์เฮ้าส์เกี่ยวข้องกับขั้นตอนทางกฎหมายและข้อปฏิบัติต่าง ๆ ที่ผู้ซื้อควรทราบเพื่อปกป้องสิทธิของตนเองและปฏิบัติตามข้อบังคับของโครงการ ดังนี้:
- การโอนกรรมสิทธิ์และค่าใช้จ่ายวันโอน: เมื่อผู้ซื้อชำระราคาบ้านครบถ้วน จะต้องดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ที่สำนักงานที่ดินจังหวัด/สาขาที่ทาวน์เฮ้าส์นั้นตั้งอยู่ การโอนกรรมสิทธิ์ต้องมีผู้ขายและผู้ซื้อ (หรือผู้รับมอบอำนาจ) ไปดำเนินการพร้อมกัน โดยมีค่าใช้จ่ายวันโอนประกอบด้วย ค่าธรรมเนียมการโอน 2% ของราคาประเมินกรมที่ดิน (มักแบ่งชำระคนละครึ่งระหว่างผู้ซื้อผู้ขาย หากไม่ได้ตกลงอย่างอื่น), ค่าจดจำนอง 1% ของมูลค่าจำนอง (กรณีผู้ซื้อขอสินเชื่อและจดจำนองบ้านกับธนาคาร ผู้ซื้อเป็นผู้ชำระส่วนนี้), อากรแสตมป์ 0.5% หรือ ภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% (ผู้ขายเป็นผู้รับผิดชอบตามเงื่อนไขการถือครองทรัพย์) ก่อนวันโอนกรรมสิทธิ์ ผู้ซื้อควรตรวจสอบสัญญาจะซื้อจะขายหรือสัญญาจองที่ทำไว้กับผู้พัฒนาหรือเจ้าของเดิมว่าระบุการแบ่งชำระค่าใช้จ่ายเหล่านี้อย่างไร เพื่อตระเตรียมเงินไปให้เพียงพอ นอกจากนี้ ผู้ซื้อมีสิทธิที่จะได้รับโฉนดที่ดิน (หรือหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดกรณีคอนโด) ที่ปลอดภาระจำนองใด ๆ ในวันโอน หากผู้ขายยังมีการจำนองค้างอยู่ จะต้องดำเนินการไถ่ถอนจำนอง (ปิดยอดหนี้กับธนาคารของผู้ขาย) ณ สำนักงานที่ดินในวันเดียวกันนั้น
- ค่าส่วนกลางและนิติบุคคลหมู่บ้าน: ทาวน์เฮ้าส์ที่อยู่ในโครงการจัดสรรที่มีพื้นที่ส่วนกลาง (เช่น ถนน สนามเด็กเล่น สวนหรือคลับเฮ้าส์) จะมีการจัดตั้ง นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร ขึ้นมาบริหารจัดการทรัพย์ส่วนกลาง ผู้ซื้อบ้านในโครงการจะต้องเป็นสมาชิกของนิติบุคคลฯ โดยอัตโนมัติ และมีหน้าที่ชำระ ค่าส่วนกลาง ตามอัตราที่กำหนดไว้ (เช่น คิดตามขนาดที่ดินของแปลงบ้าน หน่วยละกี่บาทต่อเดือน/ปี) เงินค่าส่วนกลางนี้ใช้เพื่อดูแลรักษาสวน ถนน ระบบรักษาความปลอดภัย และสาธารณูปโภคร่วมต่าง ๆ หากผู้ซื้อไม่ชำระค่าส่วนกลางตามกำหนด นิติบุคคลมีสิทธิเก็บเบี้ยปรับและดำเนินคดีทางกฎหมายเพื่อเรียกเก็บได้ อีกทั้งการค้างชำระค่าส่วนกลางอาจส่งผลให้ไม่สามารถดำเนินการบางอย่างได้สะดวก เช่น การขอหนังสือรับรองจากนิติบุคคลเมื่อจะขายบ้านต่อ เป็นต้น ผู้ซื้อควรสอบถามอัตราค่าส่วนกลางและเงินกองทุนแรกเข้า (sinking fund) จากโครงการก่อนซื้อ รวมถึงสิทธิในการใช้ทรัพย์ส่วนกลาง (เช่น การจอดรถส่วนกลาง การใช้สโมสร) เพื่อวางแผนค่าใช้จ่ายระยะยาวหลังซื้อบ้าน
- ข้อจำกัดและกฎระเบียบในโครงการจัดสรร: เพื่อรักษาคุณภาพชีวิตและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของชุมชน โครงการบ้านจัดสรรส่วนใหญ่จะมีกฎระเบียบข้อบังคับที่ผู้อยู่อาศัยต้องปฏิบัติตาม (ระบุในข้อบังคับนิติบุคคลหรือแนบท้ายสัญญาซื้อขาย) ตัวอย่างข้อจำกัดที่พบบ่อย ได้แก่ ห้ามต่อเติมอาคารภายนอกที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์โครงการ (เช่น ห้ามเปลี่ยนสีทาภายนอกหรือดัดแปลงหลังคาโดยไม่ได้รับอนุมัติ), ห้ามประกอบกิจการที่รบกวนหรือผิดประเภทที่อยู่อาศัย (เช่น ห้ามเปิดร้านอาหารขนาดใหญ่หรืออู่ซ่อมรถในบ้านซึ่งอาจก่อเสียงหรือกลิ่นรบกวนเพื่อนบ้าน), การเลี้ยงสัตว์ (บางโครงการจำกัดไม่ให้เลี้ยงสัตว์ใหญ่หรือสัตว์ที่อาจส่งเสียงดัง), การจอดรถ (เช่น ห้ามจอดขวางถนนส่วนกลาง หรือจำกัดจำนวนรถที่จอดในบริเวณบ้าน) เป็นต้น ผู้ซื้อมีหน้าที่ศึกษาข้อบังคับเหล่านี้และปฏิบัติตามหลังเข้าอยู่อาศัย ทั้งนี้ หากต้องการปรับปรุงต่อเติมบ้าน เช่น ติดตั้งหลังคาที่จอดรถ หรือต่อเติมครัวนอกบ้าน ก็ควรปรึกษาและขออนุญาตนิติบุคคลหมู่บ้านก่อนดำเนินการ เพื่อให้เป็นไปตามกฎของโครงการและหลีกเลี่ยงข้อพิพาทตามมา
- สิทธิของผู้ซื้อและข้อควรระวังอื่น ๆ: เมื่อการซื้อขายเสร็จสมบูรณ์ ผู้ซื้อซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ใหม่มีสิทธิที่จะจดทะเบียน ทะเบียนบ้าน (ทร.14) ในที่อยู่ดังกล่าวเพื่อตนเองและครอบครัว ซึ่งทะเบียนบ้านจะใช้แสดงหลักฐานที่อยู่อาศัยในการทำธุรกรรมทางราชการต่าง ๆ นอกจากนี้ ผู้ซื้อบ้านโครงการใหม่ยังมีสิทธิได้รับ การรับประกัน ตามที่ผู้ประกอบการระบุ (เช่น การซ่อมแซมกรณีบ้านมีปัญหาในช่วงปีแรก) จึงควรเก็บเอกสารสัญญาและใบรับประกันต่าง ๆ ไว้ให้ครบถ้วน ในกรณีซื้อบ้านมือสอง ผู้ซื้อควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าเจ้าของเดิมชำระค่าส่วนกลาง ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้าที่ค้างไว้ (ถ้ามี) จนหมดก่อนวันโอน และไม่มีภาระผูกพันอื่นใดติดกับทรัพย์ (เช่น การถูกอายัดหรือคดีความ) โดยสามารถตรวจสอบหลังโฉนดที่ดินถึงภาระจำยอม/จำนองต่าง ๆ ได้ การตรวจสอบนี้จะช่วยป้องกันปัญหาภายหลังการซื้อ
(หมายเหตุ: ชาวต่างชาติไม่สามารถถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านในประเทศไทยได้โดยตรง ยกเว้นในบางกรณีที่ดำเนินการผ่านนิติบุคคลหรือสัญญาเช่าระยะยาว ดังนั้นการซื้อทาวน์เฮ้าส์ซึ่งมีที่ดินเป็นของตนเองจะจำกัดเฉพาะผู้ซื้อสัญชาติไทยหรือนิติบุคคลสัญชาติไทยเท่านั้น)
7. แนวทางการเลือกโครงการทาวน์เฮ้าส์ให้เหมาะสมกับเป้าหมายการใช้งาน
ทาวน์เฮ้าส์แต่ละโครงการมีจุดเด่นแตกต่างกัน การเลือกโครงการที่เหมาะสมควรพิจารณาให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการซื้อของผู้ซื้อแต่ละราย ดังแนวทางต่อไปนี้:
- สำหรับอยู่อาศัยเอง (บ้านหลังแรกหรืออยู่กับครอบครัว): ควรเลือกโครงการที่ตั้งอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวกไปยังที่ทำงานของตน มีสภาพแวดล้อมปลอดภัยและชุมชนน่าอยู่ พิจารณาคุณภาพบ้านและวัสดุก่อสร้างเป็นสำคัญเพราะจะอยู่อาศัยระยะยาว ควรมีจำนวนห้องนอนและพื้นที่ใช้สอยเพียงพอกับสมาชิกครอบครัว (เช่น 3 ห้องนอนหากวางแผนมีบุตร) โครงการที่มีพื้นที่ส่วนกลางอย่างสวนหรือสนามเด็กเล่นจะเป็นประโยชน์สำหรับครอบครัวที่มีเด็ก อีกทั้งควรตรวจสอบอัตราค่าส่วนกลางว่าเหมาะสมกับงบประมาณรายเดือนของตน นอกจากนี้ ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงและบริการหลังการขายของผู้พัฒนาโครงการ เพราะหากบ้านมีปัญหาในช่วงแรกจะได้แก้ไขได้รวดเร็ว
- สำหรับการลงทุนปล่อยเช่า: เน้นเลือกทำเลที่มีดีมานด์ผู้เช่าสูง เช่น ใกล้มหาวิทยาลัย โรงเรียน โรงพยาบาล สำนักงาน หรือย่านที่ชาวต่างชาตินิยมพักอาศัย โครงการควรตั้งอยู่บนถนนที่เข้าถึงง่าย ไม่ลึกเกินไปเพื่อความสะดวกของผู้เช่า รูปแบบบ้านไม่จำเป็นต้องใหญ่โตมากแต่ควรมีที่จอดรถและการจัดแบ่งพื้นที่ภายในที่ยืดหยุ่น (เช่น สามารถดัดแปลงห้องนอนเป็นห้องทำงานได้ หากผู้เช่าเป็นครอบครัวเล็กหรือคู่แต่งงานไม่มีบุตร) นักลงทุนควรคำนึงถึงอัตราค่าส่วนกลางด้วย เพราะจะเป็นต้นทุนที่หักจากค่าเช่า ถ้าค่าส่วนกลางสูงเกินไปอาจลดทอนผลตอบแทน ใส่ใจเลือกวัสดุและการตกแต่งที่ทนทานต่อการใช้งาน เพื่อประหยัดค่าบำรุงรักษาในระยะยาว อีกข้อหนึ่งคือควรสำรวจการแข่งขันในพื้นที่นั้นว่ามีบ้านเช่าประเภทเดียวกันจำนวนมากน้อยเพียงใด เพื่อประเมินความสามารถในการปล่อยเช่าและระดับค่าเช่าที่ตั้งได้
- สำหรับบ้านพักตากอากาศ/บ้านหลังที่สอง: ผู้ซื้อกลุ่มนี้อาจให้ความสำคัญกับบรรยากาศและความผ่อนคลายของโครงการเป็นพิเศษ ควรเลือกทำเลที่ไม่พลุกพล่านเกินไป อากาศดี ใกล้ธรรมชาติ เช่น โซนชานเมืองทางทิศเหนือหรือใกล้ภูเขาที่ยังเดินทางถึงเมืองได้ภายในเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง เลือกแบบบ้านที่มีพื้นที่เผื่อรองรับญาติหรือเพื่อนมาเยี่ยม (เช่น มี 2-3 ห้องนอน) สิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการอย่างสระว่ายน้ำ ฟิตเนส หรือระบบรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดอาจเป็นข้อดี เพราะบ้านหลังที่สองมักไม่มีผู้อยู่ตลอดเวลาต้องมั่นใจว่าจะปลอดภัยในช่วงที่ไม่มีคนอยู่ นอกจากนี้ควรพิจารณาค่าใช้จ่ายส่วนกลางรายปีและการบริหารจัดการทรัพย์สินกรณีที่ตนไม่ได้อยู่ดูแลเองบ่อย ๆ เช่น มีบริการดูแลสวนหรือดูแลบ้านระหว่างที่บ้านว่างหรือไม่
- สำหรับการเก็งกำไรขายต่อ: กรณีตั้งใจซื้อทาวน์เฮ้าส์เพื่อถือครองช่วงสั้นแล้วขายทำกำไร ผู้ซื้อควรเลือกโครงการจากผู้พัฒนาที่มีชื่อเสียงที่สามารถดึงดูดผู้ซื้อรายอื่นได้ง่ายในอนาคต ทำเลต้องมีแนวโน้มเติบโต เช่น ใกล้โครงการรถไฟฟ้าหรือห้างสรรพสินค้าใหม่ที่มีกำหนดเปิดในไม่กี่ปีข้างหน้า เลือกยูนิตที่มีลักษณะพิเศษซึ่งเป็นที่ต้องการสูง (เช่น แปลงหัวมุม, แปลงที่ติดสวนส่วนกลาง, หรือบ้านที่หน้ากว้างกว่าปกติ) เพราะขายต่อได้ง่ายและราคาเพิ่มขึ้นเร็วกว่า ระมัดระวังไม่ซื้อในโครงการที่มีจำนวนยูนิตลักษณะเดียวกันมากจนเกินไป (เพราะคู่แข่งในการขายต่อสูง) และควรคำนวณค่าใช้จ่ายในการถือครองระหว่างรอเวลาขาย เช่น ค่าส่วนกลางรายปี ค่าดอกเบี้ยเงินกู้ (ถ้ามี) เปรียบเทียบกับกำไรที่คาดว่าจะได้รับเมื่อขาย เพื่อให้แน่ใจว่าการลงทุนคุ้มค่า
ไม่ว่าผู้ซื้อจะมีเป้าหมายการใช้งานแบบใด การลงพื้นที่เยี่ยมชมโครงการจริง เปรียบเทียบหลาย ๆ โครงการ และซักถามข้อมูลจากผู้ขายหรือเพื่อนบ้านในโครงการ (หากเป็นบ้านมือสอง) จะช่วยให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ควรเลือกบ้านที่ “ใช่” ทั้งในด้านทำเล คุณภาพ และราคาที่สอดคล้องกับเป้าหมายของตน เพื่อให้การลงทุนหรือการอยู่อาศัยระยะยาวเป็นไปอย่างราบรื่นและคุ้มค่ามากที่สุด
8. Q&A คำถามคำตอบสำหรับนักลงทุนและผู้ซื้อบ้านมือแรก
ถาม: การลงทุนซื้อทาวน์เฮ้าส์ในเชียงใหม่ปี 2568 คุ้มค่าหรือไม่?
ตอบ: โดยภาพรวมปี 2568 ถือเป็นช่วงที่น่าสนใจสำหรับผู้ซื้อ เนื่องจากตลาดยังอยู่ในภาวะที่ผู้ซื้อมีอำนาจต่อรองสูง ผู้ประกอบการยอมให้ส่วนลดและโปรโมชั่นมากมาย ประกอบกับราคาบ้านยังไม่ได้ปรับตัวสูงจนเกินไปหลังภาวะชะลอตัวในปีก่อน หากลงทุนซื้อทาวน์เฮ้าส์ในทำเลที่มีศักยภาพและราคาเหมาะสม มีโอกาสได้รับทั้งผลตอบแทนค่าเช่าระหว่างถือครองราว 4-6% ต่อปี (สูงกว่าผลตอบแทนเงินฝากธนาคารโดยเฉลี่ยในปัจจุบัน) และกำไรจากมูลค่าบ้านที่เพิ่มขึ้นในอนาคตเมื่อเศรษฐกิจและตลาดอสังหาฯ ฟื้นตัวเต็มที่ อย่างไรก็ดี การลงทุนจะคุ้มค่าหรือไม่ขึ้นกับการเลือกทรัพย์ที่ถูกต้องและการบริหารจัดการด้วย ผู้ลงทุนควรศึกษาตลาดเฉพาะทำเลที่จะซื้ออย่างละเอียด เปรียบเทียบราคากับรายได้ค่าเช่าที่คาดว่าจะได้รับ และวางแผนการเงินให้พร้อมสำหรับการถือครองระยะยาว
ถาม: ผู้ซื้อบ้านมือแรกควรเตรียมตัวอย่างไร?
ตอบ: สำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรก ควรเริ่มจากการประเมินงบประมาณของตนเองอย่างรอบคอบ ดูความสามารถในการผ่อนชำระสินเชื่อในแต่ละเดือน (โดยทั่วไปค่างวดไม่ควรเกินประมาณ 30-40% ของรายได้สุทธิเพื่อไม่ให้การเงินตึงตัวเกินไป) จากนั้นสำรวจวงเงินสินเชื่อที่น่าจะขอได้และเตรียมเงินออมสำหรับ เงินดาวน์ (ปกติต้องมีเงินดาวน์อย่างน้อย 10-20% ของราคาบ้าน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขธนาคาร) ควรตรวจสอบ เครดิตบูโร ของตนเองว่ามีประวัติดีเพื่อให้การยื่นกู้ผ่านง่ายขึ้น นอกจากนี้ ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับทำเลที่สนใจและเปรียบเทียบโครงการหลาย ๆ แห่ง เพื่อหาโครงการที่ตอบโจทย์ทั้งด้านราคาและคุณภาพ เตรียมเอกสารส่วนตัวทางการเงินให้พร้อมสำหรับการยื่นกู้ (เช่น สลิปเงินเดือน รายการเดินบัญชี) หากเป็นไปได้ อาจขอคำปรึกษาจากเจ้าหน้าที่สินเชื่อธนาคารหรือผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเพื่อประมาณความสามารถกู้และรายละเอียดค่าใช้จ่ายวันโอนต่าง ๆ อีกทั้งปัจจุบันธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) มีโครงการบ้านล้านหลัง เฟส 3 สำหรับผู้มีรายได้น้อยที่ซื้อบ้านราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาทด้วยดอกเบี้ยคงที่ 3% ใน 5 ปีแรก ผู้ซื้อบ้านมือแรกที่เข้าเกณฑ์อาจสมัครใช้สิทธิสินเชื่อดังกล่าวเพื่อแบ่งเบาภาระดอกเบี้ย สุดท้ายคืออย่าลังเลที่จะสอบถามหรือขอข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้ขาย/โครงการ และควรลงพื้นที่ชมสถานที่จริงก่อนตัดสินใจซื้อ เพื่อความมั่นใจว่าเป็นบ้านที่ใช่สำหรับเรา
ถาม: ควรซื้อทาวน์เฮ้าส์ใหม่หรือบ้านมือสองดี?
ตอบ: การเลือกระหว่างบ้านใหม่กับบ้านมือสองขึ้นอยู่กับความต้องการและสถานการณ์ของผู้ซื้อเป็นหลัก ถ้ามองเรื่อง ความสะดวกสบายและความเสี่ยงต่ำ บ้านโครงการใหม่ให้ความมั่นใจเรื่องสภาพบ้านที่ไร้ปัญหา ได้ดีไซน์ทันสมัย และมักมาพร้อมการรับประกันจากผู้ประกอบการ แต่ก็ต้องแลกกับราคาที่สูงกว่าและทำเลที่อาจไกลเมืองกว่า ในขณะที่บ้านมือสองมี ข้อดีเรื่องราคา ที่จับต้องได้ง่ายกว่าในทำเลเดียวกัน และมีตัวเลือกทำเลกลางเมืองมากกว่า ผู้ซื้อที่มีงบจำกัดอาจได้บ้านพื้นที่ใหญ่ขึ้นหรือทำเลดีกว่าหากเลือกบ้านมือสอง อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับความเสี่ยงเรื่องสภาพทรัพย์ที่อาจต้องซ่อมแซมปรับปรุงและไม่มีการรับประกัน รวมถึงขั้นตอนการซื้อขายที่ซับซ้อนกว่าบ้านใหม่ (ต้องตรวจสอบเอกสารและสภาพบ้านเองอย่างละเอียด) สรุปคือถ้าเน้น ความสบายใจและพร้อมจ่ายเพื่อบ้านใหม่ ให้เลือกบ้านโครงการใหม่ แต่ถ้าเน้น ความคุ้มค่าและทำเล และยอมรับการจัดการปรับปรุงได้ บ้านมือสองก็เป็นตัวเลือกที่ดี
ถาม: หากซื้อทาวน์เฮ้าส์เพื่อปล่อยเช่า จะมีผู้เช่าง่ายหรือไม่?
ตอบ: โดยทั่วไปตลาดเช่าบ้านในเชียงใหม่มีความต้องการอยู่พอสมควร โดยเฉพาะในทำเลที่มีแหล่งงานหรือสถานศึกษารายล้อม เช่น ใกล้นิคมอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัย หรือย่านชุมชนชาวต่างชาติ หากซื้อทาวน์เฮ้าส์ในทำเลเหล่านี้โอกาสปล่อยเช่าจะค่อนข้างดี ผู้เช่ากลุ่มเป้าหมายอาจเป็นทั้งคนไทยที่ทำงานในพื้นที่ คู่สามีภรรยาที่เพิ่งสร้างครอบครัว หรือชาวต่างชาติที่มาพำนักระยะยาว ค่าเช่าที่ตั้งไม่ควรสูงเกินระดับราคาตลาดในย่านนั้นเพื่อดึงดูดผู้เช่า ในบางช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอหรือมีซัพพลายบ้านเช่าออกสู่ตลาดมาก ผู้ปล่อยเช่าอาจต้องใช้เวลาหาผู้เช่านานขึ้นและอาจต้องปรับลดค่าเช่าบ้างเพื่อให้แข่งขันได้ ดังนั้น กลยุทธ์คือเลือกทำเลบ้านที่มีดีมานด์สม่ำเสมอ (เช่น ใกล้แหล่งงานใหญ่ๆ) และบริหารการตั้งราคาให้เหมาะสม ก็จะช่วยให้หาผู้เช่าได้ไม่ยากและลดช่วงเวลาบ้านว่างลง
ถาม: ลงทุนคอนโดมิเนียมกับทาวน์เฮ้าส์ในเชียงใหม่ แบบไหนดีกว่ากัน?
ตอบ: การลงทุนในคอนโดมิเนียมและทาวน์เฮ้าส์มีข้อแตกต่างที่ควรพิจารณา คอนโดมิเนียมมี ข้อได้เปรียบ ตรงที่สามารถปล่อยเช่าระยะสั้นให้กับนักท่องเที่ยวได้ง่าย (โดยเฉพาะในย่านใจกลางเมืองหรือใกล้แหล่งท่องเที่ยว) และต่างชาติสามารถซื้อถือครองได้ ทำให้ตลาดขายต่อเปิดกว้างกว่า อย่างไรก็ดี คอนโดมีพื้นที่จำกัด เหมาะกับผู้เช่ากลุ่มคนโสดหรือคู่รักเท่านั้น และผู้ลงทุนต้องเสียค่าส่วนกลางรายเดือนสูงพอสมควร ด้าน ทาวน์เฮ้าส์ มีจุดเด่นเรื่องพื้นที่ใช้สอยที่มากกว่า (มีหลายห้องนอน เหมาะกับครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อนเช่าอยู่ร่วมกัน) และผู้เช่าส่วนหนึ่งชอบที่มีที่จอดรถและบรรยากาศเหมือนอยู่บ้านมากกว่า นอกจากนี้เจ้าของยังมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินซึ่งในระยะยาวมีโอกาสเพิ่มมูลค่าได้ อย่างไรก็ตาม ทาวน์เฮ้าส์ปล่อยเช่ามักรองรับผู้เช่าท้องถิ่นหรือชาวต่างชาติที่มาทำงานมากกว่านักท่องเที่ยว ค่าเช่าต่อเดือนอาจไม่สูงเท่าคอนโดหรูใจกลางเมือง และผู้ลงทุนต้องดูแลบำรุงรักษาตัวบ้านและบริเวณมากกว่าคอนโด กล่าวโดยสรุป หากเน้นปล่อยเช่าตลาดนักท่องเที่ยวและต้องการขายต่อให้ต่างชาติในอนาคต คอนโดอาจได้เปรียบ แต่ถ้าต้องการถือครองสินทรัพย์ระยะยาวที่มีที่ดินและปล่อยเช่าให้กลุ่มผู้อยู่อาศัยจริงจัง ทาวน์เฮ้าส์ก็เป็นทางเลือกที่ดี ทั้งนี้ควรพิจารณาทำเลและบริหารการลงทุนอย่างรอบคอบในทั้งสองกรณี
ถาม: ชาวต่างชาติสามารถซื้อทาวน์เฮ้าส์ในเชียงใหม่ได้หรือไม่?
ตอบ: ตามกฎหมายไทย ชาวต่างชาติไม่สามารถถือกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านแนวราบได้โดยตรง ทำให้การซื้อทาวน์เฮ้าส์ (ซึ่งถือเป็นบ้านบนที่ดิน) ในชื่อชาวต่างชาติโดยตรง ไม่ได้รับอนุญาต วิธีที่ชาวต่างชาติจะเข้ามาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทนี้มักเป็นรูปแบบทางอ้อม เช่น จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทในไทยที่ตนถือหุ้นส่วนน้อยแล้วให้บริษัทเป็นผู้ซื้อทรัพย์ หรือทำสัญญาเช่าระยะยาว 30 ปี (และต่ออายุสัญญาได้อีกตามกฎหมาย) แทนการซื้อขาด ทั้งสองวิธีนี้มีความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม รวมถึงยังมีความเสี่ยงทางกฎหมายหากดำเนินการไม่ถูกต้อง ดังนั้นโดยทั่วไปหากเป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง ชาวต่างชาติจะนิยมซื้อคอนโดมิเนียม (ซึ่งกฎหมายอนุญาตให้ต่างชาติถือครองกรรมสิทธิ์ได้ 100% ในอาคารชุดที่ต่างชาติซื้อรวมกันไม่เกิน 49% ของพื้นที่ทั้งหมด) มากกว่าการซื้อบ้านทาวน์เฮ้าส์หรือบ้านเดี่ยว


