ตัวกรอง
21,506 ผลลัพธ์

ขายที่ดินในประเทศไทย

Slider image 1
Slider image 2
Slider image 3
Slider image 4
Slider image 5
Slider image 6
Slider image 7
Slider image 8
Slider image 9
Slider image 10
Slider image 11
Slider image 12
Slider image 13
Slider image 14
Slider image 15
1 / 15
฿3,900,000
ที่ดิน
เมืองพัทยา, พัทยา, ชลบุรี
ขายที่ดิน ใน เมืองพัทยา, พัทยา
ที่ดินแปลงสวยในโครงการ PCK Pool Villa ทำเลหนองปรือ Property code : ELITEPTYSA0558 Features ที่ดินแปลงสวยภายในโครงการ PCK Pool Villa ขนาด 80–300 ตร.วา...
Slider image 1
Slider image 2
Slider image 3
Slider image 4
Slider image 5
Slider image 6
Slider image 7
Slider image 8
Slider image 9
Slider image 10
Slider image 11
Slider image 12
Slider image 13
Slider image 14
Slider image 15
1 / 15
฿3,900,000
ประกาศล่าสุด
ที่ดิน
เมืองพัทยา, พัทยา, ชลบุรี
ขายที่ดิน ใน เมืองพัทยา, พัทยา
ที่ดินแปลงสวยในโครงการ PCK Pool Villa ทำเลหนองปรือ Property code : ELITEPTYSA0558 Features ที่ดินแปลงสวยภายในโครงการ PCK Pool Villa ขนาด 80–300 ตร.วา...
Slider image 1
Slider image 2
Slider image 3
Slider image 4
Slider image 5
Slider image 6
Slider image 7
Slider image 8
Slider image 9
Slider image 10
Slider image 11
1 / 11
฿14,381,900
15,548 ตรม.ที่ดิน
แหลมกลัด, เมืองตราด, ตราด
ขายที่ดิน ใน แหลมกลัด, ตราด
ที่ดิน : แหลมกลัด ตราด ที่ตั้ง : ต.แหลมกลัด อ.เมืองตราด จ.ตราด รหัสทรัพย์ : T-128442 ประเภท : ที่ดิน เนื้อที่ : 9 ไร่ 2 งาน 87.0 ตารางวา กว้าง : 200...
Slider image 1
Slider image 2
Slider image 3
Slider image 4
Slider image 5
Slider image 6
Slider image 7
Slider image 8
Slider image 9
Slider image 10
1 / 10
฿8,900,000
8,300 ตรม.ที่ดิน
สองคลอง, บางปะกง, ฉะเชิงเทรา
ขายที่ดิน ใน สองคลอง, ฉะเชิงเทรา
ที่ดิน : บางปะกง ฉะเชิงเทรา ที่ตั้ง : ต.สองคลอง อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา รหัสทรัพย์ : T-128262 ประเภท : ที่ดิน เนื้อที่ : 5 ไร่ 75.0 ตารางวา กว้าง : 2...
Slider image 1
Slider image 2
Slider image 3
Slider image 4
Slider image 5
Slider image 6
Slider image 7
Slider image 8
Slider image 9
1 / 9
฿23,500,000
668 ตรม.ที่ดิน
สวนหลวง, สวนหลวง, กรุงเทพมหานคร
ขายที่ดิน ใน สวนหลวง, กรุงเทพมหานคร
ZJ186 ขายด่วนที่ดิน 167ตารางวา พระราม 9 ซอย46 ตรงข้ามเดอะไนนท์พระราม9 รายละเอียด : - พื้นที่ 167ตรว. หน้ากว้างประมาณ 19.5เมตร ลึก 34 เมตร - ใกล้...
Slider image 1
Slider image 2
Slider image 3
Slider image 4
Slider image 5
Slider image 6
Slider image 7
Slider image 8
Slider image 9
1 / 9
฿33,000,000
ประกาศล่าสุด
52,952 ตรม.ที่ดิน
อ่าวน้อย, เมืองประจวบคีรีขันธ์, ประจวบคีรีขันธ์
ขายที่ดิน ใน อ่าวน้อย, หัวหิน
รหัสทรัพย์ 11414 : ซอยสันตินคร >>ใกล้หมู่บ้านศิริวรรณ *ค่าพิกัด : -----,----- / -----,----- ประเภททรัพย์สิน : ที่ดินเปล่า 2 แ...
Slider image 1
Slider image 2
Slider image 3
Slider image 4
Slider image 5
Slider image 6
Slider image 7
Slider image 8
Slider image 9
Slider image 10
Slider image 11
Slider image 12
Slider image 13
Slider image 14
Slider image 15
Slider image 16
Slider image 17
Slider image 18
Slider image 19
Slider image 20
1 / 20
฿16,000,000
216 ตรม.ที่ดิน
ห้วยขวาง, ห้วยขวาง, กรุงเทพมหานคร
ขายที่ดิน ใน ห้วยขวาง, กรุงเทพมหานคร
คุณ วรรณรัช บุญสวัสดิ์ (วิน) เบอร์ติดต่อ : ----- Office : ----- สอบถามทางไลน์ ----- ----- รหัสอสังหาริมทร...
Slider image 1
Slider image 2
Slider image 3
Slider image 4
Slider image 5
Slider image 6
Slider image 7
Slider image 8
Slider image 9
Slider image 10
Slider image 11
Slider image 12
Slider image 13
Slider image 14
Slider image 15
Slider image 16
Slider image 17
Slider image 18
Slider image 19
Slider image 20
Slider image 21
1 / 21
฿108,000,000
4,800 ตรม.ที่ดิน
ประชาธิปัตย์, ธัญบุรี, ปทุมธานี
ขายที่ดิน ใน ประชาธิปัตย์, ปทุมธานี
คุณ วรรณรัช บุญสวัสดิ์ (วิน) เบอร์ติดต่อ : ----- Office : ----- สอบถามทางไลน์ ----- ----- รหัสอสังหาริมทร...
Slider image 1
Slider image 2
Slider image 3
Slider image 4
Slider image 5
Slider image 6
Slider image 7
Slider image 8
1 / 8
฿2,800,000
2,548.40 ตรม.ที่ดิน
แหลมฟ้าผ่า, พระสมุทรเจดีย์, สมุทรปราการ
ขายที่ดิน ใน แหลมฟ้าผ่า, สมุทรปราการ
ติดต่อ : คุณสินี ----- office : ----- ที่ตั้ง : ซอยสองสันตินิเวศน์ ตำบลแหลมฟ้าผ่า อำเภอพระสมุทรเจดีย์ สมุทรปราการ 10290 พื้นที่ : 1 ไร่ 2...
แสดงผลลัพธ์ 31 - 60, หน้า 2 จากทั้งหมด 333 หน้า

ตลาดที่ดินไทย 2567-2568: คู่มือเจาะลึกการลงทุนและอยู่อาศัย

ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของ ตลาดที่ดิน ที่มีความคึกคักทั้งในด้านการลงทุนและการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง บทความนี้จะพาผู้อ่านชาวไทยไปสำรวจภาพรวมตลาดที่ดินช่วงปี พ.ศ. 2567-2568 อย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มราคาในทำเลสำคัญต่าง ๆ (กรุงเทพฯ, พัทยา, เชียงใหม่, ภูเก็ต, หัวหิน, เกาะสมุย และหัวเมืองรองอื่น ๆ) การวิเคราะห์กลุ่มผู้ซื้อ (Buyer Persona) ทั้งนักลงทุนระยะสั้น-ยาว คนที่ต้องการปลูกบ้านเอง รวมถึงผู้ซื้อที่ดินเพื่อทำธุรกิจ ตลอดจนข้อดี-ข้อเสียของการซื้อที่ดินแต่ละประเภท (ที่ดินเปล่า ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และที่ดินติดถนนใหญ่) นอกจากนี้ยังมี ตารางเปรียบเทียบราคาที่ดินตามทำเลต่าง ๆ พร้อมค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เห็นภาพรวมอย่างเป็นระบบ ท้ายสุดเราจะให้คำแนะนำด้านกฎหมายและข้อควรระวังในการซื้อขายที่ดิน และมองไปข้างหน้าถึงแนวโน้มตลาดที่ดินไทยในอีก 5 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2569-2573) เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับผู้อ่านที่สนใจลงทุนหรือวางแผนล่วงหน้า

หมายเหตุ: บทความนี้มุ่งเน้นข้อมูลตลาดที่ดินสำหรับการพัฒนาเพื่อที่อยู่อาศัยและการลงทุน ไม่รวมที่ดินเพื่อการเกษตร โดยใช้ปีพุทธศักราช (พ.ศ.) และหน่วยสกุลเงินเป็นเงินบาททั้งหมด เพื่อความสะดวกของผู้อ่านชาวไทย

ภาพรวมตลาดที่ดินไทยปี พ.ศ. 2567-2568

ตลาดที่ดินในประเทศไทยช่วงปี 2567-2568 มีความเคลื่อนไหวอย่างน่าสนใจ แม้เศรษฐกิจโดยรวมจะยังเผชิญความท้าทาย แต่ราคาที่ดินกลับปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ สาเหตุสำคัญมาจากปัจจัยด้านการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์หลังสถานการณ์โควิด-19, การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ, และความต้องการซื้อที่ดินทั้งจากนักลงทุนไทยและต่างชาติที่ยังแข็งแกร่ง ในหัวข้อนี้เราจะสรุปภาพรวมสำคัญของตลาดที่ดินไทยในรอบปีที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน

การปรับขึ้นของราคาประเมินและราคาตลาด: กรมธนารักษ์ได้ประกาศใช้ ราคาประเมินที่ดินรอบใหม่ (พ.ศ. 2566-2569) ตั้งแต่ต้นปี 2566 ซึ่งส่งผลให้ ราคาประเมินราชการเฉลี่ยทั่วประเทศปรับขึ้นประมาณ 8% เมื่อเทียบกับรอบก่อนหน้า การปรับราคาประเมินใหม่นี้สะท้อนถึงแนวโน้มราคาที่ดินในตลาดที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องหลายปี ทั้งในเขตเมืองใหญ่และต่างจังหวัด เช่น กรุงเทพมหานครมีราคาประเมินเพิ่มขึ้นเฉลี่ย ~3% โดยพื้นที่ใจกลางเมืองยังมีราคาประเมินสูงสุด (เช่น ย่านถนนสีลม เพลินจิต วิทยุ พระราม 1 มีราคาประเมินสูงถึงประมาณ 1,000,000 บาท/ตร.วา) อย่างไรก็ดี ราคาซื้อขายจริงในตลาดมักสูงกว่าราคาประเมิน โดยเฉพาะที่ดินแปลงงามในย่านธุรกิจที่มีความต้องการสูง ซึ่งราคาตลาดต่อ ตร.วา ในบางทำเลทะลุหลักหลายล้านบาทไปแล้ว ขณะเดียวกัน จังหวัดท่องเที่ยวและหัวเมืองใหญ่ต่างจังหวัดหลายแห่งก็มีราคาประเมินเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด (เช่น ภูเก็ต ราคาประเมินใหม่ปรับเพิ่มเฉลี่ย 10-15% บางพื้นที่ติดทะเลราคาประเมินสูงถึง 200,000 บาท/ตร.วา ส่วน ชลบุรี โดยเฉพาะเขตพัทยาราคาประเมินสูงสุดราว 220,000 บาท/ตร.วา เป็นต้น) การที่ราคาประเมินขยับขึ้นส่งผลให้เพดานราคาซื้อขายมีแนวโน้มปรับตาม เนื่องจากเจ้าของที่ดินมักยึดราคาประเมินเป็นฐานขั้นต่ำในการต่อรองราคา

ดีมานด์ที่ฟื้นตัวและปัจจัยกระตุ้น: หลังจากวิกฤตโควิดผ่านพ้น ภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ส่งผลให้ความต้องการใช้ที่ดินเพิ่มขึ้นในหลายวัตถุประสงค์ ทั้งการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ การสร้างโรงแรม/รีสอร์ตในเมืองท่องเที่ยว และการขยายธุรกิจในทำเลศักยภาพ นักลงทุนทั้งรายใหญ่และรายย่อยกลับมาหาโอกาสซื้อที่ดินสะสม (land banking) อีกครั้ง ขณะที่ประชาชนทั่วไปที่ได้รับบทเรียนเรื่องพื้นที่ใช้สอยจากช่วงล็อกดาวน์ ก็มีความต้องการที่ดินเพื่อปลูกสร้างบ้านแนวราบมากขึ้น โดยเฉพาะในเขตรอบนอกเมืองที่มีบรรยากาศโปร่งสบาย เหล่านี้ทำให้ตลาดที่ดินกลับมาคึกคัก ผู้ขายที่ดินมีโอกาสในการปล่อยขายทรัพย์สินได้มากขึ้นกว่าช่วง 2-3 ปีก่อน

สวนทางกับเศรษฐกิจชะลอตัว: ที่น่าสังเกตคือ ราคาและดัชนีที่ดินยังคงขาขึ้น แม้เศรษฐกิจมหภาคจะชะลอตัว ปัจจัยลบอย่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่อยู่ในระดับสูงและกำลังซื้อในประเทศที่ฟื้นตัวช้า ไม่ได้ฉุดให้ราคาที่ดินลดลงแต่อย่างใด ตรงกันข้าม ที่ดินยังถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (safe haven asset) สำหรับนักลงทุนในช่วงเศรษฐกิจผันผวน เนื่องจากมีตัวตนจริงและมีจำนวนจำกัด ไม่เสื่อมค่าไปตามกาลเวลาเหมือนสินทรัพย์การเงิน เช่น หุ้นหรือคริปโต ที่ดินเปล่าจึงกลายเป็นหนึ่งในการลงทุนทางเลือกที่หลายคนใช้กระจายความเสี่ยงของพอร์ต นอกจากนี้ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่มีผลบังคับใช้ (ซึ่งเก็บภาษีตามมูลค่าทรัพย์สิน) แม้จะสร้างภาระการถือครองเพิ่มขึ้น แต่ในช่วงแรกอัตราภาษียังอยู่ในเกณฑ์ต่ำถึงปานกลาง ส่งผลจำกัดต่อการตัดสินใจขาย ผู้ถือครองจำนวนมากเลือกถือที่ดินต่อเพราะเชื่อมั่นว่าราคาจะปรับขึ้นในอนาคต การปรับลดค่าโอนกรรมสิทธิ์และภาษีธุรกิจบางช่วงที่รัฐใช้กระตุ้นภาคอสังหาฯ ก็ช่วยพยุงตลาดทางอ้อมเช่นกัน

แรงหนุนจากโครงสร้างพื้นฐาน: การลงทุนของภาครัฐใน โครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เป็นอีกตัวเร่งสำคัญให้ราคาที่ดินพุ่งสูงในหลายทำเล ไม่ว่าจะเป็นการขยายเส้นทางรถไฟฟ้าปริมณฑลในกรุงเทพฯ (เช่น สายสีชมพู สายสีเหลืองเปิดใช้ในปี 2566 และยังมีสายสีส้ม ม่วงใต้ ฯลฯ ที่คาดว่าจะทยอยเปิดในไม่กี่ปีข้างหน้า) การสร้าง มอเตอร์เวย์และทางด่วนใหม่ (เช่น มอเตอร์เวย์บางใหญ่-กาญจนบุรี, มอเตอร์เวย์สาย M6, M81 รวมถึงทางด่วนสายใหม่ในภูเก็ตอย่างโครงการกะทู้-ป่าตอง) ตลอดจนโครงการ รถไฟความเร็วสูง ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ (เฟสแรกกรุงเทพฯ-โคราช ที่คาดว่าจะเปิดใช้ประมาณปี 2569-2570 และโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ในพื้นที่ภาคตะวันออก) ทุกโครงการเหล่านี้มีส่วนทำให้ที่ดินบริเวณโดยรอบหรือจุดยุทธศาสตร์ตามแนวเส้นทาง มีมูลค่าสูงขึ้นเนื่องจากนักเก็งกำไรและผู้พัฒนารีบเข้าซื้อที่ดินล่วงหน้าก่อนโครงการเสร็จสมบูรณ์ ดังจะเห็นว่าราคาที่ดินในย่านชานเมืองและต่างจังหวัดบางจุดพุ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากข่าวและความคืบหน้าของโครงการ เช่น ที่ดินแถว บางนา-ตราด ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ มีรายงานว่าปี 2566 ราคาขายขยับขึ้นมากกว่า 50% ในบางแปลง เพราะเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์รับ EEC และสนามบิน หรือที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าสายใหม่ ๆ ในกรุงเทพฯ ก็ปรับขึ้นทันทีที่รถไฟฟ้าเปิดเดินรถ

ตลาดสองขั้ว: เมืองหลัก vs เมืองรอง: ภาพรวมทั้งประเทศยังสะท้อนลักษณะ “สองขั้ว” ของตลาดที่ดิน กล่าวคือ ที่ดินในเมืองหลักและทำเลไพร์มมีราคาแพงมากอยู่แล้ว การเติบโตจึงช้าลงแต่มั่นคง (เช่น กลางกรุงเทพฯ เพิ่มปีละ ~5% ในภาวะปกติ) ขณะที่ ที่ดินในเขตเมืองขยายหรือจังหวัดหัวเมืองรองสามารถโตแบบก้าวกระโดดเป็นเปอร์เซ็นต์เมื่อมีปัจจัยบวกหนุน เนื่องจากฐานราคาต่ำกว่า ทำให้นักลงทุนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยให้ความสนใจไปยัง จังหวัดศูนย์กลางภูมิภาค และ เขตเศรษฐกิจพิเศษ ต่าง ๆ มากขึ้น เช่น ชลบุรี (EEC), ขอนแก่น, นครราชสีมา, เชียงใหม่ ฯลฯ เพราะมองเห็นศักยภาพการเติบโตสูงในอีกหลายปีข้างหน้า แนวโน้มนี้ยิ่งชัดขึ้นหลังโควิด เมื่อหลายบริษัทขยายงานนอกกรุงเทพฯ และคนวัยทำงานบางส่วนย้ายกลับภูมิลำเนา ทำให้ ตลาดที่ดินภูมิภาคคึกคัก และการกระจุกตัวเฉพาะในเมืองหลวงลดลงบ้าง

สรุปแล้วช่วงปี 2567-2568 ถือเป็นช่วงที่ ตลาดที่ดินไทยเริ่มกลับมาร้อนแรง อีกครั้ง ราคาปรับขึ้นแทบทุกภูมิภาค แม้จะไม่หวือหวาพร้อมกันทุกพื้นที่ แต่ก็ไม่มีสัญญาณของการปรับฐานลงอย่างมีนัยสำคัญ ความท้าทายในระยะสั้นอย่างดอกเบี้ยและเศรษฐกิจทำได้เพียงชะลอการซื้อขายบางส่วนแต่ไม่อาจกดราคาลง ในส่วนต่อไป เราจะเจาะลึกลงไปว่าที่ดินในทำเลสำคัญต่าง ๆ มีสถานการณ์อย่างไรบ้าง ทั้งราคาเฉลี่ย ผลตอบแทน (ROI) และปัจจัยเฉพาะพื้นที่ที่ควรรู้

ราคาและ ROI ที่ดินรายทำเลสำคัญ

ทำเลที่ตั้งของที่ดินมีผลอย่างมากต่อราคาและผลตอบแทนการลงทุน (ROI) โดยในประเทศไทยแต่ละเมืองหรือพื้นที่สำคัญจะมีลักษณะตลาดแตกต่างกันไป ในหัวข้อนี้เราจะเปรียบเทียบสถานการณ์ที่ดินในทำเลยอดนิยมทั้งเพื่อการลงทุนและการอยู่อาศัย ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, พัทยา (ชลบุรี), เชียงใหม่, ภูเก็ต, หัวหิน, เกาะสมุย รวมถึงกล่าวถึง หัวเมืองรองอื่น ๆ ที่น่าสนใจ ซึ่งเริ่มได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น มาดูกันทีละพื้นที่ว่าราคาที่ดินอยู่ในระดับใด ผลตอบแทนการลงทุนเป็นอย่างไร และมีปัจจัยใดหนุนหรือฉุดตลาดในบริเวณนั้น

กรุงเทพฯ และปริมณฑล - เมืองหลวงสองขั้ว: แพงสุดในใจกลาง โตแรงในชานเมือง

กรุงเทพมหานคร ยังครองแชมป์ทำเลที่ดินราคาแพงที่สุดในประเทศ โดยเฉพาะเขตศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) ที่ราคาซื้อขายที่ดินแตะระดับ หลักล้านบาทต่อ ตร.วา ไปแล้วหลายทำเล ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ย่านเพลินจิต-ชิดลม ซึ่งมีการซื้อขายที่ดินราคาสูงสุดถึงประมาณ 3.75 ล้านบาท/ตร.วา (ข้อมูลสิ้นปี 2567 จากดีลที่ดินแปลงติดถนนใหญ่) ย่านอื่น ๆ ที่ราคาไล่เลี่ยกัน ได้แก่ ถนนวิทยุ (~3.1 ล้านบาท/ตร.วา), สุขุมวิทตอนต้นช่วงนานา-อโศก (~2.5-2.8 ล้าน/ตร.วา), สีลม-สาทร (~2.4-2.7 ล้าน/ตร.วา) เป็นต้น จะเห็นว่าราคาตลาดสูงกว่าราคาประเมินของรัฐหลายเท่าตัว (ราคาประเมินถนนสุขุมวิทสูงสุด ~750,000 บาท/ตร.วา, สีลม ~1,000,000 บาท/ตร.วา) ซึ่งสะท้อนกำลังซื้อของผู้พัฒนาอสังหาฯ ที่ยอมจ่ายแพงเพื่อครอบครองที่ดินแปลงงามในทำเลเศรษฐกิจชั้นนำ สำหรับแนวโน้ม ROI ในย่านกลางกรุง ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ “เติบโตค่อยเป็นค่อยไปแต่มั่นคง” เนื่องจากฐานราคาที่สูงมากอยู่แล้ว การจะให้เพิ่มขึ้นปีละเป็นสิบเปอร์เซ็นต์คงเป็นไปได้ยาก ส่วนใหญ่ที่ผ่านมา ราคาที่ดินใจกลางกรุงเทพฯ ขยับปีละประมาณ 5% (ในช่วงเศรษฐกิจปกติ) ซึ่งแม้ไม่หวือหวาแต่ก็ถือว่าเป็น การเติบโตต่อเนื่อง และมีความเสี่ยงต่ำ ความต้องการใช้ที่ดินใน CBD ยังมีเสถียรภาพจากดีมานด์สร้างอาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า และคอนโดมิเนียมหรูที่มีมาตลอด ดังนั้นผู้ที่ลงทุนซื้อที่ดินกลางเมืองมักหวังผลระยะยาวและมั่นใจในมูลค่าทรัพย์สินที่ไม่มีวันตก (ในอดีตราคาที่ดินใจกลางกรุงไม่เคยปรับลดลงเลย แม้เจอวิกฤตต้มยำกุ้งหรืออุทกภัยใหญ่ปี 2554 ก็ตาม มีแต่ทรงตัวแล้วก็ขึ้นต่อ)

อย่างไรก็ตาม ไฮไลต์ของกรุงเทพฯ ในช่วงปี 2566-2568 กลับอยู่ที่ เขตชานเมืองและปริมณฑล ที่มีอัตราการเพิ่มขึ้นของราคาที่ดิน สูงกว่าเขตในเมืองในเชิงเปอร์เซ็นต์ หลายพื้นที่รอบนอกกรุงราคายังไม่สูงมาก แต่เมื่อมี ปัจจัยใหม่ ๆ เข้ามากระตุ้น เช่น รถไฟฟ้า, ทางด่วน, ห้างใหญ่, นิคมอุตสาหกรรม หรือโครงการเมืองใหม่ ก็จะดันราคาพุ่งแรงเกินหน้าเขตเมืองชั้นใน ยกตัวอย่างที่กำลังถูกกล่าวขวัญคือ โซนบางนา-ตราดและรอบสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งได้อานิสงส์จากโครงการ EEC (Eastern Economic Corridor - ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก) ทำให้ราคาที่ดินปรับขึ้นรวดเร็ว บางทำเลขึ้นมากกว่า 50% ในปี 2566 เพียงปีเดียว นักลงทุนรายใหญ่เข้ามาซื้อที่ดินทำเลดีเพื่อเตรียมพัฒนาศูนย์ธุรกิจและโครงการมิกซ์ยูสใหม่ใกล้สนามบิน อีกตัวอย่างคือ พื้นที่ปริมณฑล นนทบุรี-ปทุมธานี ตามแนวรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสีแดง ที่ราคาที่ดินและราคาประเมินปรับขึ้นสูงเช่นกัน (ข้อมูลกรมธนารักษ์ระบุว่าในการปรับประเมินรอบล่าสุด ที่ดินย่าน บางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง จ.สมุทรปราการ เพิ่ม ~57%, ย่าน เมืองนนทบุรี-ปากเกร็ด เพิ่ม ~47%, เมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว เพิ่ม ~32% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ชานเมือง) ขณะที่พื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ ปรับขึ้น ~16% ตามข้อมูลเดียวกัน นี่แสดงถึง การขยายตัวของความเจริญ จากศูนย์กลางออกไปยังขอบนอก เมื่อประชากรและสิ่งอำนวยความสะดวกกระจายออก ราคาที่ดินรอบนอกก็ขยับสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว

สรุปภาพตลาดที่ดินกรุงเทพฯ: ปัจจุบันกรุงเทพฯ จึงมีลักษณะตลาดแบบ “สองขั้ว” คือ ขั้วแรก ที่ดินใจกลางเมืองราคาสูงลิบ เติบโตปีละเล็กน้อยแต่มั่นคง เหมาะแก่การถือครองยาวเพื่อเก็บมูลค่า ขั้วที่สอง ที่ดินชานเมือง/เมืองบริวาร ราคายังย่อมเยาเมื่อเทียบกับศักยภาพ และมีโอกาสขยับขึ้นก้าวกระโดดเมื่อมีตัวเร่ง (ROI ระยะสั้น-กลางอาจสูงมากหากเลือกจุดถูก เช่น ซื้อก่อนรถไฟฟ้ามาแล้วขายทีหลัง) นักลงทุนที่มองกรุงเทพฯ จึงต้องชั่งน้ำหนักระหว่าง ความเสี่ยงต่ำผลตอบแทนปานกลางใน CBD กับ ความเสี่ยงสูงแต่ผลตอบแทนอาจสูงตามในเขตรอบนอก ทั้งนี้ยังมีปัจจัยใหม่อย่าง เทรนด์การอยู่อาศัยแนวราบและ Work from Home หลังโควิด ที่ทำให้คนกรุงจำนวนหนึ่งย้ายออกไปหาซื้อบ้านและที่ดินชานเมืองมากขึ้น กระแสนี้ส่งผลดีต่อราคาที่ดินแถบชานเมืองอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับตลาดคอนโดกลางเมืองที่ชะลอช่วงหนึ่งแล้วค่อยฟื้นตัว ดังนั้นโดยรวมแล้วกรุงเทพฯ และปริมณฑลยังเป็นทำเลทองที่ดินที่น่าลงทุน แต่กลยุทธ์อาจต่างกันไปตามพื้นที่

พัทยา (ชลบุรี) - เมืองท่องเที่ยว EEC ราคายังถูกกว่าเมืองใหญ่ ผลตอบแทนน่าจับตา

พัทยา จ.ชลบุรี เป็นทำเลที่ดินยอดนิยมอีกแห่งที่นักลงทุนไทยให้ความสนใจ เนื่องจากเป็นเมืองท่องเที่ยวชายทะเลยอดฮิตซึ่งกำลังได้รับแรงหนุนจากโครงการเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) พัทยามีจุดแข็งที่อยู่ไม่ไกลกรุงเทพฯ เดินทางสะดวก มีโครงสร้างพื้นฐานดี และเป็นศูนย์กลางทั้งด้านการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรม (นิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดใกล้เคียง) สถานการณ์ราคาที่ดินพัทยาในช่วง 2567-2568 มีความโดดเด่นหลายประการ ดังนี้:

  • ราคายัง “คุ้มค่า” เมื่อเทียบกับศักยภาพ: แม้ว่าราคาที่ดินพัทยาจะปรับเพิ่มขึ้นมากในช่วงหลัง แต่เมื่อเทียบกับกรุงเทพฯ หรือภูเก็ตซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวเช่นกัน หลายทำเลในพัทยาราคายังถูกกว่ามาก ตัวอย่างเช่น ที่ดินติดชายหาดพัทยา ในทำเลสวย ๆ ราคาต่อ ตร.วา อยู่ในหลัก แสนบาท (บางแปลงราว 100,000-300,000 บาท/ตร.วา ขึ้นกับความใกล้ทะเลและหน้ากว้างติดหาด) ขณะที่ กรุงเทพฯ CBD ราคาที่ดินทะลุหลัก ล้านบาท/ตร.วา ไปแล้ว ดังนั้นนักลงทุนที่ซื้อที่ดินพัทยาในวันนี้จึงเปรียบเสมือนได้ “ของดีในราคาที่เอื้อมถึง” กว่าการไปไล่ซื้อที่ดินในกรุง ด้วยช่องว่างราคาที่ต่างกันนี้ ยังเปิดโอกาสให้คาดหวัง ส่วนต่างกำไร (Capital Gain) ในอนาคตได้สูง หากราคาที่ดินพัทยาขยับเข้าใกล้เมืองใหญ่เมื่อศักยภาพพัฒนาเต็มที่
  • อุปทานที่ดินจำกัดในทำเลทอง: พื้นที่ใจกลางเมืองพัทยาและบริเวณริมชายหาดมีที่ดินเหลือให้พัฒนาไม่มากนัก เนื่องจากพัทยาพัฒนามานานและมีข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ (ด้านหนึ่งติดทะเล ด้านหลังเป็นเนินเขา) ที่ดินหลายส่วนถูกใช้ไปแล้ว ความต้องการที่ดินที่ยังมีต่อเนื่องในขณะที่ ซัพพลายใหม่มีน้อย ทำให้ที่ดินทำเลสำคัญ ๆ มีแนวโน้มราคาสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในระยะยาว การได้ครอบครองที่ดินแปลงงามในพัทยาจึงเสมือนถือสินทรัพย์หายาก ที่มูลค่ามักเพิ่มขึ้นตามกาลเวลาโดยอัตโนมัติ
  • ROI หลากหลายทางเลือก: การลงทุนที่ดินในพัทยาสามารถสร้างผลตอบแทนได้หลายรูปแบบตามกลยุทธ์ของผู้ถือครอง ไม่ว่าจะเป็น เก็งกำไรขายต่อ เมื่อราคาขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า, พัฒนาโครงการเอง เช่น สร้างวิลล่าหรืออาคารเช่า (เพื่อรับค่าเช่ารายเดือนซึ่งพัทยามีดีมานด์เช่าสูงทั้งจากคนไทยและต่างชาติ), หรือ ร่วมทุนกับผู้พัฒนารายใหญ่ ให้เข้ามาพัฒนาที่ดินของเราก็ได้ ลักษณะตลาดพัทยาที่มีทั้งคนไทยและต่างชาติสนใจ ทำให้มี ทางออกการลงทุน (Exit) ที่หลากหลายเมื่อถึงเวลาขาย ทำให้นักลงทุนถือที่ดินได้อย่างคล่องตัวกว่าในบางจังหวัดที่อาจพึ่งพาดีมานด์ภายในประเทศเป็นหลัก
  • กระแสลงทุน EEC และโครงสร้างพื้นฐาน: พัทยาเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ EEC ที่รัฐบาลผลักดัน มี เมกะโปรเจ็กต์ หลายอย่างทั้งที่เสร็จแล้วและกำลังจะมา เช่น มอเตอร์เวย์สายใหม่ (มอเตอร์เวย์พัทยา-มาบตาพุด) สนามบินอู่ตะเภา ที่จะพัฒนาเป็นสนามบินนานาชาติเต็มรูปแบบพร้อมเมืองการบิน รวมถึง โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ที่จะมีสถานีผ่านใกล้พัทยา สิ่งเหล่านี้ส่งเสริมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในพัทยาอย่างมาก เมื่อเดินทางสะดวกขึ้น นักลงทุนก็เข้ามาจับจองที่ดินมากขึ้น ราคาที่ดินตามแนวโครงสร้างพื้นฐาน (เช่น แถวสถานีรถไฟความเร็วสูง หรือทางเข้าสนามบินอู่ตะเภา) ต่างก็ขยับสูงจากการเก็งกำไรล่วงหน้า ในช่วงปี 2567-2568 ที่ผ่านมา ราคาที่ดินพัทยาปรับขึ้นเฉลี่ยประมาณ 5-10% (ในบางจุดสูงกว่านั้น) และมีแนวโน้มต่อเนื่องไปปี 2569 ตามแรงขับเคลื่อนจากโครงการใหญ่เหล่านี้
  • ฐานผู้ซื้อหลากหลายและกำลังซื้อสูง: พัทยามีทั้งผู้ซื้อคนไทยและต่างชาติ (รัสเซีย จีน ยุโรป ฯลฯ) สนใจลงทุน อสังหาฯ หลายประเภท ผลจากการที่ต่างชาติไม่สามารถถือครองที่ดินโดยตรง (ต้องถือผ่านบริษัทหรือเช่าระยะยาว) ทำให้ที่ดินพัทยายังซื้อขายเปลี่ยนมือหลัก ๆ ระหว่างคนไทยด้วยกัน แต่ต่างชาติมีอิทธิพลทางอ้อมโดยนิยมซื้อคอนโดหรือบ้าน ทำให้ผู้พัฒนาต้องซื้อที่ดินมาป้อนดีมานด์กลุ่มนี้ต่อเนื่อง ล่าสุดหลังโควิด นักลงทุนรัสเซียจำนวนมากย้ายความสนใจจากตลาดพัทยาไปภูเก็ตบ้าง แต่กลุ่มจีนและชาติอื่นยังมองพัทยาเป็นทำเลน่าสนใจ ทั้งเพื่อการท่องเที่ยวและเกษียณ ส่งผลให้ตลาดที่ดินยังมีแรงส่งอยู่เสมอ

สรุปสำหรับพัทยา: ราคาที่ดินแม้เพิ่มขึ้นแต่ยังต่ำกว่ากรุงเทพฯ/ภูเก็ตมาก จึงมีศักยภาพปรับขึ้นอีกในอนาคต ROI ของการลงทุนที่ดินพัทยาจัดว่าน่าสนใจ ทั้งในแง่ส่วนต่างราคา (capital gain) ที่คาดหวังได้สูง และผลตอบแทนจากการพัฒนาปล่อยเช่า (rental yield) หากสร้างสิ่งปลูกสร้าง อย่างการทำวิลล่า/พูลวิลล่าปล่อยเช่าในพัทยา ปัจจุบันให้ผลตอบแทนราว 5-8% ต่อปีได้ไม่ยากเพราะตลาดนักท่องเที่ยวแข็งแกร่ง ขณะที่การถือที่ดินเปล่าเฉย ๆ ก็มีโอกาสได้กำไรจากราคาที่ขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเศรษฐกิจ EEC เต็มรูปแบบในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า พัทยาจึงเป็นทำเลที่ทั้งนักเก็งกำไรและนักลงทุนระยะยาวควรจับตา

เชียงใหม่ - เมืองใหญ่ภาคเหนือ แนวโน้มโตต่อเนื่องด้วยท่องเที่ยวและโครงสร้างพื้นฐาน

เชียงใหม่ เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของภาคเหนือ มีความโดดเด่นด้านวัฒนธรรม การศึกษา และธรรมชาติสวยงาม ทำให้ดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวและคนไทยที่ย้ายถิ่นฐานไปอยู่อาศัย ราคาที่ดินเชียงใหม่โดยรวมยังไม่สูงเท่ากรุงเทพฯ หรือเมืองท่องเที่ยวชายทะเล แต่ก็ปรับตัวขึ้นอย่างสม่ำเสมอในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ช่วงปี 2567-2568 ตลาดที่ดินเชียงใหม่มีประเด็นน่าสนใจดังนี้:

  • ราคาที่ดินใจกลางเมืองและโซนยอดนิยม: พื้นที่ใจกลางเชียงใหม่ เช่น รอบคูเมือง, ย่านนิมมานเหมินท์, ถนนสุเทพ ใกล้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ฯลฯ เป็นทำเลที่ดินราคาสูงสุดในจังหวัด ปัจจุบัน ราคาซื้อขายที่ดินในย่านธุรกิจ/ท่องเที่ยวเชียงใหม่ เฉลี่ยประมาณ 100,000 - 250,000 บาท/ตร.วา โดยที่ดินแปลงเล็ก ๆ ติดถนนใหญ่หรือใกล้แหล่งท่องเที่ยวสำคัญอาจประกาศขายกันสูงถึง ~200,000+ บาท/ตร.วา (ราคาประเมินกรมธนารักษ์ระบุช่วงสูงสุดประมาณ 250,000 บาท/ตร.วา) ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับ 5-10 ปีก่อนที่ราคายังหลักหมื่นปลายถึงต้นแสนเท่านั้น สาเหตุที่ราคาขึ้นมาจากดีมานด์สร้างโรงแรม บูติกโฮเทล คาเฟ่ และคอนโดมิเนียมรองรับการท่องเที่ยวและนักศึกษาต่างถิ่นที่มาเรียนในเชียงใหม่
  • ขยายตัวสู่ชานเมือง: ปัจจุบันความเจริญของเชียงใหม่ได้กระจายออกไปยังอำเภอรอบนอกที่ติดกับอำเภอเมือง เช่น สารภี, สันทราย, สันกำแพง, แม่ริม เป็นต้น พื้นที่เหล่านี้มีการพัฒนาโครงการจัดสรรที่อยู่อาศัยใหม่ ๆ จำนวนมาก เพื่อตอบรับความต้องการบ้านพร้อมที่ดินของคนท้องถิ่นและคนกรุงเทพฯ ที่ย้ายมาทำงาน/เกษียณเชียงใหม่ ราคาที่ดินชานเมืองยังถูกกว่ากลางเมืองค่อนข้างมาก (บางทำเล ~5,000-20,000 บาท/ตร.วา เท่านั้น) ทำให้ ROI ในเชิงเปอร์เซ็นต์ของการถือที่ดินชานเมืองเชียงใหม่โดดเด่น ยกตัวอย่างปี 2566 ที่ผ่านมา เกิดอุทกภัยใหญ่ในเชียงใหม่ ส่งผลให้บางครอบครัวมองหาบ้านหรือที่ดินบนพื้นที่สูงนอกเมืองมากขึ้น แทนที่จะอยู่ในที่ลุ่มในเมือง ผลคือราคาและยอดขายที่ดิน/บ้านจัดสรรในโซนสันทราย สันกำแพง (ที่สูงกว่า ไม่โดนน้ำ) ขยับตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสะท้อนว่าปัจจัยด้านภัยธรรมชาติและสภาพแวดล้อมก็เริ่มมีบทบาทในการกำหนดความต้องการที่ดิน
  • ปัจจัยหนุนอนาคต: เชียงใหม่มีโครงการสำคัญที่จะยกระดับศักยภาพเมืองในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เช่น โครงการสนามบินเชียงใหม่แห่งที่ 2 (วางแผนสร้างในพื้นที่ใกล้อำเภอสันกำแพง/บ้านธิ จังหวัดลำพูน) หากโครงการนี้เดินหน้าจริง จะกลายเป็นตัวพลิกเกมให้ราคาที่ดินฝั่งตะวันออกและใต้ของเชียงใหม่พุ่งสูง เพราะพื้นที่ชนบทหลายแห่งจะกลายเป็นทำเลศักยภาพชั่วข้ามคืนจากการมีสนามบินใหม่ นอกจากนี้ การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมเชื่อมต่อระหว่างเชียงใหม่กับเมืองอื่น ๆ อย่าง มอเตอร์เวย์เชียงใหม่-เชียงราย (อยู่ระหว่างศึกษา) หรือ รถไฟทางคู่/รถไฟความเร็วสูงสายเหนือ (กรุงเทพฯ-พิษณุโลก-เชียงใหม่ ในแผนอนาคต) ก็เป็นปัจจัยระยะกลางถึงยาวที่ทำให้นักลงทุนเริ่มเข้าซื้อที่ดินเก็บไว้ตามแนวเส้นทาง แม้หลายโครงการยังอยู่ในขั้นตอน แต่เพียงข่าวหรือความคืบหน้าก็มีผลด้านจิตวิทยาต่อตลาดแล้ว
  • ดีมานด์ต่างชาติและคนกรุง: เชียงใหม่ได้รับความนิยมจากกลุ่มต่างชาติบางประเทศในการมาพำนักระยะยาว เช่น จีน ยุโรป และอเมริกา (มีกลุ่ม Digital Nomad มาทำงานไกลบ้านอยู่เชียงใหม่จำนวนหนึ่ง) และชาวไทยจากกรุงเทพฯ ที่ต้องการคุณภาพชีวิตสงบใกล้ธรรมชาติ ทำให้ที่ดินนอกเมืองแปลงใหญ่ ๆ มักถูกซื้อไปทำบ้านพักหรือธุรกิจท่องเที่ยวแบบโฮมสเตย์ รีสอร์ตเล็ก ๆ นอกจากนี้คนจีนบางส่วนก็เข้ามาซื้อคอนโดในเชียงใหม่เพื่อการลงทุนปล่อยเช่าและพักตากอากาศ ซึ่งส่งผลทางอ้อมให้ตลาดที่ดินคึกคัก (เพราะผู้พัฒนาต้องหาที่ดินขึ้นโครงการใหม่) จากข้อมูลช่วงปี 2567 เชื่อว่าราคาที่ดินเชียงใหม่ยังมี แนวโน้มขึ้นเฉลี่ยราว 5-10% ต่อปี โดยเฉพาะแปลงที่อยู่ในโซนที่กำลังบูม เช่น ใกล้โครงการใหญ่หรือแหล่งท่องเที่ยวใหม่

โดยสรุป ROI ของการถือครองที่ดินเชียงใหม่ นับว่าอยู่ในเกณฑ์ดี สมมติถือระยะกลาง 3-5 ปีที่ผ่านมา หลายทำเลก็ปรับขึ้นเกิน 20-30% แล้ว ยิ่งหากโครงสร้างพื้นฐานใหม่แล้วเสร็จ ROI อาจพุ่งสูงในช่วงเวลาสั้น ๆ ได้ การลงทุนในเชียงใหม่อาจเน้น ซื้อถือครองระยะกลาง-ยาว เพื่อรอการพัฒนาเมืองเพิ่มเติม ส่วนการเก็งกำไรระยะสั้นอาจเน้นเลือกซื้อแถวทำเลที่กำลังจะมีโครงการหรือมีปัจจัยบวกเฉพาะหน้า อย่างเช่นที่ดินใกล้สถานที่ท่องเที่ยวใหม่ หรือตามแนวถนนวงแหวน-ทางหลวงตัดใหม่ที่กำลังเปิด เทียบกับทำเลอื่น เชียงใหม่อาจไม่ได้หวือหวาที่สุด แต่มี ความมั่นคงและสม่ำเสมอ จึงเหมาะกับผู้ที่มองหาตลาดที่ไม่ผันผวนเกินไป

ภูเก็ต - ตลาดโลกแห่งอันดามัน: ราคาที่ดินพุ่งแรงแซงกรุง แหล่งลงทุนยอดนิยมต่างชาติ

ภูเก็ต ได้ชื่อว่าเป็น ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นสากล (International Market) ที่สุดของไทยนอกเหนือจากกรุงเทพฯ ด้วยความที่เป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก มีชาวต่างชาติทั่วทุกมุมโลกเข้ามาท่องเที่ยวและลงทุนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ ราคาที่ดินภูเก็ตปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีมานี้ จนบางทำเลมีราคาแพงแซงหน้ากรุงเทพฯ ไปแล้ว ในปี 2567 มีรายงานว่าที่ดินติดทะเลแปลงสวยบางแห่งในภูเก็ตเสนอขายกันที่ ไร่ละ 100-120 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นประมาณ 250,000-300,000 บาท/ตร.วา (เทียบเคียงระดับราคาที่ดินแพง ๆ ในกรุงเทพฯ ชั้นรอง) ส่วนราคาประเมินราชการของภูเก็ตสูงสุดอยู่ที่ ~200,000 บาท/ตร.วา (ในเขตเมืองและติดชายหาด) แต่ราคาตลาดจริงมักจะสูงกว่านั้นโดยเฉพาะที่ดินซีวิวหายาก

แนวโน้มปี 2568 คาดว่าราคาที่ดินภูเก็ตจะยัง ขาขึ้นต่อเนื่องเฉลี่ยราว 10-15% (แล้วแต่ทำเล) เนื่องจากดีมานด์ยังล้นหลามและเศรษฐกิจท้องถิ่นฟื้นตัวเร็วหลังโควิด มาดูปัจจัยสำคัญในตลาดภูเก็ต:

  • การท่องเที่ยวยังบูม: ปี 2567 ภูเก็ตต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในปริมาณที่ใกล้เคียงหรือเกินช่วงก่อนโควิดด้วยซ้ำ ตลาดการท่องเที่ยวกลับมาคึกคัก โรงแรมและวิลล่าที่พักมีอัตราการเข้าพักสูง นักลงทุนจำนวนมากเล็งเห็นโอกาสนี้จึงเข้ามากว้านซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโรงแรม บูติกรีสอร์ต หรือพูลวิลล่าปล่อยเช่า ทำให้ ดีมานด์ที่ดินเพื่อการพาณิชย์ยังสูงตลอด เมื่อความต้องการสร้างที่พักและบริการเพิ่ม ราคาที่ดินก็ถูกผลักขึ้นตามกลไกตลาด
  • เมกะโปรเจ็กต์และโครงสร้างพื้นฐาน: รัฐบาลมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่หลายอย่างในและรอบภูเก็ต เช่น โครงการอุโมงค์ทางด่วนกะทู้-ป่าตอง (ลอดเขา ลดเวลาเดินทางข้ามฝั่งเกาะ) ที่กำลังก่อสร้าง, โครงการทางด่วนสายเมืองใหม่-เกาะแก้ว-กะทู้ (อยู่ระหว่างพิจารณา) ซึ่งจะเชื่อมหลายส่วนของเกาะเข้าด้วยกันเร็วขึ้น, การขยายท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต ให้รองรับผู้โดยสารได้มากขึ้น และ แผนสร้างสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ที่จังหวัดพังงา (ใกล้สะพานสารสิน เชื่อมภูเก็ต) เพื่อกระจายนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังมีแนวคิดเรื่อง Entertainment Complex (อาจรวมคาสิโนถูกกฎหมาย) ในภูเก็ตเพื่อดึงนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ หากโครงการเหล่านี้เกิดขึ้นจริง จะยกระดับภูเก็ตไปอีกขั้น และแน่นอนว่า ที่ดินตามแนวโครงการหรือใกล้จุดขึ้นลงโครงการ จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นมาก (เช่น ที่ดินใกล้ปากทางอุโมงค์ป่าตอง, ใกล้แนวทางด่วนเมืองใหม่, หรือพื้นที่ใกล้สะพานสารสินฝั่งที่จะสร้างสนามบินใหม่ เป็นต้น) นักลงทุนจำนวนไม่น้อยเข้าซื้อที่ดินเผื่อไว้แล้วในบริเวณดังกล่าว ทำให้ราคาขยับขึ้นล่วงหน้าส่วนหนึ่ง
  • บิ๊กเนมลงทุนต่อเนื่อง: บริษัทพัฒนาอสังหาฯ รายใหญ่ของไทยหลายรายมุ่งหน้าลงทุนภูเก็ตอย่างจริงจัง สะท้อนความเชื่อมั่นในศักยภาพตลาด เช่น แสนสิริ ประกาศแผนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในภูเก็ตถึง 27 โครงการ ช่วงปี 2568-2572 มูลค่ารวม ~25,000 ล้านบาท (ทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโด) รวมถึงเจ้าอื่นอย่าง ศุภาลัย, ออริจิ้น และเชนโรงแรมระดับโลก (เครือ Banyan Tree ฯลฯ) ก็ขยายการลงทุนหรือเปิดตัวโครงการใหม่ ๆ ในภูเก็ตอย่างต่อเนื่อง ไม่เว้นแม้ธุรกิจรีเทลอย่างกลุ่มเซ็นทรัลที่เตรียมขยายศูนย์การค้าเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าระดับบน การหลั่งไหลของเม็ดเงินลงทุนเหล่านี้ย่อมกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น เพิ่มการจ้างงาน และ เพิ่มความต้องการที่ดินทั้งทางตรงและทางอ้อม เพราะทุกโครงการใหม่ล้วนต้องการที่ดินรองรับนั่นเอง
  • ความสนใจจากต่างชาติและกลุ่มกำลังซื้อสูง: เทรนด์สำคัญของภูเก็ตคือการเป็น เป้าหมายการซื้ออสังหาฯ ของผู้มั่งคั่งทั่วโลก ทั้งซื้อเพื่อพักผ่อนและลงทุนปล่อยเช่า กลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติหลากหลายเชื้อชาติ (จีน รัสเซีย ยุโรป ตะวันออกกลาง อินเดีย เป็นต้น) ยังมองหาบ้านพักตากอากาศหรือวิลล่าในภูเก็ตอย่างต่อเนื่อง เพราะชื่นชอบคุณภาพชีวิตบนเกาะที่ครบครัน ทั้งทะเลสวย อาหารดี โรงพยาบาลมีมาตรฐาน สนามกอล์ฟ ฯลฯ เงินทุนจากต่างประเทศที่ไหลเข้ามานี้ทำให้ ตลาดภูเก็ตยืดหยุ่นกว่าตลาดไทยอื่น ๆ กล่าวคือ แม้เศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวหรือดอกเบี้ยสูง คนไทยซื้อบ้านน้อยลง แต่ภูเก็ตกลับยังขายดีเพราะมีเม็ดเงินจากนอกประเทศมาพยุงอยู่ จึงเกิดปรากฏการณ์ที่ช่วงปี 2566 กรุงเทพฯ ตลาดคอนโดเงียบเหงา แต่ภูเก็ตตลาดวิลล่ากลับคึกคักสุด ๆ ความเป็น “ตลาดโลก” เช่นนี้เปิดโอกาสให้นักลงทุนไทยเองได้อานิสงส์ หากสามารถปรับสินค้า (เช่น สร้างวิลล่าหรือบ้านขาย) ให้ตรงกับความต้องการผู้ซื้อหลากชาติได้
  • ข้อควรระวัง: แม้ภูเก็ตจะดูสดใส แต่ก็มี ความเสี่ยงที่ต้องพิจารณา เช่นกัน ปัจจัยภายนอกอย่างเศรษฐกิจโลกถดถอย การสู้รบ หรือโรคระบาดใหม่ สามารถส่งผลกระทบฉับพลันต่อภูเก็ตได้หนักกว่าพื้นที่ที่พึ่งพาแต่คนไทย เพราะถ้านักท่องเที่ยวหายไป การลงทุนจากต่างชาติและการซื้อทรัพย์สินในภูเก็ตก็อาจสะดุด (บทเรียนช่วงโควิดที่ภูเก็ตเงียบสนิทเป็นตัวอย่างชัดเจน) นอกจากนี้ ราคาที่ดินภูเก็ตที่ขึ้นเร็วมาก ทำให้บางฝ่ายกังวลเรื่องภาวะ “ฟองสบู่” ว่าราคาสูงเกินกว่าค่าเช่าหรือผลตอบแทนธุรกิจจะรองรับได้ไหม เช่น หากที่ดินแพงเกินไป การสร้างโรงแรมหรือคอนโดใหม่อาจไม่คุ้มทุนในระยะสั้น ส่งผลให้นักลงทุนต้องถือที่ดินนานขึ้น หรือบางรายอาจเจอภาวะซัพพลายล้นตลาดในบางช่วง (ปัจจุบันก็เริ่มเห็นคอนโดเหลือขายหลายโครงการในภูเก็ต แต่ฝั่งวิลล่ายังไปได้ดี) ดังนั้นใครจะลงทุนที่ดินภูเก็ตควรคำนึงถึงจุด exit ให้ชัดเจน ซื้อราคาไม่เกินศักยภาพทำเล และไม่ลืมสำรองกระแสเงินสดเผื่อวิกฤต

ROI ในภูเก็ต ช่วง 1-2 ปีหลังถือว่าโดดเด่นสุดในประเทศ หลายคนสามารถทำกำไรเกิน 20-30% จากการขายที่ดินที่ซื้อไว้เพียงปีหรือสองปี (โดยเฉพาะที่ดินซีวิวหรือใกล้ชายหาด ซึ่งมีผู้ต้องการเยอะ) หากปล่อยเช่าวิลล่าก็ได้อัตราผลตอบแทน 7-8% ต่อปีตามรายงานตลาด (ค่าเช่าวิลล่าหรูหลังหนึ่งในภูเก็ตตอนนี้ ~50,000-100,000 บาทต่อเดือน ขึ้นอยู่กับทำเล/วิว) ซึ่งจูงใจให้คนไทยที่มีกำลังซื้อหันมาลงทุนสร้างวิลล่าปล่อยเช่าในภูเก็ตเพิ่มอีก ทางภาครัฐเองก็พยายามสนับสนุน เช่น มี วีซ่าระยะยาว (LTR Visa) ดึงผู้เชี่ยวชาญต่างชาติหรือผู้เกษียณมีเงินเข้ามาอยู่ ซึ่งจะยิ่งเพิ่มความต้องการบ้านและที่ดินในภูเก็ตขึ้นไปอีก สำหรับนักลงทุนที่ยอมรับความผันผวนได้ ภูเก็ตยังเป็น เบอร์หนึ่งทำเลทอง ที่ให้ทั้งกำไรและประสบการณ์การลงทุนระดับอินเตอร์

หัวหิน - เมืองพักตากอากาศดั้งเดิม ราคาค่อนข้างเสถียร เหมาะทั้งอยู่อาศัยและลงทุนระยะยาว

หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นเมืองท่องเที่ยวชายทะเลที่คนไทยคุ้นเคยมายาวนาน ด้วยภาพลักษณ์เมืองพักผ่อนสำหรับครอบครัวและสถานตากอากาศของราชวงศ์ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หัวหินพัฒนาไปมาก มีคอนโด รีสอร์ต และแหล่งช้อปปิ้งใหม่ ๆ เกิดขึ้น แต่ยังคงความสงบกว่าพัทยาหรือภูเก็ต ตลาดที่ดินหัวหินจึงมีลักษณะเฉพาะคือ เติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่หวือหวาแต่มั่นคง รายละเอียดที่น่าสนใจ:

  • ราคาที่ดินหัวหินปัจจุบัน: ที่ดินติดทะเลในหัวหินยังคงมีราคาแพงในระดับต้น ๆ ของจังหวัดชายทะเล แต่ถูกกว่าภูเก็ตหรือพัทยาอยู่พอสมควร ปัจจุบัน ราคาซื้อขายที่ดินติดชายหาดหัวหิน อาจอยู่ที่ราว 300,000 - 600,000 บาท/ตร.วา สำหรับแปลงสวย (ขึ้นกับตำแหน่ง ถ้าอยู่ใกล้ตัวเมืองหัวหินและติดชายหาดยาว ราคาจะแพง) ส่วนที่ดินในเมืองหัวหินที่ไม่ติดทะเล ราคาประเมินราชการอยู่ประมาณ 300 - 150,000 บาท/ตร.วา แต่ราคาตลาดจริงมักสูงกว่าประเมิน เช่น ที่ดินติดถนนเพชรเกษมในตัวเมืองหรือใกล้สถานีรถไฟหัวหิน อาจซื้อขายกัน ~100,000+ บาท/ตร.วา ขณะที่ที่ดินชานเมืองหรือในซอย ราคาย่อมเยากว่ามาก (หลักหมื่นบาท/ตร.วา) จึงเห็นการซื้อที่ดินแปลงใหญ่ชานเมืองมาทำโครงการจัดสรรบ้านเดี่ยวค่อนข้างเยอะช่วงหลัง
  • ความต้องการอยู่อาศัยแนวราบ: หัวหินเป็นที่นิยมของทั้งชาวไทย (โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ ที่ซื้อไว้เป็นบ้านพักตากอากาศหรือเกษียณ) และชาวต่างชาติกลุ่มเกษียณจากยุโรป อเมริกา ดังนั้นดีมานด์ของ บ้านพร้อมที่ดิน จึงสูงกว่าคอนโดมิเนียมในระยะหลัง หลายโครงการบ้านจัดสรรขายดี โดยที่ดินที่นิยมคือโซนเนินเขาฝั่งตรงข้ามทะเล (ฝั่งตะวันตกของถนนเพชรเกษม) ซึ่งได้วิวภูเขา อากาศดีเงียบสงบ หรือโซนใกล้สนามกอล์ฟชื่อดังต่าง ๆ ราคาที่ดินย่านนี้ปรับขึ้นเรื่อย ๆ ตามจำนวนโครงการใหม่ แต่โดยเฉลี่ยหัวหินมีการเติบโตของราคาที่ดินประมาณ 3-5% ต่อปี ซึ่งถือว่าปานกลาง ไม่ร้อนแรงเหมือนพัทยา/ภูเก็ต เพราะจำนวนประชากรและการขยายเมืองจำกัดกว่า
  • ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน: มีโครงการที่คาดว่าจะส่งผลดีต่อหัวหินในอนาคต เช่น โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (M8) บางปะอิน-นครปฐม-ชะอำ (ต่อเชื่อมมาลงไม่ไกลหัวหิน) ที่อยู่ในแผน, รถไฟทางคู่สายใต้ (นครปฐม-ชุมพร) ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงปี 2566 ทำให้การเดินทางด้วยรถไฟมายังหัวหินสะดวกขึ้นมาก และมีแนวคิดเรื่อง รถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หัวหิน ในอนาคต (ยังไม่สรุป) หากโปรเจ็กต์เหล่านี้เกิดขึ้นจะช่วยดึงคนมาเที่ยวหัวหินเพิ่ม โอกาสการลงทุนและราคาที่ดินก็จะขยับตาม โดยเฉพาะที่ดินใกล้สถานีรถไฟหัวหินหรือจุดขึ้นลงทางด่วนใหม่ อย่างไรก็ตาม ในระยะใกล้ ผลกระทบยังไม่มากนักเนื่องจากโครงการใหญ่บางอย่างยังไม่เริ่ม
  • ตลาดค่อนข้างนิ่งและปลอดภัย: นักลงทุนหลายคนมองว่าหัวหินเป็นตลาดที่ “ไม่เสี่ยง” เพราะกำลังซื้อหลักเป็นคนไทย การขึ้นลงของราคาจึงไม่ได้ผันผวนตามต่างชาติ ตลอดสิบปีที่ผ่านมาที่ดินหัวหินไม่เคยมีฟองสบู่รุนแรง เรียกว่าขึ้นเรื่อย ๆ ตามเวลา ใครถือครองยาวก็ได้กำไรเรื่อย ๆ อีกทั้งหัวหินไม่มีปัญหาสังคมหรือความแออัดแบบพัทยา ทำให้ภาพลักษณ์เมืองยังน่าอยู่ในสายตาคนทั่วไป ความน่าสนใจของการลงทุนที่ดินหัวหินจึงอยู่ที่ การซื้อเก็บไว้เพื่อทำบ้านขายหรือรีสอร์ตเล็ก ๆ รองรับกลุ่มผู้มาอยู่อาศัยระยะยาว โดยมูลค่าที่ดินอาจไม่ได้พุ่งพรวดแต่ก็ไต่ระดับขึ้นอย่างไม่หยุดนิ่ง

ROI ในหัวหิน อาจไม่หวือหวาหากมองระยะสั้น แต่ถ้ามองระยะยาวถือว่ามั่นคง อย่างการถือที่ดินริมทะเลหัวหิน 5-10 ปีที่ผ่านมา บางแปลงมูลค่าเพิ่มขึ้นเท่าตัว ขณะที่ที่ดินในซอยหรือเขตชานเมืองก็มีอัตราเพิ่มเฉลี่ยปีละ 3-5% บวกกับมีค่าเช่า/รายได้จากการพัฒนาในช่วงที่ถือครองด้วย (หากนำที่ดินมาทำประโยชน์) จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มองหาทำเลตากอากาศที่ลงทุนได้ด้วยในตัว

เกาะสมุย (สุราษฎร์ธานี) - ไข่มุกอ่าวไทย: ที่ดินเกาะราคาพุ่งรับท่องเที่ยวฟื้น อนาคตสดใสแต่ซัพพลายจำกัด

เกาะสมุย เป็นเกาะท่องเที่ยวชื่อดังฝั่งอ่าวไทย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่มีธรรมชาติและชายหาดสวยงาม ดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติระดับไฮเอนด์และคนไทยที่ชอบความสงบเป็นส่วนตัว เมื่อพูดถึงตลาดที่ดินสมุย ต้องเข้าใจก่อนว่าพื้นที่เกาะมีจำกัด (ประมาณ 227 ตารางกิโลเมตร) ที่ดินใหม่ ๆ ไม่สามารถหาเพิ่มได้ นอกจากการเปลี่ยนมือเจ้าของและพัฒนาให้เต็มศักยภาพขึ้น ดังนั้น สมุยมีอุปทานที่ดินตายตัว แต่ความต้องการเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะหลังเศรษฐกิจ-การท่องเที่ยวฟื้นตัวเร็วในปี 2566-2567 เราลองดูสถานการณ์ที่ดินสมุยช่วงนี้:

  • ราคาที่ดินเติบโตต่อเนื่อง ~5-10% ต่อปี: ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาฯ ประเมินว่า ราคาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์บนเกาะสมุยจะเติบโตปีละประมาณ 5-10% ในช่วงปี 2567-2568 ซึ่งสอดคล้องกับการปรับขึ้นของราคาประเมินที่ดินรอบใหม่ (2566) ที่กรมธนารักษ์ปรับราคาประเมินในสมุยให้สูงขึ้นเข้าใกล้ราคาตลาดมากขึ้น (โดยภาพรวมราคาประเมินสุราษฎร์ธานีปรับขึ้นเฉลี่ย ~8%) ทั้งนี้ปัจจัยหลักมาจาก ต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่แพงขึ้น และ ดีมานด์ซื้อที่ดินหลังเศรษฐกิจฟื้น ที่กดดันให้ราคาขายจริงต้องปรับสูงตามต้นทุน ประกอบกับเจ้าของที่ดินหลายรายเห็นแนวโน้มการเติบโต จึงถือสินทรัพย์กันเหนียว ไม่รีบขายถูก ทำให้ราคาที่ดินสมุยไม่มีการปรับลด มีแต่เพิ่มขึ้นหรือทรงตัวในช่วงเศรษฐกิจแย่ แล้วพอเศรษฐกิจดีขึ้นก็ไต่ขึ้นต่อทันที
  • ที่ดินติดทะเลและวิวทะเลมูลค่าเพิ่มเด่นชัด: บนเกาะสมุย ทำเลที่มีวิวทะเลหรือติดชายหาดจะมีมูลค่าเพิ่มสูงกว่าแปลงในแผ่นดินมาก มีการบันทึกว่า ราคาที่ดินและวิลล่าติดชายหาดสมุยปี 2567 ปรับเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 5-10% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากความต้องการอสังหาฯ ระดับลักซัวรีเพิ่มสูง โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนต่างชาติฐานะดีจากยุโรป ฮ่องกง ออสเตรเลีย ฯลฯ ที่สนใจซื้อบ้านพักตากอากาศและวิลล่าปล่อยเช่าในสมุย ส่งผลให้ที่ดินแปลงสวยริมทะเลราคาขึ้นตาม นอกจากนี้ ที่ดินหรือบ้านที่มีวิวทะเล (แม้ไม่ติดทะเลแต่เห็นวิวชัด เช่น อยู่บนเนินเขามองลงมา) ก็ปรับราคาขึ้นในเชิงบวก ผู้ซื้อยอมจ่ายราคา พรีเมียมสูงกว่าแปลงทั่วไป ~50% หากที่ดินหรืออสังหาฯ นั้นมีวิวทะเลแบบพาโนรามาหรือวิวไม่มีสิ่งบดบัง ในทางกลับกัน ที่ดินแปลงที่อยู่ในแผ่นดิน ไม่มีวิว ไม่ใกล้ทะเล ราคาจะต่ำกว่ากันมาก เห็นได้ว่าทำเลและวิวมีผลต่อมูลค่าที่ดินสมุยอย่างมาก ดังนั้นนักลงทุนที่เล็งสมุยมักเน้นหาที่ดินวิวดีติดทะเล หรือไม่ก็ที่ดินบนเขาที่สามารถมองเห็นทะเลได้ เพื่อนำมาพัฒนาวิลล่าหรูต่อไป
  • ทำเลทองเด่นชัด vs ทำเลใหม่ที่เริ่มมา: พื้นที่ท่องเที่ยวยอดนิยมดั้งเดิมของสมุย เช่น ชายหาดเฉวง (ศูนย์กลางท่องเที่ยว มีแหล่งบันเทิง ร้านอาหารมาก) มีราคาที่ดิน/อสังหาฯ สูงกว่าพื้นที่ทั่วไปประมาณ 20% เนื่องจากที่ดินหายากและดีมานด์สูงจากทั้งนักลงทุนสายปล่อยเช่าและผู้ประกอบการท่องเที่ยว นอกจากนี้ย่าน บ่อผุด, เชิงมน (โซนที่มีวิลล่าหรูและรีสอร์ตเยอะ) ก็มีราคาที่ดินปรับขึ้นต่อเนื่อง ในขณะที่ ทำเลใหม่ ๆ ที่กำลังมาแรง อย่าง บางรัก, ตลิ่งงาม ซึ่งเดิมราคาต่ำกว่ามาก ก็เริ่มขยับสูงขึ้นตามการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการมองหาทางเลือกของนักลงทุน กล่าวคือเมื่อที่ดินย่านเดิมแพงมาก นักลงทุนบางส่วนก็หันไปจับจองพื้นที่รอบนอกที่ยังราคาถูกกว่า ก่อนที่ราคาจะพุ่งตามกระแสการพัฒนา ทำให้ช่วงหลังเราเริ่มเห็นโครงการใหม่ ๆ ในทำเลรองของสมุย ไม่กระจุกที่เฉวงหรือเชิงมนเท่านั้น
  • แรงหนุนจากการท่องเที่ยวฟื้นตัว: จำนวน นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเยือนสมุยเพิ่มขึ้นมากในปี 2566 บางช่วงเพิ่มขึ้นกว่า 60% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่งผลโดยตรงต่ออัตราการเข้าพักของโรงแรมและวิลล่า ยอดจองที่พักทั้งระยะสั้นและระยะยาวพุ่งสูง นี่สร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนซื้อที่ดินเพื่อพัฒนา วิลล่าปล่อยเช่า หรือ รีสอร์ตขนาดเล็ก กันมากขึ้น เพื่อรองรับดีมานด์ที่เข้ามา การแข่งขันซื้อที่ดินแปลงสวยจึงดุเดือดและดันราคาสูงขึ้นตามกลไกตลาดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
  • โครงการโครงสร้างพื้นฐานอนาคต: ทั้งภาครัฐและเอกชนมีแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานบนเกาะสมุยและพื้นที่ใกล้เคียงหลายโครงการที่จะทยอยเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เพิ่มความเชื่อมั่นให้ตลาดอสังหาฯ และดึงดูดการลงทุนใหม่ ๆ เช่น แผนการขยายสนามบินนานาชาติสมุย (เพิ่มศักยภาพรองรับเที่ยวบิน ภายในปี 2570 ตามข่าว), โครงการก่อสร้างสะพานเชื่อมสมุย-แผ่นดินใหญ่ (เมกะโปรเจ็กต์กว่า 40,000 ล้านบาท อยู่ในขั้นวางแผน หากสำเร็จสมุยจะเข้าถึงง่ายขึ้นอย่างมหาศาล), และ โครงการท่าเรือสำราญ (Cruise Terminal) ขนาดใหญ่ 47 ไร่ ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2575 เพื่อรองรับเรือท่องเที่ยวลำใหญ่ ทั้งหมดนี้ส่งผลทางอ้อมให้ ราคาที่ดินใกล้จุดโครงการขยับเพิ่มจากการเก็งกำไร เช่น พื้นที่ บ้านบางรัก-ปลายแหลม ใกล้สนามบิน ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นเพราะเป็นจุดรับส่งนักท่องเที่ยว หรือพื้นที่ตามแนวชายฝั่งที่คาดว่าอาจเป็น จุดขึ้นลงของสะพานในอนาคต ก็เริ่มมีนักลงทุนเข้าซื้อที่ดินล่วงหน้าแล้ว แม้บางโครงการจะยังอีกนานกว่าจะเป็นจริง แต่ก็ สร้างความคึกคักให้ตลาดและความหวังว่ามูลค่าที่ดินจะเพิ่มขึ้นอีกมาก ในอนาคต
  • ข้อจำกัดด้านอุปทานและกฎระเบียบ: ดังที่กล่าวว่าเกาะสมุยที่ดินมีจำกัดและยังเจอกฎระเบียบผังเมือง-สิ่งแวดล้อมที่ เข้มงวด กว่าพื้นที่ทั่วไป เช่น มี เขตห้ามก่อสร้าง บนภูเขาหรือใกล้ชายฝั่งบางจุด, จำกัดความสูงอาคาร ในหลายโซน (เพื่อไม่ให้บดบังทัศนียภาพ), และขั้นตอน EIA ที่ต้องทำสำหรับโครงการใหญ่ สิ่งเหล่านี้ทำให้ที่ดินบางบริเวณแม้สวยแต่ ไม่สามารถพัฒนา เป็นโครงการเชิงพาณิชย์ได้มากนัก (เช่น ซื้อที่ดินมาแต่สร้างตึกสูงไม่ได้, หรือที่ดินหลุดผังเมืองสีเขียวทำธุรกิจใหญ่ไม่ได้) ที่ดินที่ พร้อมพัฒนา เชิงพาณิชย์จึงยิ่งมีคุณค่า ยกตัวอย่าง แปลงที่มีโฉนดและอนุญาตให้สร้างสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ได้จะ ราคาสูงกว่า แปลงใกล้เคียงที่เป็นเอกสารสิทธิ์ต่ำกว่า (น.ส.3 หรือ สค.1) หรืออนุญาตสิ่งปลูกสร้างได้จำกัด ดังนั้นแนวโน้มหนึ่งคือราคาที่ดินพร้อมพัฒนาจะพุ่งสูงต่อเนื่อง ส่วนที่ดินที่ติดล็อกด้านกฎหมายก็อาจขายยากหรือราคาไปได้ช้า

โดยรวม ROI ของที่ดินสมุย สำหรับนักลงทุนที่ผ่านมาอยู่ในเกณฑ์ดีถึงดีมาก หากถือที่ดินซีวิว 3-5 ปีมานี้ ก็อาจได้กำไร 30-50% แล้ว (จากความต้องการตลาดลักซัวรีที่เพิ่มขึ้น) การทำวิลล่าปล่อยเช่าบนสมุยก็ให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ (ประมาณ 5-8%/ปี คล้ายภูเก็ต แต่ขึ้นกับระดับวิลล่า) สิ่งที่ต้องระวังคือสภาพคล่องที่อาจไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับภูเก็ต เนื่องจากจำนวนผู้เล่นน้อยกว่าและเกาะเล็กกว่า แต่ในอีกด้านก็หมายถึงการแข่งขันต่ำกว่า หากคุณจับจองที่ดินดี ๆ ได้ โอกาสทำกำไรก็ยังสดใส เพราะสมุยยังมีพื้นที่อีกหลายส่วนที่รอการเชื่อมต่อและเติบโตไปพร้อมโครงการใหญ่ในทศวรรษนี้

หัวเมืองรองและพื้นที่น่าสนใจอื่น ๆ

นอกเหนือจากทำเลหลักที่กล่าวมา ยังมี หัวเมืองรอง และจังหวัดศักยภาพอื่น ๆ ที่เริ่มได้รับความสนใจจากนักลงทุนและผู้ซื้อที่ดิน โดยหลายแห่งมีการเติบโตของราคาที่ดินอย่างน่าจับตามอง เราขอสรุปบางพื้นที่ที่โดดเด่นดังนี้:

  • นครราชสีมา (โคราช): โคราชเป็น มหานครแห่งภาคอีสาน ที่เศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่อง มีโครงการใหญ่อย่างรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-โคราช ที่จะเปิดในไม่กี่ปี ทำให้ราคาที่ดินในเมืองโคราชและแหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียง (เช่น ปากช่อง-เขาใหญ่) ปรับเพิ่มต่อเนื่อง คาดว่าปี 2568 ที่ดินในโคราชจะขึ้นเฉลี่ย 5-10% โดยเฉพาะปากช่องที่มีบรรยากาศรีสอร์ต ได้รับความนิยมสร้างบ้านตากอากาศ ราคาที่ดินบางจุดพุ่งสูงมาก (แปลงวิวเขาสวย ๆ ราคาทะลุ 50,000 บาท/ตร.วา หรือไร่ละ 20 ล้านบาทได้) ถือเป็นพื้นที่ที่นักลงทุนกรุงเทพฯ นิยมไปซื้อ
  • ขอนแก่น: ศูนย์กลางอีกแห่งของอีสาน ขอนแก่น มีความเจริญเติบโตด้านการค้า การศึกษา การแพทย์ ที่ดินในเมืองขอนแก่นและรอบมหาวิทยาลัยขอนแก่นราคาขึ้นโดดเด่น (ทำเลติดถนนมิตรภาพ ราคาประเมินสูงสุด ~200,000 บาท/ตร.วา) การมาของ รถไฟทางคู่และมอเตอร์เวย์บางปะอิน-หนองคาย ในอนาคต จะยิ่งหนุนให้ขอนแก่นเป็นฮับเชื่อมลาว-จีน ทำให้ที่ดินโซนโลจิสติกส์รอบนอกเมืองน่าลงทุนมากขึ้น ROI ที่ดินขอนแก่นปัจจุบัน ~5-8%/ปี
  • ระยองและ EEC อื่น ๆ: นอกจากพัทยา (ชลบุรี) ที่กล่าวไป โซน EEC ยังรวมถึง ระยอง และ ฉะเชิงเทรา ซึ่งได้รับอานิสงส์จากนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานเช่นกัน เช่น ที่ดินในเมืองระยองและใกล้มาบตาพุดเพิ่มขึ้นชัดเจน ราคาประเมินที่ดินระยองสูงสุด ~125,000 บาท/ตร.วา (ย่านเศรษฐกิจ) ส่วนฉะเชิงเทรา (แปดริ้ว) ที่เตรียมมีสถานีรถไฟความเร็วสูงและสนามบินอู่ตะเภาใกล้ ๆ ก็มีราคาที่ดินขยับขึ้น โดยเฉพาะที่ดินรอบนิคมเก่าหรือโซนอุตสาหกรรมใหม่ ROI แถบนี้ดีในระยะกลางเมื่อโครงการต่าง ๆ เริ่มเปิดดำเนินการ
  • เชียงราย: จังหวัดท่องเที่ยวและการค้าชายแดนตอนเหนือ เชียงราย ได้รับความสนใจจากการเป็นจุดผ่านแดนไปจีน-ลาว การเปิดใช้รถไฟจีน-ลาวมีส่วนให้เชียงรายถูกจับตามอง แม้ปัจจุบันตลาดที่ดินยังเงียบกว่าเชียงใหม่ แต่มีสัญญาณดี เช่น ราคาที่ดินรอบตัวเมืองและสถานที่ท่องเที่ยว (เช่น แม่สาย เชียงแสน) เพิ่มขึ้น 5-7% ปีนี้ และอนาคตถ้ามีการเชื่อมต่อรถไฟหรือทางหลวงพิเศษ ราคาที่ดินเชียงรายอาจปรับขึ้นแรงได้
  • สงขลา (หาดใหญ่): สำหรับภาคใต้ หาดใหญ่-สงขลา เป็นศูนย์กลางการค้าชายแดนติดมาเลเซีย มีโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษและท่าเรือน้ำลึกที่คุยกันหลายปี (เช่น โครงการ Land Bridge เชื่อมทะเลอันดามัน-อ่าวไทย) แม้ยังไม่เกิด แต่เศรษฐกิจพื้นที่นี้ก็ขยายตัวจากการค้าพลังงานและนักท่องเที่ยวเพื่อนบ้าน ราคาที่ดินในตัวเมืองหาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ (~200,000-400,000 บาท/ตร.วา ในย่านเศรษฐกิจ) หากโครงการเมกะโปรเจ็กต์มาถึงจริง ที่ดินจะยิ่งบูมกว่านี้มาก

ทั้งหมดนี้คือภาพรวมของทำเลรองที่น่าสนใจ จะเห็นว่าปัจจัยหนุนหลักมักมาจาก โครงสร้างพื้นฐานใหม่, การท่องเที่ยว, และการขยายตัวของเมือง ดังนั้นนักลงทุนที่มองหาทำเลใหม่ ควรติดตามข่าวการพัฒนาในพื้นที่ต่างจังหวัดเหล่านี้ไว้ด้วย เพราะบางแห่ง ROI อาจสูงกว่าที่คิดหากเข้าไปลงทุนก่อนคนอื่น

วิเคราะห์ Buyer Persona: ใครคือผู้เล่นในตลาดที่ดิน?

การทำความเข้าใจ กลุ่มผู้ซื้อที่ดิน (Buyer Persona) เป็นสิ่งสำคัญสำหรับทั้งผู้ขายและนักลงทุน เพราะแต่ละกลุ่มมีพฤติกรรม ความต้องการ และกลยุทธ์การลงทุนแตกต่างกัน ในส่วนนี้เราจะวิเคราะห์ประเภทผู้ซื้อหลัก ๆ ในตลาดที่ดินไทย โดยแบ่งออกเป็นตัวอย่าง 4 กลุ่ม คือ นักลงทุนระยะสั้น, นักลงทุนระยะยาว, ผู้ซื้อที่ดินเพื่อปลูกบ้านอยู่อาศัย, และผู้ซื้อที่ดินเพื่อทำธุรกิจ ซึ่งแต่ละกลุ่มมีเป้าหมายและข้อควรพิจารณาต่างกัน

นักลงทุนระยะสั้น (เก็งกำไรซื้อขายเร็ว)

ลักษณะ: กลุ่มนี้เป็นนักลงทุนที่มองหากำไรจากส่วนต่างราคาที่ดินในช่วงเวลาค่อนข้างสั้น (ภายใน 1-3 ปี) มักเน้น “ซื้อมา-ขายไป” โดยอาจไม่พัฒนาที่ดินจริงจัง แค่รอจังหวะให้ราคาขึ้นแล้วขายออกเพื่อทำกำไร นักเก็งกำไร เหล่านี้มักคล่องตัวสูง ชอบทำเลที่มีแนวโน้มราคาจะดีดตัวเร็ว ๆ เช่น มีข่าวโครงการรัฐจะเกิดขึ้น, ทำเลที่กำลังจะบูม, หรือที่ดินที่ได้มาราคาต่ำกว่าตลาดมาก ๆ (ทรัพย์หลุดจำนอง การประมูลทอดตลาด ฯลฯ)

กลยุทธ์:

  • ซื้อที่ดินแปลงที่ ต่ำกว่าราคาตลาด ให้ได้มากที่สุด (อาจมาจากการเจรจาต่อรอง, การหาซื้อจากเจ้าของเดิมที่ต้องการใช้เงินด่วน, หรือซื้อ “เหมา” ที่ดินแปลงใหญ่แล้วแบ่งขายย่อยเก็งกำไร - เทคนิค Divide and Profit)
  • เน้น ทำเลที่จะมีราคาเพิ่มขึ้นในเวลาไม่นาน เช่น ซื้อริมถนนที่กำลังก่อสร้าง (พอถนนเสร็จราคาขึ้น), ซื้อที่ดินตาบอดแล้วทำทางออกเพิ่มมูลค่า, ซื้อก่อนรถไฟฟ้าเปิด ปีสองปีค่อยขาย
  • อาจมีการ ปรับปรุงเล็กน้อย เพื่อเพิ่มมูลค่า เช่น ถมที่, ล้อมรั้ว, ทำทางเข้า เพื่อให้ขายต่อได้ราคาดีขึ้นในระยะสั้น โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเยอะ

ข้อดี:

  • ได้ผลตอบแทนเร็ว ไม่ต้องถือสินทรัพย์นาน
  • ใช้เงินทุนน้อยลงเพราะไม่ต้องพัฒนาสิ่งปลูกสร้างใหญ่
  • ถ้าจังหวะดี บางดีลสามารถทำกำไรมาก 20-30% ภายในเวลาไม่กี่เดือน/ปี

ข้อควรระวัง:

  • ความเสี่ยงจากตลาดผันผวน ถ้าคาดการณ์ผิดหรือเศรษฐกิจแย่ อาจขายไม่ออกและต้องถือเกินแผน (เงินจะจม และต้องเสียภาษีที่ดินทุกปีด้วย)
  • ภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% ที่รัฐเก็บหากขายทรัพย์ภายใน 5 ปีนับจากวันที่ได้กรรมสิทธิ์ อาจกระทบกำไรพอสมควร (นักเก็งกำไรระยะสั้นแทบทุกรายต้องคิดภาษีนี้อยู่แล้ว)
  • ต้นทุนดอกเบี้ยถ้ากู้เงินมาซื้อจะสูง เพราะช่วงนี้ดอกเบี้ยขาขึ้นและทรัพย์ไม่ได้สร้างรายได้ระหว่างถือครอง

โดยรวม นักลงทุนระยะสั้นต้อง ยอมรับความเสี่ยงสูง และต้องมีแผนสำรองหากขายไม่ได้ตามคาด บางครั้งต้อง ตัดใจขายลดราคาบ้าง เพื่อเอาทุนคืนมาหมุนดีลต่อไป

นักลงทุนระยะยาว (สะสมที่ดินถือครองหลายปี)

ลักษณะ: กลุ่มนี้วางแผนถือครองที่ดินเป็นเวลานาน (5 ปีขึ้นไป บางรายถือเป็นสิบปีหรือส่งต่อรุ่นลูก) เป้าหมายหลักคือรอให้มูลค่าที่ดินเติบโตในระยะยาว หรือเพื่อใช้พัฒนาตามแผนในอนาคต (เช่น ซื้อ land bank เก็บไว้มาก ๆ แล้วค่อยทยอยสร้างโครงการ) นักเก็บที่ดินระยะยาวมักเป็นนักธุรกิจใหญ่ ผู้พัฒนาอสังหาฯ รายใหญ่ หรือบุคคลทั่วไปที่มีเงินเย็นอยากฝากในสินทรัพย์ปลอดภัย

กลยุทธ์:

  • เลือกซื้อที่ดินใน ทำเลที่ยังไม่บูมเต็มที่ แต่มีพื้นฐานดีและมีแนวโน้มเติบโตในอนาคต (เช่น ชานเมืองที่เมืองกำลังขยายไป, จังหวัดท่องเที่ยวดาวรุ่ง) เพื่อให้ได้ราคาต่ำและมีช่องโตสูง
  • ไม่รีบขาย ตามหลัก “ที่ดินมีแต่แพงขึ้น” ถือไว้นาน ๆ รอให้พื้นที่โดยรอบพัฒนาเต็มที่ก่อนแล้วมูลค่าที่ดินจะสูงสุด
  • กระจายความเสี่ยง: นักลงทุนใหญ่จะซื้อที่ดินหลายทำเล เก็บไว้ในพอร์ต (Diversification) เผื่อบางพื้นที่โตช้ากว่าคาดก็ยังมีที่อื่นโตแทน

ข้อดี:

  • มีโอกาสได้กำไรก้อนใหญ่เมื่อขาย เพราะราคาที่ดินในไทยในภาพรวมระยะยาวเป็นขาขึ้นตลอด
  • ไม่ต้องกังวล timing มากนัก เพราะไม่ขายในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำอยู่แล้ว จะขายเมื่อได้ราคาดี
  • เป็นการเก็บความมั่งคั่งให้ปลอดภัยจากเงินเฟ้อ (hedge inflation) เพราะที่ดินมักขึ้นมูลค่าตามเงินเฟ้อระยะยาว

ข้อควรระวัง:

  • ภาระ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างรายปี ที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามราคาประเมิน โดยเฉพาะถ้าเป็นที่ดินเปล่าไม่ได้ทำประโยชน์ อัตราภาษีจะเพิ่มขึ้น 0.3% ทุก 3 ปีจนสูงสุด 1.2% ต่อปี (ตามกฎหมายใหม่เพื่อกระตุ้นให้ใช้ประโยชน์ ไม่ปล่อยรกร้าง) นักลงทุนระยะยาวต้องพร้อมจ่ายส่วนนี้
  • ค่าเสียโอกาส ของเงินทุน: เงินก้อนที่จมในที่ดินระยะยาวจะไม่สร้างกระแสเงินสด ถ้าเป็นเงินกู้ยิ่งต้องผ่อนดอกเบี้ยไปเรื่อย ๆ ดังนั้นควรเป็นเงินเย็นจริง ๆ
  • สภาพคล่องต่ำ: การเปลี่ยนที่ดินเป็นเงินสดอาจใช้เวลาหลายเดือนหรือเป็นปี ยิ่งแปลงใหญ่ยิ่งขายยาก ต้องมีแผนการเงินรองรับฉุกเฉิน (ไม่ควรเอาเงินที่จำเป็นต่อธุรกิจอย่างอื่นมาจมจนหมด)

โดยสรุป นักลงทุนระยะยาวเหมาะกับคนมองภาพใหญ่ของการเติบโตของเมืองไทย เชื่อมั่นว่าที่ดินจะมีมูลค่าเพิ่มแน่ ๆ ใน 5-10 ปีข้างหน้า ซึ่งจากประวัติศาสตร์ถือว่าเป็นจริง แต่ต้องบริหารต้นทุนการถือครองให้ดี

ผู้ซื้อที่ดินเพื่อสร้างบ้านอยู่อาศัยเอง

ลักษณะ: กลุ่มนี้ไม่ใช่นักลงทุนในเชิงการเงิน แต่เป็น ผู้บริโภคที่ต้องการซื้อที่ดินเพื่อปลูกสร้างบ้านของตนเอง อาจเป็นครอบครัวที่อยากมีบ้านเดี่ยว มีที่ดินของตัวเอง หรือคนที่อยากสร้างบ้านตามใจชอบบนที่ดินเปล่าแทนการซื้อบ้านโครงการสำเร็จรูป กลุ่มนี้มีจำนวนมากในตลาด โดยเฉพาะคนไทยที่นิยมบ้านแนวราบ

ความต้องการและพฤติกรรม:

  • โลเคชั่นเพื่อการอยู่อาศัย: มักเลือกทำเลที่ ตนเองสะดวกสบาย เช่น ใกล้ที่ทำงาน, ไม่ไกลโรงเรียนลูก, สภาพแวดล้อมดี ปลอดภัย มีชุมชนคุณภาพ และต้องไม่กันดารเกินไป (น้ำไฟเข้าถึง ถนนสะดวก)
  • ขนาดที่ดิน: ขึ้นกับกำลังทรัพย์และความต้องการใช้สอย บางคนหาแค่ 50-100 ตร.วา ในเมืองเพื่อสร้างบ้านหลังเดียว บางคนอยากได้เป็นไร่ชานเมืองจะได้มีสวนกว้าง ๆ
  • ราคาอยู่ในงบประมาณ: ผู้ซื้อกลุ่มนี้มักมีงบจำกัด เพราะนอกจากซื้อที่ดินแล้วยังต้องเผื่องบปลูกบ้านอีกก้อนใหญ่ จึงมองหาที่ดินราคาสมเหตุสมผล ที่ตนเองผ่อนไหวหรือซื้อขาดได้โดยไม่เป็นหนี้เกินตัว

ข้อดีในการซื้อเพื่ออยู่เอง:

  • ได้ออกแบบบ้านและพื้นที่ตามใจปรารถนา ไม่ต้องปรับตัวกับบ้านโครงการหรือคอนโดที่ layout ตายตัว
  • ที่ดินของตัวเองสามารถต่อเติม ปรับปรุง หรือเพิ่มสิ่งปลูกสร้างในอนาคตได้ (เช่น มีพื้นที่ให้ลูกสร้างบ้านในบริเวณเดียวกันเมื่อโตขึ้น)
  • เป็น สินทรัพย์ระยะยาวของครอบครัว ที่ส่งต่อได้ในอนาคต และมีโอกาสมูลค่าเพิ่ม (แม้ไม่ใช่จุดประสงค์หลัก แต่ก็เป็นผลพลอยได้หากเลือกทำเลดี ที่ดินบ้านตัวเองก็ราคาขึ้น)

ข้อควรพิจารณา:

  • ตรวจสอบสาธารณูปโภค: ก่อนซื้อควรดูว่าที่ดินมีไฟฟ้า ประปาพร้อมไหม ถนนทางเข้าเป็นทางสาธารณะหรือเอกชน ต้องถมดินเพิ่มหรือไม่ ปัจจัยเหล่านี้กระทบงบสร้างบ้านและความสะดวกหลังเข้าอยู่
  • ผังเมืองและกฎหมายก่อสร้าง: แม้สร้างบ้านตัวเอง ไม่ได้ทำธุรกิจ แต่ก็ต้องตรวจสอบสีผังเมืองและข้อบังคับ เช่น พื้นที่นั้นสร้างบ้านได้ไหม (บางพื้นที่เป็นเขตอนุรักษ์หรือ ส.ป.ก. ห้ามคนไม่ใช่เกษตรกรอยู่) หรือหากใกล้เขตทหาร เขตสนามบิน อาจจำกัดความสูงบ้าน ซึ่งต้องรู้ก่อน
  • เพื่อนบ้านและชุมชน: การอยู่อาศัยระยะยาว ความปลอดภัยและเพื่อนบ้านสำคัญมาก ควรสำรวจว่าบริเวณนั้นเป็นอย่างไร มีชุมชนหรือร้างผู้คนไปเลย (ถ้าห่างไกลคนมาก ๆ อาจไม่ปลอดภัย) นอกจากนี้ควรเช็คแผนแม่บทเมือง เช่น ที่ดินข้าง ๆ จะกลายเป็นตึกสูงหรือถนนใหญ่ในอนาคตหรือไม่ เพราะจะรบกวนการอยู่อาศัย
  • งบประมาณปลูกสร้าง: ควรประมาณคร่าว ๆ รวมราคาที่ดินและค่าก่อสร้างบ้านว่าไหวหรือไม่ หลายรายทุ่มซื้อที่จนเกินงบ สุดท้ายไม่มีเงินปลูกบ้านหรือสร้างได้หลังเล็กกว่าที่คิด

โดยรวมการซื้อที่ดินสร้างบ้านเองเป็น การลงทุนในคุณภาพชีวิต มากกว่าหวังผลตอบแทน แต่หากทำเลดี ที่ดินนี้ก็กลายเป็นสินทรัพย์ครอบครัวที่มูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคตได้เช่นกัน

ผู้ซื้อที่ดินเพื่อทำธุรกิจ (สร้างโครงการหรือกิจการบนที่ดิน)

ลักษณะ: กลุ่มนี้ซื้อที่ดินโดยมี เป้าหมายชัดเจนว่าจะนำไปพัฒนาเชิงธุรกิจ เช่น ผู้ประกอบการที่อยากสร้างโรงแรม รีสอร์ต ร้านอาหาร หรือโรงงาน โกดัง ฯลฯ ซึ่งการตัดสินใจซื้อที่ดินจะพิจารณาต่างจากคนซื้ออยู่เอง เพราะโฟกัสที่ความคุ้มค่าในการดำเนินธุรกิจบนที่ดินผืนนั้น

สิ่งที่คำนึงถึง:

  • ทำเลที่ตอบโจทย์ธุรกิจ: เช่น ถ้าจะทำโรงแรม/รีสอร์ต ก็ควรอยู่ในทำเลท่องเที่ยว เดินทางสะดวก มีวิวหรือชายหาดดึงดูดลูกค้า, ถ้าจะสร้างโรงงานก็ต้องที่ดินนอกเมืองในโซนอุตสาหกรรม มีถนนใหญ่ใกล้ ๆ ขนส่งสะดวก และไม่ติดข้อห้ามเรื่องมลพิษ, จะทำร้านอาหารใหญ่ก็ต้องติดถนนคนพลุกพล่าน มีที่จอด เป็นต้น
  • ขนาดและรูปร่างของที่ดิน: ธุรกิจต่างชนิดต้องการขนาดที่ดินต่างกัน เช่น โรงงานอาจต้องหลายไร่เพื่อรองรับอาคารและลานโหลดสินค้า, รีสอร์ตต้องการผืนดินกว้างเพื่อจัดสวนสร้างความเป็นส่วนตัว, ร้านสะดวกซื้อแค่ 100 ตร.วา ก็พอ แต่ต้องหน้ากว้างติดถนนเยอะ ๆ ดังนั้นผู้ซื้อกลุ่มนี้จะมองที่ดินที่ มีลักษณะเหมาะสมทางกายภาพ ด้วย (หน้ากว้าง ติดถนน, รูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าง่ายต่อออกแบบ, ระดับดินไม่น้ำท่วม)
  • ต้นทุนที่ดิน vs ผลตอบแทนธุรกิจ: นี่สำคัญมาก หากที่ดินราคาแพงเกินไป อัตราผลตอบแทนจากธุรกิจ (เช่น ค่าเช่าห้องพัก, กำไรจากขายของ) อาจไม่คุ้ม ตัวอย่างเช่น ซื้อที่ดินกลางเมืองแพง ๆ มาทำโรงแรมเล็ก อัตราค่าห้องอาจไม่พอคืนทุน เป็นต้น ผู้ซื้อเพื่อธุรกิจจึงมักคิดคำนวณ financial feasibility โดยเอาต้นทุนที่ดิน + ค่าก่อสร้าง + คาดการณ์รายได้ มาประเมินว่าคุ้มค่าหรือไม่ก่อนตัดสินใจ
  • กฎหมายผังเมือง/ใบอนุญาต: การทำธุรกิจต้องปฏิบัติตามข้อกำหนด เช่น จะสร้างโรงแรมต้องแน่ใจว่าที่ดินอยู่ในพื้นที่ที่ผังเมืองอนุญาตให้สร้างอาคารประเภทนั้น, มีทางเข้าออกตามเกณฑ์เทศบัญญัติ, หากเป็นปั๊มน้ำมันก็มีระยะห่างจากชุมชนตามกฎ เป็นต้น กลุ่มนี้จึงมักตรวจสอบ zoning, ขอข้อมูลจากหน่วยงานรัฐ หรือใช้ผู้เชี่ยวชาญ (เช่น สถาปนิก, นักผังเมือง) มาช่วยดูความเป็นไปได้ก่อนซื้อ

ข้อดี:

  • หากวางแผนมาดี ที่ดินจะกลายเป็นสินทรัพย์สร้างรายได้ ยิ่งกว่ารอ capital gain อย่างเดียว เพราะเมื่อธุรกิจดำเนิน รายได้จากกิจการก็เข้ามา เช่น มีที่ดินแล้วสร้างอพาร์ตเมนต์ปล่อยเช่า ก็ได้ค่าเช่าทุกเดือน แถมที่ดินก็ราคาขึ้นด้วย
  • ที่ดินเพื่อธุรกิจสามารถนำไปค้ำประกันเงินกู้มาขยายกิจการได้ หากกิจการรุดหน้า
  • ธุรกิจบางอย่างเมื่อที่ดินมูลค่าเพิ่ม ก็พลอยเพิ่มมูลค่าธุรกิจไปด้วย (เช่น ทำศูนย์การค้า บนที่ดินซึ่งมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเมืองขยาย กิจการก็มีฐานทรัพย์สินมากขึ้น)

ข้อควรระวัง:

  • เงินลงทุนสูง: นอกจากซื้อที่ดินแล้ว ยังต้องมีงบก่อสร้างพัฒนาอีกมาก การบริหารเงินและการกู้ธนาคารเป็นเรื่องสำคัญ ต้องไม่ให้โครงการสะดุดกลางคัน
  • ความเสี่ยงด้านตลาดของธุรกิจ: ซื้อที่ดินมาเปิดกิจการ หากประเมินตลาดผิด (เช่น โรงแรมล้นตลาด, เปิดร้านในทำเลที่คู่แข่งเยอะ) อาจประสบปัญหาด้านรายได้ แม้ที่ดินจะมีค่าแต่ธุรกิจไม่ทำเงินก็อาจจำต้องขายทรัพย์สินทิ้งในภาวะไม่ดี ซึ่งได้ราคาไม่คุ้ม
  • ระยะเวลากว่าจะเห็นกำไร: ต่างกับเก็งกำไรที่ดินเฉย ๆ การทำธุรกิจบนที่ดินต้องใช้เวลา Break-even (คุ้มทุน) หลายปี ต้องอดทนและบริหารดี ๆ

โดยสรุป ผู้ซื้อที่ดินเพื่อทำธุรกิจต้องมีทั้ง วิสัยทัศน์ด้านทำเล และ ความรู้ด้านการบริหารธุรกิจ ควบคู่ จะมองแค่ด้านใดด้านหนึ่งไม่ได้ เช่น เก่งทำธุรกิจอาหารอย่างเดียว แต่เลือกทำเลผิดที่ ลูกค้าน้อย ก็ไปไม่รอด หรือที่ดินดีมากแต่บริหารโรงแรมแย่ ก็เจ๊งได้ ดังนั้นกลุ่มนี้ถือว่าท้าทายที่สุด แต่ถ้าสำเร็จก็ได้ผลตอบแทนสองเด้ง (มูลค่าที่ดิน+กำไรธุรกิจ)

ข้อดี-ข้อเสียของการซื้อที่ดินประเภทต่าง ๆ

การซื้อที่ดินไม่ได้มีลักษณะเดียว ที่ดินแต่ละประเภทมีคุณสมบัติแตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อการใช้ประโยชน์และมูลค่าของที่ดินนั้น การเข้าใจ ข้อดี-ข้อเสีย ของที่ดินแต่ละแบบจะช่วยให้ตัดสินใจได้รอบคอบยิ่งขึ้น ในหัวข้อนี้เราจะกล่าวถึงที่ดิน 3 ประเภทหลักที่พบได้บ่อยและเปรียบเทียบจุดเด่นจุดด้อย ได้แก่ ที่ดินเปล่า, ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง, และที่ดินติดถนนใหญ่

ที่ดินเปล่า (ยังไม่พัฒนามีแต่ที่ดินล้วน ๆ)

  • ข้อดี:
    • ความยืดหยุ่นสูง: สามารถนำมาพัฒนาอะไรก็ได้ตามต้องการ (หากกฎหมายผังเมืองอนุญาต) เช่น สร้างบ้าน ทำสวน ทำโครงการ เป็นต้น ไม่มีข้อจำกัดจากสิ่งปลูกสร้างเดิม
    • ราคาถูกกว่าที่ดินมีสิ่งปลูกสร้าง: โดยทั่วไปที่ดินเปล่าจะตั้งราคาเฉพาะมูลค่าที่ดิน ทำให้ราคา/ตร.วา มักถูกกว่าที่ดินที่มีบ้านหรือตึกพ่วงมาด้วย เพราะผู้ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอาจบวกมูลค่าตัวอาคารเข้าไป
    • จัดการง่าย: ไม่มีภาระดูแลสิ่งปลูกสร้าง (ซ่อมแซม/รื้อถอน) และไม่มีผู้เช่า/ผู้อยู่อาศัยที่ต้องเคลียร์ สามารถโอนกรรมสิทธิ์แล้วเริ่มใช้งานได้ทันที
  • ข้อเสีย:
    • ต้องลงทุนเพิ่มเติมเพื่อใช้ประโยชน์: ที่ดินเปล่าเหมือนผ้าใบว่างเปล่าที่เราต้องลงทุนลงแรงวาดภาพเอง หากซื้อมาแล้วจะใช้ประโยชน์ ก็ต้องทุ่มงบสร้างสิ่งปลูกสร้าง ทำโครงสร้างพื้นฐาน (ถมที่, ลากไฟ/ประปา) เพิ่มเติม ซึ่งใช้งบประมาณและเวลาพอสมควร
    • รายได้เป็นศูนย์ขณะถือครอง: ที่ดินเปล่าไม่ได้สร้างรายรับอะไรเลยจนกว่าจะพัฒนา ถ้าเราถือไว้นาน เงินก็จม แถมต้องจ่ายภาษีและค่าดูแล (ตัดหญ้า ล้อมรั้วป้องกันคนบุกรุก) ไปเรื่อย ๆ
    • บางครั้งกู้ธนาคารได้น้อยกว่า: ธนาคารมักให้วงเงินกู้ซื้อที่ดินเปล่าต่ำกว่าซื้อบ้านพร้อมที่ดิน เพราะมองความเสี่ยงสูงกว่า (ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยพร้อมใช้) ทำให้ผู้ซื้ออาจต้องใช้เงินดาวน์มาก

ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง (มีบ้าน/อาคารอยู่บนที่ดินแล้ว)

  • ข้อดี:
    • พร้อมใช้งาน/พร้อมเข้าอยู่: หากสิ่งปลูกสร้างอยู่ในสภาพดี สามารถใช้งานได้ทันที เช่น ซื้อที่ดินมีบ้าน ก็ย้ายเข้าอยู่ได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาสร้างใหม่ หรือลงทุนเพิ่ม
    • มีรายได้ในตัว (ถ้าเป็นทรัพย์ลงทุน): เช่น ที่ดินพร้อมอาคารพาณิชย์หรืออพาร์ตเมนต์ สามารถรับค่าเช่าได้ตั้งแต่วันแรกที่ถือครอง ไม่เสียโอกาส
    • กู้ธนาคารได้ง่ายกว่า: ธนาคารมองทรัพย์ที่มีสิ่งปลูกสร้างเป็น “อสังหาฯ พร้อมใช้” มูลค่าค่อนข้างชัดเจน จึงมักให้วงเงินกู้สูงกว่า (เพราะหากยึดขายทอดตลาดก็ขายง่ายกว่าที่ดินเปล่า)
  • ข้อเสีย:
    • อาจไม่ตรงความต้องการ 100%: สิ่งปลูกสร้างที่มีกับสิ่งที่ผู้ซื้ออยากได้อาจไม่ตรงกัน เช่น บ้านดีแต่ดีไซน์ไม่ถูกใจต้องรีโนเวทใหม่ หรืออาคารเก่าเกินไปไม่เหมาะธุรกิจ ต้องทุบทิ้ง ซึ่งกลายเป็นต้นทุนเพิ่ม
    • ค่ายMaintenance/ซ่อมแซม: มีภาระดูแลสิ่งปลูกสร้าง ถ้าอาคารเก่าอาจต้องซ่อมใหญ่ เปลี่ยนหลังคา ระบบไฟ ประปา เป็นต้น เป็นค่าใช้จ่ายแฝง
    • ราคาสูงและประเมินยาก: ผู้ขายมักเรียกราคาเพิ่มจากมูลค่าที่ดินเพราะคิดรวมสิ่งปลูกสร้าง แต่ฝั่งผู้ซื้อบางทีไม่เห็นคุณค่าอาคารเท่าผู้ขาย (เช่น บ้านเก่าผู้ขายตีว่ามีค่า แต่ผู้ซื้อกะจะทุบทิ้งก็รู้สึกจ่ายแพงเกิน) ทำให้การต่อรองราคายากกว่าซื้อที่ดินเปล่าที่ตีราคาตามที่ดินล้วน ๆ

ที่ดินติดถนนใหญ่ (แปลงที่อยู่ติดทางสัญจรหลัก)

  • ข้อดี:
    • มูลค่าสูงและสภาพคล่องดี: ที่ดินติดถนนหลักหรือถนนใหญ่ มักมีราคาสูงกว่าแปลงด้านในซอย เพราะได้เปรียบเรื่องการเข้าถึงและหน้ามองเห็น (visibility) ทำให้ขายต่อหรือพัฒนาเชิงพาณิชย์ง่ายกว่า เป็นสินทรัพย์ที่ต้องการสูง
    • เหมาะทำธุรกิจหลากหลาย: ไม่ว่าจะเปิดร้านค้า โชว์รูม ปั๊มน้ำมัน หรือสร้างอาคารสำนักงาน ล้วนอยากได้ที่ดินติดถนนใหญ่ เพราะลูกค้าเข้าถึงสะดวก มองเห็นร้านง่าย ที่ดินลักษณะนี้จึง มีทางเลือกการใช้ประโยชน์ (Highest and Best Use) หลากหลาย
    • ความเจริญและสาธารณูปโภคถึงพร้อม: มักมีไฟฟ้า ประปา โทรคมนาคม ครบ เพราะอยู่บนเส้นทางหลัก บ่อยครั้งรถขยะผ่าน ความสะอาด ความปลอดภัยดีกว่าลึกในซอย แถมถนนใหญ่มักมีไฟถนน หรือกิจกรรมเศรษฐกิจที่ทำให้บริเวณนั้นไม่เปลี่ยว
  • ข้อเสีย:
    • ราคาซื้อแพง: ด้วยข้อดีที่มี ราคาที่ดินติดถนนใหญ่มักสูงกว่าที่ดินในซอยหลายสิบเปอร์เซ็นต์หรือหลายเท่าตัวในบางกรณี ทำให้ต้องใช้ทุนมาก อาจเกินงบคนทั่วไป ส่งผลให้ ROI จากการลงทุนอาจต่ำลง (เพราะต้นทุนสูง)
    • เสียงดัง/มลภาวะ: การอยู่อาศัยบนถนนใหญ่มีข้อเสียเรื่องเสียงรถยนต์ ฝุ่นควัน อาจไม่สงบเท่าในซอย เหมาะทำการค้ามากกว่าอยู่พักอาศัย (คนซื้อปลูกบ้านอยู่เองบางคนเลี่ยงติดถนนใหญ่ด้วยเหตุนี้)
    • รูปทรงที่ดินบางทีเสียสัดส่วน: ที่ดินติดถนนหลักบางครั้งหน้ากว้างน้อย ลึกมาก (ตามแนวถนน) หรือโดนเวนคืนบางส่วน ทำให้แปลงไม่สวยเท่าที่ควร ต้องออกแบบสิ่งปลูกสร้างให้เข้ากับรูปแปลงที่อาจมีข้อจำกัด เช่น ความลึกเยอะ

นอกจาก 3 ประเภทหลักข้างต้น ยังมีการแบ่งประเภทอื่น ๆ ได้อีก เช่น ที่ดินในโครงการจัดสรร vs ที่ดินแปลงนอกโครงการ, ที่ดินติดแม่น้ำ, ที่ดินบนเกาะ ฯลฯ ซึ่งแต่ละแบบก็มีจุดเด่นจุดด้อยของมัน ผู้ซื้อควรพิจารณาตามวัตถุประสงค์ตนเอง หากซื้อเพื่ออยู่อาศัยก็ดูความสงบ ความสะดวก, ซื้อเพื่อลงทุนก็โฟกัสเรื่องทำเลที่สร้างมูลค่าเพิ่ม, ซื้อเพื่อทำธุรกิจก็ดูความเหมาะสมกับกิจการ ทั้งนี้ทุกประเภทไม่ว่าจะที่ดินเปล่าหรือมีสิ่งปลูกสร้าง ถ้าติดถนนใหญ่ที่ดินก็มักราคาสูงกว่าอยู่ดี รวมทั้งเอกสารสิทธิของที่ดินก็สำคัญ (ซึ่งจะกล่าวในส่วนข้อควรระวัง) สุดท้ายต้องชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียเหล่านี้ประกอบกันก่อนตัดสินใจ

ตารางเปรียบเทียบราคาที่ดินตามทำเล พร้อมค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง

เพื่อให้เห็นภาพรวมของระดับราคาที่ดินในทำเลต่าง ๆ ทั่วประเทศไทยและทำความเข้าใจเรื่องค่าธรรมเนียมภาษีในการซื้อขาย เราได้จัดทำ ตารางสรุปเปรียบเทียบราคาที่ดินโดยประมาณในทำเลสำคัญ พร้อมทั้งระบุ ค่าธรรมเนียมและภาระภาษีหลัก ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในการซื้อขายที่ดิน (ซึ่งโดยหลักแล้วอัตราจะเท่ากันทุกทำเลทั่วประเทศ เพราะกำหนดโดยกฎหมายกลาง) ตารางนี้จะช่วยผู้อ่านในการวางแผนงบประมาณคร่าว ๆ หากคิดจะลงทุนซื้อที่ดินในทำเลเหล่านี้

ทำเล

ช่วงราคาที่ดินโดยประมาณ<br>(บาท/ตร.วา)

ค่าธรรมเนียมและภาษีที่เกี่ยวข้อง (โดยสังเขป* )

กรุงเทพฯ (ชั้นใน-ชั้นนอก)

ชั้นใน CBD: ~300,000-1,000,000++

ชั้นนอก/ปริมณฑล: ~5,000-200,000

- ค่าโอนกรรมสิทธิ์: 2% ของราคาประเมิน/ราคาขาย (อย่างใดสูงกว่า)

- อากรแสตมป์: 0.5% ของราคาขาย (กรณีถือครอง >5 ปี หรือนิติบุคคลขาย)

- ภาษีธุรกิจเฉพาะ: 3.3% ของราคาขาย (กรณีถือครอง <5 ปี และขายโดยบุคคลธรรมดา)

- ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย: อัตราก้าวหน้า คำนวณจากราคาประเมินและปีถือครอง (ประมาณ 1-3% โดยเฉลี่ย)

พัทยา/ชลบุรี

ติดทะเล/ใจกลางพัทยา: ~80,000-200,000

พื้นที่อื่นในชลบุรี: ~4,000-100,000

(ค่าธรรมเนียมและภาษีในการโอนที่ดินเหมือนกรุงเทพฯ คือ ค่าโอน 2%, อากร 0.5% หรือธุรกิจเฉพาะ 3.3%, และภาษีเงินได้ตามเกณฑ์)

เชียงใหม่

ในเมือง/ทำเลท่องเที่ยว: ~50,000-200,000

ชานเมือง: ~2,000-50,000

(เหมือนบน)

ภูเก็ต

ติดทะเล/ตัวเมือง: ~50,000-300,000

พื้นที่อื่น: ~10,000-100,000

(เหมือนบน)

หัวหิน

ติดทะเล: ~100,000-300,000

ในเมือง/อื่น ๆ: ~5,000-100,000

(เหมือนบน)

เกาะสมุย

ติดทะเล/วิวทะเล: ~50,000-150,000

ในแผ่นดิน: ~5,000-50,000

(เหมือนบน)

หัวเมืองรองอื่น ๆ

เช่น โคราช: ~1,000-50,000

ขอนแก่น: ~500-20,000

ระยอง: ~1,000-60,000 เป็นต้น

(เหมือนบน)

หมายเหตุ:

  • ช่วงราคาที่ดินที่ระบุเป็นการประมาณค่า ราคาเสนอขาย/ราคาตลาด ของที่ดินทำเลนั้น ๆ ณ ปี 2567-2568 ซึ่งอาจแตกต่างขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ตั้งเฉพาะ ความสวยของที่ดิน และภาวะตลาด หากที่ดินแปลงใดมีศักยภาพพิเศษ (เช่น ติดแลนด์มาร์ค หรือมีหน้ากว้างมาก) ราคาก็อาจสูงกว่าช่วงที่ระบุ
  • ค่าธรรมเนียมและภาษีในการซื้อขายที่ดินทั่วประเทศไทยในปัจจุบัน (2568) มีอัตราเท่ากันตามกฎหมายกลาง ไม่ว่าทำเลใด คือ ค่าโอน 2%, อากรแสตมป์ 0.5% (หรือ ภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% แทนที่อากรถ้าถือครองไม่ถึง 5 ปีและผู้ขายเป็นบุคคลธรรมดา), และ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย ซึ่งคำนวณแบบเหมาจากราคาประเมินและปีที่ถือครอง (ถือครองนานลดหย่อนมากขึ้น) โดยรวมแล้วภาระภาษี+ค่าโอนทั้งหมดจะอยู่ประมาณ 4-6% ของราคาขาย ทั้งนี้ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถตกลงกันได้ในการแบ่งชำระ เช่น ผู้ซื้อจ่ายค่าโอน ผู้ขายจ่ายภาษี เป็นต้น
  • นอกจากค่าธรรมเนียมการโอน ผู้ซื้อควรเผื่องบสำหรับ ค่าจดจำนอง (ถ้ามี) 1% ของวงเงินกู้ (กรณีขอสินเชื่อธนาคาร) และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่านายหน้า (ถ้าซื้อผ่านเอเจนท์ ปกติ 3% ของราคาขาย ซึ่งมักผู้ขายเป็นคนจ่าย)

ตารางข้างต้นทำให้เห็นภาพว่า กรุงเทพฯชั้นในและภูเก็ต มีราคาที่ดินต่อหน่วยสูงมากเมื่อเทียบกับที่อื่น ขณะที่ พื้นที่เมืองรอง ราคายังต่ำกว่ามากแต่ก็มีโอกาสโต ส่วนเรื่องค่าธรรมเนียมนั้น ผู้ซื้อและผู้ขายควรเจรจาให้ชัดเจนว่าใครจะรับผิดชอบส่วนใด เพื่อป้องกันปัญหาหลังการตกลงราคา (โดยทั่วไปมักแบ่งกันจ่ายหรือผู้ซื้อรับภาระค่าโอน ผู้ขายรับภาระภาษี เป็นต้น) การคำนวณค่าใช้จ่ายทั้งหมดก่อนการซื้อจะช่วยให้บริหารงบประมาณได้ไม่มีสะดุด

คำแนะนำด้านกฎหมายและข้อควรระวังในการซื้อขายที่ดิน

การซื้อขายที่ดินมีรายละเอียดทางกฎหมายและข้อควรระวังหลายประการที่ผู้ซื้อทุกคนควรทราบ เพื่อป้องกันปัญหาภายหลังหรือการเสียเปรียบในสัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับตลาดที่ดินที่มูลค่าสูง ความผิดพลาดเล็กน้อยอาจหมายถึงความเสียหายใหญ่โต เราจึงสรุป คำแนะนำสำคัญด้านกฎหมายและข้อควรระวัง ดังนี้:

  • ตรวจสอบเอกสารสิทธิที่ดิน: ก่อนตกลงซื้อ ต้องยืนยันว่าที่ดินมีโฉนดหรือเอกสารสิทธิประเภทใด
    • แนะนำให้เลือกซื้อที่ดินที่มี โฉนดที่ดิน น.ส.4 จ. (ครุฑแดง) ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์สมบูรณ์ของผู้ถือ สามารถซื้อขายโอนได้ทันที
    • ระวังที่ดินที่ยังเป็น น.ส.3 หรือ น.ส.3 ก. (หนังสือรับรองการทำประโยชน์ ครุฑเขียว) ซึ่งแม้โอนได้แต่กระบวนการซับซ้อนกว่าและตำแหน่งที่ดินอาจไม่แม่นยำเท่าโฉนด
    • หลีกเลี่ยงที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 (ที่ดินปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ครุฑน้ำเงิน) เพราะตามกฎหมายห้ามโอนให้บุคคลที่ไม่ใช่เกษตรกร ถ้าพบประกาศขายราคาถูกผิดปกติโดยเฉพาะในเขตชานเมือง ให้สงสัยไว้ก่อนว่าอาจเป็นที่ ส.ป.ก. หรือเอกสารสิทธิไม่ใช่โฉนด ควรตรวจสอบให้แน่ชัดที่สำนักงานที่ดิน
    • นอกจากนี้ ขอสำเนาโฉนดมาตรวจเช็กกับกรมที่ดินหรือดูระวางแผนที่ทางออนไลน์ เพื่อยืนยันว่าตำแหน่ง รูปแปลง และเนื้อที่ตรงตามที่ผู้ขายแจ้ง ไม่ขาดไม่เกิน และไม่มีภาระจำยอม/จดทะเบียนสิทธิอื่น (เช่น มีคนอื่นมีสิทธิผ่านที่, หรือมีการจำนองผูกพันอยู่)
  • สิทธิการถือครองของชาวต่างชาติ: ตามกฎหมายไทย
    • ชาวต่างชาติ (ต่างด้าว) ไม่สามารถถือกรรมสิทธิ์ที่ดินในชื่อของตนเองได้ ยกเว้นกรณีพิเศษที่มาลงทุนขนาดใหญ่และได้รับอนุญาตรายกรณี ซึ่งพบได้น้อยมาก
    • ดังนั้น ที่ดินส่วนใหญ่จะซื้อขายระหว่างบุคคลสัญชาติไทยหรือ นิติบุคคลสัญชาติไทย เท่านั้น (บริษัทไทยที่ต่างชาติถือหุ้นไม่เกิน 49%)
    • ชาวต่างชาติที่ต้องการลงทุนในที่ดิน มักใช้วิธี ถือหุ้นไม่เกิน 49% ในบริษัทไทยที่ซื้อที่ดิน หรือ ทำสัญญาเช่าระยะยาว (Leasehold) สูงสุด 30 ปี แล้วต่ออายุ (ซึ่งไม่ใช่กรรมสิทธิ์เต็มที่) รวมถึงบางกรณีแต่งงานกับคนไทยแล้วให้คู่สมรสคนไทยถือกรรมสิทธิ์
    • ด้วยข้อจำกัดนี้ ผู้ซื้อชาวไทยควรรู้ไว้ เผื่อวางแผนในอนาคตหากคิดจะขายต่อให้ชาวต่างชาติ จะทำตรง ๆ ไม่ได้ ยกเว้นผ่านวิธีข้างต้น ทำให้กลุ่มผู้ซื้อของที่ดินจำกัดเฉพาะผู้มีสัญชาติไทยเป็นหลัก ฉะนั้นหากใครซื้อเก็งกำไรแล้วหวังขายให้ต่างชาติ อาจต้องปรับแผนมองหาคนไทยหรือโครงสร้างการขายที่ถูกกฎหมาย
  • ผังเมืองและการใช้ประโยชน์ที่ดิน: ประเทศไทยมี กฎหมายผังเมือง กำหนดการใช้ที่ดินในเขตต่าง ๆ ด้วย “สีผังเมือง” เช่น สีแดง = พาณิชยกรรม, สีเหลือง = ที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย, สีม่วง = อุตสาหกรรม ฯลฯ
    • ก่อนซื้อที่ดินควรตรวจสอบว่าสีผังเมืองของแปลงนั้นเป็นสีอะไร ซึ่งจะระบุว่า สร้างอะไรได้บ้าง เช่น
      • โซนพาณิชยกรรม (สีแดง) สามารถสร้างอาคารสูง คอนโดมิเนียม ห้างร้านได้ค่อนข้างอิสระ
      • โซนที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย (สีเหลือง) อาจจำกัดความสูงอาคารและประเภท (เช่น สร้างคอนโดสูงไม่ได้)
      • บางพื้นที่เป็น เขตอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม (สีเขียวลาย) ห้ามสร้างบ้านจัดสรรหรือโรงงาน เป็นต้น
    • การรู้ข้อจำกัดผังเมืองล่วงหน้า จะช่วยวางแผนพัฒนาได้ถูกต้อง ลดความเสี่ยงซื้อมาแล้วทำสิ่งที่อยากทำไม่ได้
    • การขอดูสีผังเมืองทำได้ผ่านเว็บไซต์กรมโยธาธิการและผังเมือง หรือสอบถามที่เทศบาล/อบต. พื้นที่นั้น
  • กฎระเบียบการก่อสร้างและสิ่งแวดล้อม: นอกเหนือจากผังเมือง ยังมีข้อบังคับเฉพาะบางพื้นที่ เช่น
    • ระยะร่นจากริมน้ำทะเล/แม่น้ำ: ในพื้นที่ชายฝั่ง เช่น พัทยา สมุย ภูเก็ต มีกฎว่าต้องเว้นระยะห่างจากแนวน้ำทะเลสูงสุด (หรือริมชายหาด) เท่าใดจึงสร้างอาคารได้
    • ข้อห้ามก่อสร้างอาคารที่บดบังทัศนียภาพ: เช่น บริเวณเขาพระตำหนัก พัทยา อาจมีกฎห้ามสร้างอาคารสูงที่บังวิว หรือบนเกาะสมุยห้ามสร้างอาคารเกินความสูงที่กำหนดเหนือระดับน้ำทะเล
    • EIA (Environmental Impact Assessment): โครงการขนาดใหญ่หรือพื้นที่อ่อนไหว (เช่น ชายทะเลหรือภูเขา) อาจต้องทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและขออนุมัติก่อนสร้าง หากที่ดินอยู่ในบริเวณที่กฎระเบียบเข้มงวด (เช่น พื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมในสมุย) ขั้นตอนนี้อาจใช้เวลานานและมีค่าใช้จ่าย
    • ดังนั้นสำหรับนักลงทุนหรือผู้จะพัฒนา ควรศึกษา กฎหมายเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่นั้น ให้ครบถ้วน มิฉะนั้นอาจเจอกรณีซื้อที่มาแล้วทำอะไรไม่ได้เต็มที่ หรือโดนระงับโครงการกลางคันเพราะไม่เป็นไปตามข้อกำหนด
  • ตรวจสอบภาระผูกพันและหนี้สินบนที่ดิน:
    • ดูที่โฉนดว่ามี การจำนอง, บุริมสิทธิ, ค้ำประกัน, คดีพิพาท, หรือภาระจำยอม จดทะเบียนไว้หรือไม่ ถ้ามีควรให้ผู้ขายจัดการปลดให้เรียบร้อยก่อนหรือดำเนินการพร้อมโอน (เช่น ปิดจำนอง ณ วันโอน)
    • หากเป็นที่ดินมรดก ควรตรวจสอบว่าเจ้าของรวมทุกคนพร้อมลงนามขายหรือไม่ (เพราะบางกรณีมีเจ้าของร่วมหลายคน หรือคนนึงขายโดยไม่บอกอีกคน เกิดฟ้องร้องทีหลังได้)
    • ถ้าที่ดินเคยเช่าให้ใครอยู่หรือมีคนบุกรุกใช้สอย ต้องตกลงเรื่องยกเลิกสัญญาเช่าหรือขอให้ผู้บุกรุกออกก่อนซื้อ ไม่งั้นผู้ซื้อใหม่อาจต้องไปฟ้องขับไล่เองภายหลังซึ่งยุ่งยาก
  • วางมัดจำและทำสัญญาจะซื้อจะขาย:
    • ในการซื้อขายที่ดิน มักมีขั้นตอนทำ สัญญาจะซื้อจะขาย และวางเงินมัดจำ (เช่น 10% ของราคาซื้อขาย) เป็นการยืนยันความผูกพันก่อนถึงวันโอนจริง
    • ผู้ซื้อควรระบุรายละเอียดในสัญญาชัดเจน เช่น ราคาซื้อขายสุทธิ, ใครออกค่าธรรมเนียมอะไร, กำหนดวันโอน, หากฝ่ายใดผิดนัดจะมีบทลงโทษอย่างไร (เช่น ผู้ซื้อไม่มาวันโอนริบมัดจำ, ผู้ขายเบี้ยวไม่ขายต้องคืนมัดจำสองเท่า เป็นต้น)
    • อย่าโอนเงินมัดจำก้อนใหญ่ให้ผู้ขายโดยไม่มีสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร และควรให้ทั้งสองฝ่ายลงนามทุกหน้า พร้อมพยานหรือทนายรับรองก็จะดี ในสัญญายังควรระบุเงื่อนไขว่า หากพบปัญหาเชิงกฎหมาย (เช่น โฉนดมีปัญหา) ผู้ซื้อสามารถยกเลิกและรับเงินคืนได้ เพื่อคุ้มครองตนเอง
  • วันโอนกรรมสิทธิ์ที่สำนักงานที่ดิน:
    • ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายหรือผู้รับมอบอำนาจต้องไปแสดงตัว เซ็นเอกสาร ณ สำนักงานที่ดินเขตที่ที่ดินตั้งอยู่
    • ผู้ซื้อควรเตรียม แคชเชียร์เช็ค ให้พร้อมตามจำนวนที่ต้องจ่าย (หรือเงินสดถ้าไม่มาก) แบ่งเป็นเงินให้ผู้ขายและเงินจ่ายค่าธรรมเนียมภาษีให้หลวง
    • ก่อนเซ็นรับโอน ควรอ่านเอกสาร ทะเบียนโอนต่าง ๆ ให้ถูกต้องครบถ้วน และ ตรวจสอบโฉนดตัวจริงหลังโอน ว่ามีชื่อตนเป็นเจ้าของใหม่เรียบร้อย ไม่มีรายการโอนค้างอะไร
    • เก็บใบเสร็จค่าธรรมเนียมภาษีต่าง ๆ ไว้เป็นหลักฐาน (และใช้ในการคิดต้นทุนทรัพย์สินเมื่อคำนวณภาษีตอนขายในอนาคต)
  • ค่าธรรมเนียมภาษี ณ วันโอน:
    • อย่างที่ระบุในตารางก่อนหน้า ให้ตกลงกันให้ชัดว่าใครออกส่วนใด
    • โดยธรรมเนียมตลาด มักจะเป็น “ผู้ซื้อออกค่าโอน 2%, ผู้ขายออกภาษีเงินได้+อากร/ธุรกิจเฉพาะ” แต่ทั้งหมดต่อรองได้ในตอนทำสัญญาจะซื้อจะขาย
    • อย่าลืมคำนึงถึง ค่าจดจำนอง 1% (ถ้ามีการกู้เงิน) ผู้ซื้อเป็นผู้ออกและชำระพร้อมการโอน
  • ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างประจำปี:
    • หลังซื้อแล้ว ผู้ซื้อต้องรับผิดชอบ ภาษีที่ดินฯ ประจำปี ซึ่งจัดเก็บตามประเภทการใช้ประโยชน์และมูลค่าที่ดิน+สิ่งปลูกสร้าง
    • หากที่ดินเปล่าไม่ได้ใช้ทำการเกษตรหรืออยู่อาศัย จะเข้าเกณฑ์ “อื่น ๆ” อัตราภาษีค่อนข้างสูงและจะเพิ่มหากปล่อยว่างหลายปี ฉะนั้นผู้ที่ซื้อมาเก็งกำไรควรทราบว่าจะมีค่าภาษีต้องจ่ายทุกปี
    • ในการซื้อขาย โดยทั่วไป ผู้ถือครอง ณ วันที่ 1 มกราคมของปีนั้นต้องจ่ายภาษีสำหรับปีนั้น (แม้ขายต่อกลางปีก็ตาม) ซึ่งคู่สัญญาอาจตกลงแบ่งกันออกตามสัดส่วนเดือนได้ ถ้าไม่ได้ตกลงอะไรก็มักเป็นตามหลักกฎหมายคือเจ้าของเดิมจ่ายปีนั้นไป
  • การครอบครองปรปักษ์:
    • ถ้าที่ดินมีเนื้อที่มาก หรือไม่ได้ไปดูแลบ่อย ต้องระวัง คนอื่นเข้ามาอยู่หรือใช้ประโยชน์ยาวนาน เพราะตามกฎหมายหากมีผู้ครอบครองที่ดินของเราต่อเนื่องโดยสงบและเปิดเผย 10 ปี (กรณีมีโฉนด) หรือ 20 ปี (กรณี น.ส.3) เขาอาจมีสิทธิฟ้องศาลขอกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ได้
    • วิธีป้องกันคือ เราต้องแสดงความเป็นเจ้าของ เช่น ปักหมุดแนวเขตให้ชัด, ทำรั้ว, ติดป้ายห้ามบุกรุก, เข้าตรวจสอบที่ดินเป็นระยะ และหากพบการบุกรุกให้รีบดำเนินการทางกฎหมายทันที
  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ:
    • หากไม่แน่ใจในขั้นตอนหรือเอกสาร ควรปรึกษาทนายความหรือเจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดิน แต่เนิ่น ๆ อย่ารอตอนมีปัญหาค่อยถาม
    • โดยเฉพาะการทำสัญญาต่าง ๆ การตรวจสอบประวัติคนขาย (ว่ามีคดีหรือมีอำนาจขายหรือไม่) ถ้าดีที่สุดมีกำลัง ก็ควรจ้างทนายที่เชี่ยวชาญอสังหาฯ มาช่วยดู จะปลอดภัยขึ้น

ใจความสำคัญของส่วนนี้คือ “ซื้อที่ดินต้องไม่ประมาท” แม้หลายครั้งจะเป็นการซื้อขายกันเองระหว่างคนรู้จักหรือดูเหมือนเรียบง่าย แต่เงินที่เสียไปมีมูลค่าสูงมาก การรอบคอบไว้ย่อมดีกว่าแก้ไขทีหลัง เมื่อทำถูกต้องตามขั้นตอน คุณก็จะได้ครอบครองที่ดินนั้นอย่างสบายใจ ไร้ข้อพิพาท และสามารถพัฒนาหรือใช้ประโยชน์ได้ตามที่ตั้งใจ

แนวโน้มตลาดที่ดินไทยในอีก 5 ปี (พ.ศ. 2569-2573)

มองไปข้างหน้าช่วง 5 ปีจากนี้ (2569-2573) ตลาดที่ดินไทยมีทิศทางอย่างไร? นี่เป็นคำถามสำคัญสำหรับนักลงทุนและผู้วางแผนระยะยาว แม้การพยากรณ์จะมีความไม่แน่นอน แต่เราสามารถประเมินแนวโน้มได้จากปัจจัยปัจจุบันและโครงการที่จะเกิดขึ้น ดังนี้:

  • ราคาที่ดินมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั่วประเทศ: จากสถิติย้อนหลัง ราคาประเมินที่ดินไม่เคยลดลงเลยในรอบหลายสิบปี และในปี 2570 ที่จะถึงนี้ กรมธนารักษ์จะปรับใช้ราคาประเมินที่ดินรอบใหม่ (รอบปี 2570-2573) ซึ่งคาดว่าจะ ขยับสูงขึ้นทั่วประเทศ ตามแนวโน้มตลาด ดังนั้นโดยภาพรวมใครถือที่ดินไว้อีก 5 ปีข้างหน้า มีโอกาสเห็นมูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน เพียงแต่ อัตราการเพิ่ม จะแตกต่างไปตามทำเล (พื้นที่ที่กำลังพัฒนาเร็วจะขึ้นเยอะกว่าพื้นที่นิ่ง)
  • การขยายตัวของเมืองและโครงสร้างพื้นฐานจะสร้าง “Hot Spots” ใหม่: ในช่วง 5 ปีนี้ หลายโครงการใหญ่จะเริ่มเปิดใช้หรือใกล้เสร็จ
    • กรุงเทพฯและปริมณฑล: รถไฟฟ้าสายใหม่หลายสายจะเปิดเดินรถ (เช่น สายสีส้ม, ส่วนต่อขยายสายสีเขียว, สายสีม่วงใต้) ซึ่งจะดันราคาที่ดินรอบสถานีเหล่านั้นสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้พื้นที่บางนา-สุวรรณภูมิจะรุ่งจากโครงการระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (EEC) และศูนย์การค้า/เมืองใหม่ที่เอกชนพัฒนาตามแนวบางนา-ตราด
    • EEC (ชลบุรี-ระยอง-ฉะเชิงเทรา): จะกลายเป็น ศูนย์กลางอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ ที่สำคัญภายใน 5 ปีนี้ มีนิคมใหม่เกิดขึ้น, สนามบินอู่ตะเภาเปิดบริการในฐานะสนามบินพาณิชย์เต็มรูปแบบ, รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินเริ่มวิ่ง (ตามแผนปี 2572) ส่งผลให้ที่ดินทั้งเพื่อพักอาศัยและเชิงพาณิชย์ใน EEC ราคาพุ่งแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะเมืองศรีราชา, พัทยา, มาบตาพุด และบริเวณสถานีรถไฟฟ้าความเร็วสูง
    • หัวเมืองใหญ่ภูมิภาค: เช่น เชียงใหม่ หากโครงการสนามบินแห่งที่ 2 คืบหน้า ที่ดินโดยรอบจะบูมแน่นอน รวมถึงถนนวงแหวนรอบนอกและรถไฟทางคู่ที่จะเสร็จหนุนมูลค่าที่ดิน, โคราช เมื่อรถไฟความเร็วสูงมาในอีก ~3 ปี ราคาที่ดินรอบสถานีและย่านธุรกิจใหม่ (เช่น Terminal 21, Central โคราช) จะปรับสูง, ขอนแก่น มีโอกาสเห็นโมโนเรลในเมือง (โครงการรถไฟฟ้ารางเบา) หากเกิดขึ้นจริงจะเพิ่มมูลค่าที่ดินตามเส้นทาง, ภูเก็ต ภายใน 5 ปี นอกจากโครงสร้างพื้นฐานที่กล่าวไป (อุโมงค์, ทางด่วน, ขยายสนามบิน) ยังอาจเห็นความชัดเจนเรื่อง Entertainment Complex ซึ่งหากรัฐบาลไฟเขียวจริง จะเป็น Game Changer ดึงเงินทุนมหาศาลเข้าภูเก็ต ที่ดินพุ่งขึ้นอีกขั้น
    • จังหวัดชายแดนและเส้นทางใหม่: การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเต็มรูปแบบ และการคมนาคมใหม่ ๆ (เช่น รถไฟจีน-ลาว ที่เชื่อมถึงหนองคายในอนาคต, ถนนมอเตอร์เวย์ลงใต้) จะทำให้ที่ดินเมืองชายแดนเช่น หนองคาย, สงขลา, ตาก มีบทบาทมากขึ้น อาจเห็นคลังสินค้าและเขตการค้าชายแดนขยาย ทำให้ที่ดินเหล่านั้นราคาโตจากเดิมที่เคยนิ่ง
  • แรงขับจากต่างชาติยังมีต่อ แต่โฟกัสเปลี่ยน: 5 ปีข้างหน้า คาดว่า นักลงทุนจีน จะกลับมาและเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนหลังจีนผ่อนคลายและเร่งลงทุนภายนอก ประเทศไทยยังเป็นเป้าหมายอันดับต้น ๆ ทั้งด้านอุตสาหกรรมและที่อยู่อาศัย (จากความใกล้ชิดและ Belt and Road Initiative) นอกจากนี้ รัสเซียและยุโรป ยังมองหาบ้านหลังที่สองในไทยต่อเนื่อง โดยเทรนด์อาจเปลี่ยนไปที่เมืองท่องเที่ยวทางทะเลมากขึ้น (อย่างที่เห็นรัสเซียย้ายจากพัทยาไปภูเก็ต, ส่วนยุโรปเริ่มมาที่สมุย พังงามากขึ้น) ภายในปี 2570-2573 รัฐบาลอาจมีการ ผ่อนปรนกฎการถือครองอสังหาฯ สำหรับต่างชาติ เพื่อดึงเงินลงทุน เช่น อาจให้ต่างชาติซื้อคอนโดได้มากขึ้น หรือถือครองที่ดินระยะยาวง่ายขึ้น หากเป็นเช่นนั้น ดีมานด์จากต่างชาติจะยิ่งหนุนราคาที่ดินและอสังหาฯ ไทยให้สูงขึ้น แต่ก็ต้องระวังฟองสบู่เป็นระยะ ๆ เช่นกัน
  • ภาษีที่ดินและมาตรการรัฐจะส่งผลต่อตลาด: ปัจจัยหนึ่งที่ต้องจับตาคือ การปรับปรุงกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รัฐมีแนวโน้มจะเก็บภาษีเข้มงวดขึ้นหลังผ่อนปรนลดหย่อนช่วงแรก (มีข่าวว่าปี 2566-2567 ลดภาษี 50% ชั่วคราวเพื่อกระตุ้น แต่อนาคตจะเก็บเต็มอัตรา) และอาจพิจารณาขึ้นอัตราภาษีสำหรับที่ดินรกร้างในอนาคตเพื่อแก้ปัญหาการเก็งกำไรมากเกินไป หากภาษีเพิ่มสูง ผู้ถือที่ดินรายย่อยบางส่วนอาจ จำใจปล่อยขายที่ดินเปล่าที่ไม่ใช้งาน ออกมาในตลาดมากขึ้น ทำให้ ผู้ซื้อมีอำนาจต่อรอง และอาจกดราคาลงในบางช่วงได้ ดังนั้น 5 ปีนี้อาจกลายเป็น “ตลาดของผู้ซื้อ” (Buyer’s market) ในบางทำเลที่มีซัพพลายออกมามาก ซึ่งนับเป็นโอกาสดีสำหรับผู้ที่พร้อมลงทุน และช่วยป้องกันราคาไม่ให้สูงเกินพื้นฐานด้วย
  • พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน - เน้นคุณภาพชีวิตและ Work from Anywhere: การแพร่หลายของการทำงานจากที่ใดก็ได้ (remote working) จะส่งผลให้คนเมืองหลายคน ย้ายถิ่นฐาน ไปอยู่ต่างจังหวัดมากขึ้น หากโครงข่ายอินเทอร์เน็ตและสาธารณูปโภครองรับ บวกกับค่านิยมรักสุขภาพ รักธรรมชาติ คนรุ่นใหม่อาจเลือกซื้อที่ดินชนบท ปลูกบ้านกลางสวน อยู่ใกล้ภูเขาหรือทะเล แล้วทำงานผ่านอินเทอร์เน็ต แนวโน้มนี้จะ กระจายความต้องการที่ดิน ออกไปนอกเมืองใหญ่ เกิดตลาดใหม่ในพื้นที่ชนบทบางแห่ง (เช่น เชียงดาว ปาย จันทบุรี ฯลฯ) ราคาที่ดินอาจขยับจากแทบไม่มีมูลค่ากลายเป็นชุมชนใหม่ของคนย้ายถิ่น หากภาครัฐส่งเสริมอินเทอร์เน็ตและระบบขนส่ง เชื่อว่าเราจะเห็นหมู่บ้านใหม่ ๆ ในชนบทจากแรงขับนี้
  • ความเสี่ยงที่ต้องเผื่อใจ: แน่นอนอนาคตไม่ไร้เมฆหมอก ปัจจัยเสี่ยงสำคัญคือ ภาวะเศรษฐกิจโลก ซึ่งไทยพึ่งพาการส่งออกและท่องเที่ยวสูง หากเกิดเศรษฐกิจถดถอยในตลาดหลัก (สหรัฐ, ยุโรป, จีน) เงินลงทุนอาจหายไปช่วงสั้น ส่งผลให้ตลาดที่ดินซบเซาเป็นการชั่วคราว นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ย หากยังอยู่ระดับสูงไปอีกหลายปี จะกดกำลังซื้อภาคประชาชน (กู้ยาก ผ่อนไม่ไหว) ทำให้การซื้อขายที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการชะลอลง และ ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์/โรคระบาด ก็ประมาทไม่ได้ (สงคราม, โควิดสายพันธุ์ใหม่) เหล่านี้สามารถพลิกโฉมตลาดชั่วขณะ แต่หากมอง 5 ปี ไม่ใช่ 1-2 ปี เราพบว่าตลาดมักปรับตัวและกลับมาเติบโตใหม่เสมอ ดังนั้นนักลงทุนระยะกลางควรมองข้ามความผันผวนระยะสั้นไปบ้าง

บทสรุปแนวโน้ม 5 ปี: ตลาดที่ดินไทยยังคงสดใสในภาพรวม เราจะได้เห็น มูลค่าที่ดินแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง ในหลายพื้นที่เมื่อโครงการใหญ่แล้วเสร็จ การขยายตัวของเมืองและเศรษฐกิจจะสร้างทำเลทองใหม่ ๆ มาให้ลงทุนเสมอ ผู้เล่นหน้าใหม่จะเข้าสู่ตลาด ทั้งนักลงทุนต่างชาติและคนไทยรุ่นใหม่ที่สนใจสินทรัพย์ทางเลือกอย่างที่ดิน ประกอบกับที่ดินเป็นของมีจำกัด จำนวนลดลงเรื่อย ๆ เมื่อพัฒนาไปแล้ว ที่ดินที่เหลืออยู่ก็จะยิ่งหายาก ราคาย่อมสูงขึ้นเป็นธรรมดา อย่างไรก็ดี ตลาดที่มีสุขภาพดีควรเติบโตแบบยั่งยืน ไม่ใช่เก็งกำไรจนเกินพื้นฐาน ใน 5 ปีนี้ภาครัฐคงคอยปรับสมดุลผ่านภาษีและมาตรการต่าง ๆ ให้ตลาดที่ดินไทยเติบโตอย่างมั่นคง ไม่เกิดวิกฤตฟองสบู่เช่นในอดีต

Loading...
สมัครรับอีเมลอัพเดทข่าว