DotProperty.co.th

หุ้นรับเหมาตัวไหนน่าสนใจ พร้อมตอบคำถามลงทุนดีมั้ยในช่วงนี้?!

ผ่านเข้าสู่ช่วงกลางปี 2564 กันแล้ว แม้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัว แต่ก็ยังคงเห็นการปรับลดคาดการณ์จีดีพีลงตามผลกระทบกับโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งแม้ว่าสถานการณ์การลงทุนโดยรวมจะดูยังไม่สดใสเท่าใดนัก แต่ราคาหุ้นกลับวิ่งสวนทาง เนื่องจากยังมีสภาพคล่องส่วนเกินที่เยอะอยู่ทั้งระดับโลกและในประเทศไทยของเราเอง

แน่นอนว่านักลงทุนที่มีสภาพคล่องส่วนเกินเหล่านั้น ก็กำลังคาดหวังที่จะได้รับปัจจัยบวกเพื่อเข้ามากระตุ้นตลาดและการลงทุน อาทิ การที่ประชากรในประเทศได้รับวัคซีนรักษาโควิด-19 ได้อย่างทั่วถึง จนสามารถคลี่คลายสถานการณ์ให้ค่อยๆ กลับมาใกล้เคียงกับปกติ
ซึ่งกลยุทธ์การลงทุนปีนี้ นักวิเคราะห์ต่างสนับสนุนให้ เน้นเลือกเป็นรายกลุ่มอุตสาหกรรมหรือรายตัว ยกตัวอย่างเช่น หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มเข้าฟอร์มดีทันทีเมื่อทางรัฐจะประมูลงานกว่าแสนล้าน โดยกระทรวงคมนาคมได้เตรียมเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติโครงการท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 ระยะที่ 2 วงเงิน 84,361 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ภายในครึ่งแรกของปี 64 จะมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้าน 5G เพิ่มเติมอีก โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ซึ่งจะช่วยหนุนให้โครงการ 5G ของไทยเดินหน้าเร็วกว่าประเทศเพื่อนบ้าน

ด้วยจากกระแสการเดินหน้าผลักดันโครงการลงทุนต่างๆ ของภาครัฐข้างต้น ทำให้กำลังจะมีเม็ดเงินจำนวนมหาศาลไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เพื่อขับเคลื่อนโครงการต่างๆ ของทางภาครัฐไม่ว่าจะเป็นโครงการรถไฟทางคู่บ้านไผ่-นครพนม, เด่นชัด-เชียงของ รถไฟฟ้าสีส้มช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี,รถไฟฟ้าสีม่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ, รันเวย์สนามบินสุวรรณภูมิ ให้เริ่มเกิดขึ้นภายในปี 2564

และจากสัญญาณบวกที่กล่าวมานี้ ส่งผลกระทบในเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างโดยตรง ทำให้แนวโน้มที่ราคาหุ้นรับเหมาจะวิ่งขึ้นมีความเป็นไปได้อย่างมาก ซึ่งผู้ที่สนใจหุ้นรับเหมา-วัสดุก่อสร้าง ดังกล่าว คงต้องติดตามข่าวและเฝ้าเกาะสถานการณ์การประมูลกันอย่างใกล้ชิด เพราะการลงทุนในหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างนั้น ราคาหุ้นโดยส่วนใหญ่จะวิ่งขึ้นไปตามรอบระยะเวลาของข่าวดีจากงานเปิดประมูลของภาครัฐ 

5 หุ้นใหญ่ที่อยู่ในกลุ่มหุ้นรับเหมา-วัสดุก่อสร้าง มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น

โดย 5 หุ้นใหญ่ที่อยู่ในกลุ่มหุ้นรับเหมา-วัสดุก่อสร้าง ที่หลายคนกำลังจับตามองกันอยู่ในปีนี้ ประกอบไปด้วย หุ้น CK หรือ ช.การช่าง หุ้น STEC หรือ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง หุ้น SCC ยักษ์ใหญ่เจ้าของโรงงานปูนซีเมนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย หุ้น UNIQ หรือ ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น ผู้รับเหมาก่อสร้างที่จะคอยรับงานโครงการประเภทโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐเป็นหลัก และ สุดท้ายหุ้น ITD หรือบริษัท อิตาเลียนไทย  ที่เป็นที่คุ้นเคยมานาน

ขณะนี้ราคาหุ้นของบริษัทดังกล่าว ยังมีระดับราคาที่ไม่สูงเกินจริงมากนัก เมื่อเทียบเคียงกับกลุ่มอื่นๆ ที่ทะยานบวกขึ้นเหนือชนะตลาดไปมากแล้ว ซึ่งทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่าจากปัจจัยที่ไล่เรียงมานั้น จึงเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะได้ทำกำไรจากหุ้นรับเหมา-วัสดุก่อสร้าง ที่มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นได้ จากข่าวการประมูลโครงการใหญ่ๆ ของทางภาครัฐดังที่ได้กล่าวมา และช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนที่ยังคงถือหุ้นรับเหมา-วัสดุก่อสร้างกันทำให้พื้นฐานของหุ้นกลุ่มดังกล่าวแข็งแกร่งในระยะยาวได้

นอกจากหุ้นรับเหมา-วัสดุก่อสร้างแล้ว หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมบ้านและที่อยู่อาศัยก็มีการคาดการณ์ว่าจะมีความสดใสมากขึ้น เนื่องจากในปีที่ผ่านมา หุ้นในกลุ่มดังกล่าวถือว่าได้รับผลกระทบค่อนข้างหนักจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้กำไรของรวมของกลุ่มปรับตัวลดลง 21% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนและถือว่าปรับตัวลงมา 2 ปีติดต่อกันแล้วคือปี 62 และ 63 แต่อย่างไรก็ดีมีการคาดการณ์ว่าปี 64 นี้จะกลับฟื้นตัวขึ้นได้ หลังจากมีการกระจายวัคซีนได้อย่างทั่วถึงทำให้สามารถควบคุมการระบาดได้เป็นที่น่าพอใจ 

ความน่าสนใจของหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์คือ อัตราผลตอบแทนเงินปันผลของกลุ่มที่อยู่อาศัยที่สูง มีการคาดการณ์ว่าในปี 2564 อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยจะอยู่ที่ราว 6% และอาจมีแนวโน้มสูงกว่าที่คาด หากมีมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐเพื่อเยียวยาเศรษฐกิจ ซึ่งสำหรับนักลงทุนที่เพิ่งเริ่มสนใจหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์นี้  ควรเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีพื้นฐานดี หรือเรียกว่าเป็น Top Pick ของกลุ่ม อย่างหุ้น  AP และ LH ซึ่งหากราคาหุ้นปรับดีขึ้นตามการคาดการณ์  ก็จะเป็นโอกาสให้นักลงทุนได้ถือระยะยาวเพื่อทำกำไร เพราะจุดแข็งของทั้งสองหลักทรัพย์ นี้คือ ในพอร์ตสินค้ามีแนวราบที่แข็งแกร่ง ที่กำลังเป็นที่ต้องการในตลาด ส่งผลให้มีกำลังซื้ออยู่จริง และจากนโยบายการตลาดที่เน้นจับตลาดกลาง-บนในกลุ่มผู้บริโภคที่ยังมีกำลังในการจับจ่ายอยู่ ทำให้ทั้งสองหลักทรัพย์ยังสามารถที่จะจ่ายปันผลได้อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ

ที่มา:https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/928951