

































ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ช่วงฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์หลังยุคโควิด-19 ในปี 2567-2568 ผู้ซื้อชาวไทยมีโอกาสได้เห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านราคาที่อยู่อาศัย แนวโน้มการลงทุน และนโยบายภาครัฐที่เอื้อต่อการซื้อบ้านมากขึ้น บทความนี้ได้รวบรวมข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มตลาดอสังหาฯ ช่วงปี 2567-2568 พร้อมทั้งวิเคราะห์ประเภทอสังหาฯ ยอดนิยมในไทย (บ้าน, คอนโด, ที่ดิน, ทาวน์โฮม, วิลล่า) นอกจากนี้ยังเปรียบเทียบราคาเฉลี่ยของอสังหาฯ แต่ละประเภทในทำเลสำคัญ ได้แก่ กรุงเทพฯ, พัทยา, หัวหิน, เชียงใหม่, ภูเก็ต และเกาะสมุย พร้อมทั้งวิเคราะห์ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) และแนวโน้มราคาในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ปิดท้ายด้วยการสรุปค่าใช้จ่ายแฝงที่ผู้ซื้อควรรู้และคำแนะนำสำหรับทั้งผู้ซื้อบ้านอยู่อาศัยเองและนักลงทุนอสังหาฯ ในยุคปัจจุบัน
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วงปี 2567-2568 มีสัญญาณฟื้นตัวแต่ยังเผชิญความท้าทายหลายด้าน ด้านบวก ได้แก่ การท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคักหลังเปิดประเทศเต็มที่ ทำให้ความต้องการที่พักอาศัยในเมืองท่องเที่ยวเติบโตตาม โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมและวิลล่าในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ (เช่น ภูเก็ต, พัทยา, เชียงใหม่) ที่เริ่มเป็นที่สนใจของทั้งนักลงทุนและผู้ซื้อที่เป็นชาวต่างชาติมากขึ้น นอกจากนี้ รัฐบาลยังมี นโยบายใหม่อนุญาตให้ชาวต่างชาติซื้อบ้านในไทย ได้ (โดยต้องลงทุนไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาทในประเทศ) ซึ่งช่วยกระตุ้นดีมานด์ในตลาดบ้านและเปิดโอกาสระบายสต๊อกบ้านระดับราคาแพงให้ผู้ซื้อกลุ่มต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูงได้มากขึ้น อีกหนึ่งปัจจัยหนุนตลาดคือ มาตรการภาครัฐลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง สำหรับที่อยู่อาศัยราคาปานกลางลงมา (ปัจจุบันกำหนดที่ราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท) โดยปรับลดค่าธรรมเนียมโอนจากปกติ 2% เหลือ 0.01% และค่าจดจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% ในช่วงมาตรการ (ปี 2566-2567) ทำให้ผู้ซื้อประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้มาก ผู้ซื้อบ้านหลังแรกและกลุ่มเรียลดีมานด์จึงได้รับประโยชน์และตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
ด้านความท้าทาย, แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะฟื้นตัวแต่กำลังซื้อของคนไทยส่วนใหญ่ยังฟื้นตัวช้า ถูกกดดันจากค่าครองชีพและหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง บวกกับดอกเบี้ยเงินกู้ที่เพิ่มขึ้นทำให้การขอสินเชื่อบ้านเข้มงวดขึ้น ส่งผลให้การตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยบางส่วนยังชะลอตัวอยู่ ผู้พัฒนาโครงการเองก็ระมัดระวังในการเปิดตัวโครงการใหม่ เนื่องจากมีสต๊อกเหลือขายสะสมจากช่วงก่อนอยู่มาก ประกอบกับ ต้นทุนการก่อสร้างและราคาที่ดินปรับตัวสูงขึ้น อย่างต่อเนื่อง (ราคาประเมินที่ดินรอบใหม่ปี 2566 เพิ่มขึ้นเฉลี่ย ~8-9% และยังมีแนวโน้มขึ้นอีกปีละ 3-5%) ทำให้ราคาบ้านใหม่ปี 2567 ปรับสูงขึ้นประมาณ 5-10% เมื่อเทียบกับปีก่อน (ขึ้นอยู่กับทำเล) การเปิดตัวโครงการใหม่จึงเน้นหนักไปที่ เซ็กเมนต์กลาง-บน ที่จับลูกค้ามีกำลังซื้อสูง เพื่อรักษากำไรและลดความเสี่ยง สรุปแล้วตลาดที่อยู่อาศัยปี 2567 คาดว่าจะยัง หดตัวเล็กน้อย ในแง่จำนวนหน่วยขายและโอนกรรมสิทธิ์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่สถานการณ์จะค่อยๆ ดีขึ้นในปี 2568 ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ (คาด GDP ไทยปี 2568 โต ~3%) และอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มทรงตัวหรือปรับลดลงเล็กน้อย
เทรนด์สำคัญ ที่เห็นได้ชัดในช่วงนี้คือความต้องการที่อยู่อาศัยในทำเลใกล้แนวรถไฟฟ้า และแหล่งงานในเมืองใหญ่ยังคงสูง ผู้เช่าหรือผู้ซื้อให้ความสำคัญกับความสะดวกในการเดินทาง โดยพบว่าในกรุงเทพฯ เขตศูนย์กลางธุรกิจหลายแห่งมีค่าเช่าและราคาปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ตลาดบ้านแนวราบ (บ้านเดี่ยว/ทาวน์โฮม) ในเขตชานเมืองยังได้รับความนิยมจากครอบครัวคนไทยที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น โดยราคาบ้านแนวราบมีแนวโน้มทรงตัวหรือปรับขึ้นเล็กน้อยตามต้นทุน ขณะเดียวกัน คอนโดมิเนียม โดยเฉพาะโครงการใหม่ในทำเลศักยภาพก็เริ่มกลับมามียอดขายดีขึ้น เนื่องจากได้แรงหนุนจากกำลังซื้อชาวต่างชาติที่กลับมา หลังการเปิดประเทศและค่าเงินบาทที่อยู่ในระดับที่น่าสนใจสำหรับต่างชาติ โดยรวมแล้วปี 2567-2568 ตลาดอสังหาฯ ไทยอยู่ในช่วงปรับสมดุล หลังจากซบเซาในช่วงโควิดและฟื้นตัวในบางส่วน แม้ยังไม่ร้อนแรงเต็มที่แต่ถือว่ามี สัญญาณบวก มากขึ้นในหลายเซ็กเมนต์
การเลือกประเภทอสังหาริมทรัพย์ให้เหมาะกับความต้องการเป็นสิ่งสำคัญ ผู้ซื้อควรทราบ ข้อดี-ข้อเสีย ของอสังหาฯ ประเภทหลักแต่ละแบบ ดังนี้
ตารางด้านล่างแสดงราคาเฉลี่ยโดยประมาณของอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่างๆ ในทำเลยอดนิยมของไทย ณ ปี 2567 เพื่อให้ผู้ซื้อเห็นภาพรวมและสามารถเปรียบเทียบความแตกต่างของราคาตามพื้นที่ได้อย่างชัดเจน:
|
ประเภทอสังหาฯ |
กรุงเทพฯ |
พัทยา |
หัวหิน |
เชียงใหม่ |
ภูเก็ต |
เกาะสมุย |
|
บ้านเดี่ยว (ล้านบาท/ยูนิต) |
10 |
6 |
5 |
4 |
8 |
5 |
|
คอนโดมิเนียม (ล้านบาท/ยูนิต) |
5 |
3 |
3 |
2 |
7 |
4 |
|
ทาวน์โฮม (ล้านบาท/ยูนิต) |
4 |
3 |
2.5 |
2 |
5 |
3 |
|
ที่ดินเปล่า (บาท/ตร.วา) |
100,000 |
50,000 |
20,000 |
15,000 |
80,000 |
30,000 |
|
วิลล่า (ล้านบาท/ยูนิต) |
30 |
15 |
10 |
8 |
28 |
25 |
หมายเหตุ: ราคาเป็นค่าประมาณจากข้อมูลตลาดปี 2566-2567 อาจแตกต่างขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้งเฉพาะและคุณภาพโครงการ (ล้านบาท = ล้านบาท, ตร.ว. = ตารางวา)
จากตารางจะเห็นได้ว่า กรุงเทพฯ และ ภูเก็ต เป็นทำเลที่มีระดับราคาที่อยู่อาศัยสูงที่สุดในแทบทุกประเภท เนื่องจากเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวตามลำดับ ขณะที่ เชียงใหม่ และ หัวหิน มีราคาค่อนข้างย่อมเยากว่าในหลายประเภทเพราะที่ดินและต้นทุนพัฒนาต่ำกว่า ส่วน พัทยา นั้นราคาคอนโดมิเนียมเฉลี่ยไม่สูงมากเมื่อเทียบกับกรุงเทพฯ/ภูเก็ต แต่มีช่วงราคากว้างตั้งแต่คอนโดราคาเอื้อมถึงไปจนถึงคอนโดไฮเอนด์ติดทะเล ในขณะที่ เกาะสมุย แม้เป็นตลาดขนาดเล็กแต่ราคาวิลล่าเฉลี่ยค่อนข้างสูงใกล้เคียงภูเก็ต สะท้อนความเป็นตลาดบ้านพักตากอากาศระดับหรูที่ได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติ
สำหรับผู้ที่มองหาการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเพื่อปล่อยเช่าหรือเก็งกำไรขายต่อ การประเมินผลตอบแทนและแนวโน้มราคาในอนาคตเป็นสิ่งสำคัญ ช่วง 3-5 ปีข้างหน้า (ประมาณปี 2568-2570) คาดว่าตลาดอสังหาฯ ไทยจะมีการเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว โดยแบ่งพิจารณาตามประเภทอสังหาฯ และทำเลดังนี้:
โดยสรุป ผลตอบแทนและการเติบโต ของอสังหาฯ ในอีก 3-5 ปีจะต่างกันไปตามประเภทและทำเล ผู้ลงทุนควรกระจายการลงทุนและเลือกทำเลที่มีปัจจัยสนับสนุนในอนาคต ทั้งแผนพัฒนาเมืองและแนวโน้มดีมานด์ เช่น เมืองท่องเที่ยวที่รัฐบาลส่งเสริม หรือตามแนวโครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆ ซึ่งจะเพิ่มมูลค่าให้ทรัพย์สินในระยะยาว
นอกเหนือจากภาพรวมทั่วประเทศ การพิจารณาลงทุนหรือซื้ออสังหาฯ ยังควรดูลักษณะเฉพาะของแต่ละทำเล เพราะแต่ละพื้นที่มีปัจจัยหนุนและความเสี่ยงต่างกัน ส่วนนี้จะเจาะลึกตลาดใน 6 ทำเลเป้าหมาย ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, พัทยา, หัวหิน, เชียงใหม่, ภูเก็ต และเกาะสมุย เพื่อให้เห็นแนวโน้มและโอกาสในแต่ละพื้นที่
กรุงเทพฯ เป็นตลาดที่อยู่อาศัยที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ โดยมีความต้องการจากคนไทยทุกระดับรายได้และชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงาน ในปี 2567 ตลาดกรุงเทพฯ ยังอยู่ในช่วงปรับตัว ผู้พัฒนาชะลอเปิดโครงการใหม่ในบางเซ็กเมนต์ที่ซัพพลายล้น เช่น คอนโดมิเนียมระดับกลาง-ล่าง ที่มีหน่วยเหลือขายอยู่มาก ขณะเดียวกันโครงการใหม่ที่เปิดตัวมักเป็นคอนโดหรือบ้านจัดสรรระดับกลาง-บน เน้นทำเลใกล้รถไฟฟ้า เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อและต้องการหลีกเลี่ยงรถติด สำหรับราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ช่วงปี 2566-2567 ปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 5-10% ในทำเลใจกลางและแนวรถไฟฟ้า เนื่องจากที่ดินหายากและต้นทุนสูง บ้านเดี่ยวในกรุงเทพฯ มีราคาเฉลี่ยสูง (~10 ล้านบาทขึ้นไป) เพราะส่วนใหญ่ตั้งอยู่ชานเมืองหรือโครงการหรู ส่วน คอนโดมิเนียม มีตั้งแต่ระดับล้านกว่าบาทสำหรับห้องสตูดิโอย่านชานเมือง ไปจนถึงหลายสิบล้านบาทสำหรับห้องชุดระดับลักชัวรีใจกลางเมือง ผลตอบแทนการเช่าคอนโดในกรุงเทพฯ เฉลี่ยประมาณ 4% ต่อปี โดยคอนโดย่านใจกลางธุรกิจ (CBD) ยังเป็นที่ต้องการเช่าของชาวต่างชาติที่มาทำงาน ทำให้ปล่อยเช่าง่ายกว่าโซนอื่น ด้านแนวโน้มใน 3-5 ปีกรุงเทพฯ ยังคงเป็น ทำเลที่แข็งแกร่ง มีปัจจัยบวกจากการขยายเส้นทางรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ (เช่น สายสีเหลือง ชมพู ส้ม) ที่จะเพิ่มมูลค่าให้พื้นที่รอบนอกเมืองมากขึ้น อีกทั้งการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ และศูนย์การค้าใหม่ในบางทำเล จะช่วยดึงดูดดีมานด์ที่อยู่อาศัยตามมา คำแนะนำสำหรับผู้ซื้อในกรุงเทพฯ คือ เลือกทำเลให้ตรงไลฟ์สไตล์และอนาคต เช่น ใกล้ที่ทำงานหรือโรงเรียนลูก รวมถึงตรวจสอบแผนพัฒนาเมืองว่ามีโปรเจ็กต์อะไรที่จะมาสร้างมูลค่าเพิ่มในย่านนั้น และควรเตรียมงบให้พร้อมเผชิญกับราคาที่สูงเมื่อเทียบกับต่างจังหวัด
พัทยา เป็นเมืองท่องเที่ยวชายทะเลยอดนิยมและอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่รัฐบาลกำลังพัฒนา ทำให้ตลาดอสังหาฯ พัทยามีศักยภาพทั้งด้านการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรม ปี 2567 ตลาดพัทยากลับมาคึกคักอีกครั้งตามการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวระยะยาวและชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในโครงการ EEC มีรายงานว่าดีเวลลอปเปอร์บางรายเปิดตัว คอนโดมิเนียมโครงการใหม่มูลค่าหลายพันล้าน ในพัทยาช่วงปี 2567 ซึ่งนับเป็นการเปิดตัวคอนโดใหม่จำนวนยูนิตมากที่สุดในรอบ 5 ปีของพื้นที่นี้ สะท้อนความเชื่อมั่นว่าดีมานด์จะเพิ่มสูงขึ้น ราคาคอนโดพัทยาปัจจุบันมีความหลากหลายตั้งแต่ระดับ ล้านปลาย-สามล้านบาท สำหรับห้องขนาดเล็กนอกใจกลาง ไปจนถึง ห้องชุดติดทะเลราคามากกว่า 10-20 ล้าน ก็มี ซึ่งราคาเฉลี่ยยังต่ำกว่ากรุงเทพฯ ทำให้ชาวไทยบางส่วนสนใจซื้อคอนโดตากอากาศที่นี่ด้วย ด้าน บ้านจัดสรรและวิลล่าในพัทยา ก็ได้รับความนิยมในหมู่ต่างชาติ (โดยเฉพาะชาวจีนและรัสเซีย) ที่มองหาบ้านพักตากอากาศหรือบ้านหลังที่สองริมทะเล ผลตอบแทนการเช่าในพัทยาค่อนข้างน่าพอใจ - คอนโดปล่อยเช่ารายเดือนให้ชาวต่างชาติอยู่ที่ประมาณ 5% ต่อปี ขณะที่การปล่อยเช่าวิลล่ารายวันให้นักท่องเที่ยวอาจได้ผลตอบแทนมากกว่า 8% หากบริหารดี มองไปข้างหน้า 3-5 ปี พัทยาน่าจะเป็นทำเลที่ เติบโตโดดเด่น ด้วยปัจจัยสนับสนุนหลายด้าน ทั้ง โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ที่จะแล้วเสร็จในไม่กี่ปี และการขยายสนามบินอู่ตะเภาให้รองรับเที่ยวบินพาณิชย์มากขึ้น สิ่งเหล่านี้จะดึงทั้งนักลงทุนและผู้ซื้อไทย-เทศเข้ามา ดังนั้นราคาที่อยู่อาศัยในพัทยามีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนที่สนใจพัทยาควรรีบศึกษาทำเลย่านใหม่ๆ ที่มีโครงสร้างพื้นฐานหนุน (เช่น โซนใกล้มอเตอร์เวย์ หรือย่านวงศ์อมาตย์/นาจอมเทียนที่กำลังบูม) และเลือกซื้อโครงการจากผู้ประกอบการที่น่าเชื่อถือเพื่อความมั่นใจ
หัวหิน เป็นเมืองตากอากาศชายทะเลที่มีเสน่ห์และประวัติศาสตร์ยาวนาน ได้รับความนิยมทั้งจากนักท่องเที่ยวไทย (เป็นสถานที่พักผ่อนสุดสัปดาห์จากกรุงเทพฯ) และชาวต่างชาติที่เกษียณ/ทำงานทางไกล ปัจจุบันตลาดอสังหาฯ หัวหินมีขนาดไม่ใหญ่แต่ค่อนข้าง มีเสถียรภาพ ราคาที่อยู่อาศัยเฉลี่ยไม่สูงเกินเอื้อม - คอนโดมิเนียมติดทะเลมีราคาเริ่มต้นประมาณ 3-5 ล้านบาท ต่อยูนิต ซึ่งถูกกว่าทำเลพัทยาหรือภูเก็ต บ้านจัดสรรและวิลล่าในหัวหินก็มีหลายระดับตั้งแต่หลักไม่กี่ล้านในชานเมือง ไปจนถึงวิลล่าหรูติดชายหาดราคา สิบกว่าล้านบาท ผู้ซื้อหลักในหัวหินมีทั้งคนไทยที่ซื้อบ้านพักตากอากาศไว้ใช้เอง และชาวต่างชาติ (ยุโรป, สแกนดิเนเวีย เป็นต้น) ที่มาพำนักช่วงฤดูหนาวหรือหลังเกษียณ ผลตอบแทนการปล่อยเช่าในหัวหินไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับเมืองท่องเที่ยวอื่น - คอนโดปล่อยเช่าระยะยาวให้ชาวต่างชาติอาจได้เพียง 3-4% ต่อปี เนื่องจากจำนวน Expat ระยะยาวไม่มาก ส่วนการปล่อยเช่าระยะสั้น/รายวันในหัวหินมีข้อจำกัดเพราะนักท่องเที่ยวไทยนิยมพักโรงแรมมากกว่าเช่าคอนโด อย่างไรก็ตาม หัวหินก็ยังน่าสนใจในแง่ คุณภาพชีวิต และความสงบ ผู้ซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยเองหลังเกษียณมักเลือกที่นี่เพราะสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมและใกล้กรุงเทพฯ สำหรับแนวโน้มอนาคต หาก โครงการรถไฟทางคู่และมอเตอร์เวย์สายใหม่ มาถึงหัวหิน (แผนในอีก 5 ปี) จะทำให้การเดินทางสะดวกขึ้นและดึงดูดคนกรุงมาซื้อบ้านตากอากาศเพิ่ม คาดว่าราคาอสังหาฯ ในหัวหินจะขยับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปตามดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น โดยไม่มีการปรับพุ่งแรงๆ ซึ่งถือเป็นลักษณะของตลาดหัวหินที่เติบโตอย่างมั่นคงและไม่หวือหวา ผู้ที่สนใจลงทุนในหัวหินควรมองหาอสังหาฯ ใกล้ชายหาดหรือวิวทะเล เพราะสินทรัพย์เหล่านี้หายากและจะรักษามูลค่าได้ดีกว่าสินทรัพย์ในแผ่นดิน
เชียงใหม่ เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของภาคเหนือ มีทั้งมหาวิทยาลัยชั้นนำ แหล่งท่องเที่ยววัฒนธรรม และชุมชนชาวต่างชาติที่มาอยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง ตลาดอสังหาฯ เชียงใหม่มีความหลากหลาย ทั้งคอนโดมิเนียมใกล้มหาวิทยาลัย/ตัวเมืองสำหรับนักศึกษาและคนทำงานรุ่นใหม่ รวมถึงบ้านจัดสรรในเขตรอบนอกสำหรับคนท้องถิ่นที่ขยายตัว ช่วงหลายปีที่ผ่านมามีการสร้าง คอนโดมิเนียมใหม่ ในเชียงใหม่ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะย่านใกล้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และย่านนิมมานเหมินท์ เพื่อรองรับดีมานด์นักศึกษา ผู้ปกครอง และชาวจีนที่เข้ามาซื้อเพื่อพักผ่อน ทำให้บางช่วงเกิดภาวะอุปทานล้นตลาดและต้องใช้เวลาในการดูดซับ แต่ปัจจุบันสถานการณ์ดีขึ้นจากการที่ผู้ประกอบการชะลอโครงการใหม่ ราคาคอนโดเชียงใหม่เฉลี่ยอยู่ราว 1.5-3 ล้านบาท สำหรับห้องขนาดสตูดิโอ/1 ห้องนอน ส่วนบ้านจัดสรรชานเมืองขนาด 50 ตร.วา 3 ห้องนอน สามารถหาได้ในระดับ 3-5 ล้านบาท เท่านั้นซึ่งถือว่าคุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับกรุงเทพฯ ผลตอบแทนการเช่าคอนโดในเชียงใหม่อยู่ประมาณ 4-5% (หากเป็นคอนโดใกล้แหล่งท่องเที่ยวหรือมหาวิทยาลัยที่มีดีมานด์เช่าสูง) กลุ่มผู้เช่าต่างชาติอาจไม่มากเท่าภูเก็ต แต่ก็มีชาวจีนและชาวตะวันตกบางส่วนที่มาเช่าระยะยาวเพื่อทำงานทางไกลเพราะค่าครองชีพถูก ด้านแนวโน้มอนาคต เชียงใหม่มีโอกาสเติบโตขึ้นอีกในฐานะ เมืองท่องเที่ยวหลัก ที่รัฐบาลโปรโมทและอาจจะได้จัดอีเวนต์ระดับนานาชาติในอนาคต รวมถึงมีโอกาสที่โครงการโครงสร้างพื้นฐาน (เช่น รถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ในทศวรรษหน้า) จะเกิดขึ้น ทำให้ ราคาที่ดิน และอสังหาฯ ในเชียงใหม่มีแนวโน้มขาขึ้นต่อ ผู้ซื้อที่สนใจเชียงใหม่ควรเน้นทำเลในเมืองหรือใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก เช่น รอบคูเมือง, ย่านนิมมาน, โซนมหาวิทยาลัย เพราะอสังหาฯ ในย่านเหล่านี้ปล่อยเช่าง่ายและขายต่อก็ง่ายกว่าทำเลไกลเมือง
ภูเก็ต เป็นตลาดอสังหาฯ ที่มีสีสันที่สุดแห่งหนึ่งในไทย เพราะขับเคลื่อนด้วยดีมานด์จากชาวต่างชาติเป็นหลัก ภูเก็ตเป็นเกาะท่องเที่ยวระดับโลกที่ดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวระยะสั้นและผู้พำนักระยะยาว (เช่น ผู้เกษียณจากยุโรป, ผู้หลบหนีอากาศหนาวมาพักหลายเดือน) ทำให้ คอนโดมิเนียมและวิลล่าหรู ในภูเก็ตขายดีในกลุ่มต่างชาติ ปี 2567 ตลาดภูเก็ตฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากช่วงโควิด เห็นได้จากจำนวนโครงการใหม่โดยเฉพาะ พูลวิลล่า เพิ่มขึ้นมากกว่าปีก่อนหลายเท่าตัว บริษัทพัฒนาอสังหาฯ รายใหญ่เริ่มเข้ามาลงทุนในภูเก็ตมากขึ้น เช่น พัฒนาวิลล่าหรูบนเนินเขามองเห็นทะเล เพื่อตอบสนองความต้องการของต่างชาติที่อยากได้บ้านหลังที่สองที่นี่ ราคาขายเฉลี่ยของวิลล่าภูเก็ตอยู่ที่ราว 25-30 ล้านบาท/ยูนิต ส่วนคอนโดมิเนียมหรูติดทะเล 2-3 ห้องนอนมีราคาประมาณ 8-10 ล้านบาทขึ้นไป (ห้องชุดขนาดเล็กลงมาราคา 3-5 ล้านบาทก็มีในโซนที่ไม่ติดทะเล) ผลตอบแทนปล่อยเช่าในภูเก็ตถือว่าสูงที่สุดแห่งหนึ่ง - หากซื้อคอนโดหรือวิลล่าแล้วบริหารเป็นที่พักปล่อยเช่า Airbnb ให้นักท่องเที่ยว สามารถได้ผลตอบแทนสุทธิ 8%+/ปี สบายๆ ในภาวะปกติ เนื่องจากอัตราค่าเช่ารายวันของภูเก็ตสูงและมีฤดูกาลท่องเที่ยวยาวนานทั้งปี แนวโน้มอีก 3-5 ปีข้างหน้า ภูเก็ตยังมี อนาคตสดใส ทั้งจากการส่งเสริมของรัฐ (มีแนวคิดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษและศูนย์กลางการแพทย์ Wellness ที่นี่) และโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่าง สนามบินใหม่ฝั่งพังงา ที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพรองรับเที่ยวบินมากขึ้น รวมถึงแผนสร้างรถไฟฟ้ารางเบาภายในเกาะซึ่งอยู่ระหว่างศึกษา ทุกปัจจัยหนุนให้ราคาที่ดินและอสังหาฯ ภูเก็ตขยับขึ้นได้อีก ผู้ลงทุนควรจับตาดูทำเลใหม่ๆ เช่น โซนตอนเหนือของเกาะใกล้สนามบิน, พื้นที่หาดในยาง-ในทอน ที่กำลังมาแรง หรือโซนแหลมพันวาที่มีแผนพัฒนาใหม่ เพราะอาจเป็น ทำเลดาวรุ่ง สำหรับการลงทุนในอนาคต
เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นเกาะท่องเที่ยวอีกแห่งที่มีชื่อเสียงในหมู่ชาวต่างชาติ แม้ขนาดตลาดจะเล็กกว่าภูเก็ตมาก แต่ก็มีเอกลักษณ์และกลุ่มลูกค้าเฉพาะของตัวเอง สมุยดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบความสงบเป็นส่วนตัว และมีชาวต่างชาติระดับไฮเอนด์จำนวนไม่น้อยที่เลือกซื้อ พูลวิลล่า บนเกาะนี้เพื่อพักผ่อนหรือปล่อยเช่าให้ผู้มาเยือน วิลล่าบนสมุยหลายแห่งตั้งอยู่บนเนินเขาที่เห็นวิวทะเลแบบพาโนรามา ทำให้ราคาขายเฉลี่ยค่อนข้างสูง (ประมาณ 20-30 ล้านบาท ต่อยูนิตสำหรับวิลล่าวิวทะเลสวยๆ) ส่วนคอนโดมิเนียมในสมุยมีไม่มากและเป็นโครงการขนาดเล็ก ราคาเริ่มต้นประมาณ 2-4 ล้านบาท เท่านั้น เนื่องจากข้อจำกัดด้านความสูงอาคารและนโยบายการพัฒนาเกาะที่คุมเข้ม ผลตอบแทนการลงทุนในสมุยส่วนใหญ่มาจาก การปล่อยเช่าวิลล่ารายวัน/รายสัปดาห์ ให้กับกลุ่มครอบครัวและกลุ่มเพื่อนที่มาท่องเที่ยว ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีในช่วง High Season (ราว 6-8% ต่อปี เมื่อเฉลี่ยทั้งปี) แต่ธุรกิจวิลล่าเช่าก็ต้องพึ่งพาบริษัทบริหารมืออาชีพในพื้นที่เพื่อดูแลงานทำความสะอาด ซ่อมบำรุง และบริการลูกค้า ความเสี่ยงของการลงทุนบนสมุยคือความผันผวนตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเกาะซึ่งขึ้นอยู่กับเส้นทางคมนาคม (สมุยมาถึงได้ทางเครื่องบินหรือเรือเฟอร์รี่เท่านั้น) และสภาพเศรษฐกิจโลก แต่แนวโน้มโดยรวม 3-5 ปีข้างหน้าถือว่าน่าสนใจ เพราะหลังโควิดตลาดสมุยเริ่มกลับมาคึกคัก โรงแรมระดับหรูหลายแห่งเปิดใหม่ และสายการบินเพิ่มเที่ยวบินสู่สมุยมากขึ้น คาดว่าราคาที่ดินและอสังหาฯ บนเกาะจะค่อยๆ ขยับขึ้นตามลำดับ (ที่ดินบางแปลงริมทะเลปรับราคาสูงขึ้นอย่างมากเมื่อมีรีสอร์ทต่างชาติใหญ่ๆ เข้ามาซื้อ) ผู้สนใจลงทุนในสมุยควรเลือกทำเลที่มีวิวหรือจุดเด่นจริงๆ เพราะผู้เช่า/ผู้ซื้อระดับบนให้ความสำคัญกับโลเคชั่นมาก และควรเตรียมใจถือครองลงทุนระยะยาว ไม่หวังเก็งกำไรระยะสั้น เนื่องจากสภาพคล่องตลาดสมุยไม่สูง แต่หากถือระยะยาวมูลค่ามีแนวโน้มเติบโตดีตามทิศทางการท่องเที่ยว
การซื้ออสังหาริมทรัพย์นอกจากเงินดาวน์หรือราคาซื้อขายแล้ว ผู้ซื้อควรคำนึงถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นทั้งในวันโอนกรรมสิทธิ์และหลังจากเป็นเจ้าของทรัพย์สินแล้ว ค่าใช้จ่ายเหล่านี้อาจคิดเป็นเงินก้อนใหญ่หรือเป็นรายจ่ายต่อเนื่องที่ต้องบริหารจัดการให้ดี ตารางต่อไปนี้สรุป ค่าธรรมเนียม ภาษี และค่าใช้จ่ายแฝงหลักๆ ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อบ้าน/คอนโดในไทย:
|
รายการค่าใช้จ่าย |
อัตรา/จำนวนเงิน |
หมายเหตุ |
|
ค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ |
2% ของราคาประเมินทุนทรัพย์ (กรมที่ดิน) (ปัจจุบันมีมาตรการรัฐลดเหลือ 0.01% สำหรับบ้านราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท ถึงสิ้นปี 2567) |
จ่าย ณ กรมที่ดินตอนโอนกรรมสิทธิ์ |
|
ค่าจดจำนอง (กรณีกู้เงิน) |
1% ของวงเงินจำนองที่กู้ (ปัจจุบันมีมาตรการลดเหลือ 0.01% สำหรับบ้านราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท ถึงสิ้นปี 2567) |
จ่าย ณ กรมที่ดินตอนจดจำนอง (ถ้ามีการขอสินเชื่อกับธนาคาร); ผู้ซื้อเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนนี้ |
|
อากรแสตมป์ |
0.5% ของราคาซื้อขายหรือราคาประเมิน (เลือกค่าสูงกว่า) |
ภาษีอากรที่เกิดในการขายอสังหาฯ ผู้ขายเป็นผู้ชำระ แทนค่าภาษีธุรกิจเฉพาะ กรณีถือครองทรัพย์นั้นเกิน 5 ปีขึ้นไป และไม่มีการเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ |
|
ภาษีธุรกิจเฉพาะ |
3.3% ของราคาซื้อขายหรือราคาประเมิน (เลือกค่าสูงกว่า) |
ภาษีการขายอสังหาฯ ผู้ขายเป็นผู้ชำระ กรณีถือครองทรัพย์นั้นไม่ถึง 5 ปี หรือซื้อมาเพื่อค้า (เช่น บริษัทพัฒนาที่ดินขายทรัพย์จะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะแทนอากรแสตมป์) |
|
ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย |
ประมาณ 1-3% ของราคาประเมิน (คำนวณตามสูตรกรมที่ดิน ตามช่วงราคาประเมินและปีที่ถือครองทรัพย์) |
ภาษีหัก ณ ที่จ่ายเมื่อขายอสังหาฯ ผู้ขายเป็นผู้ชำระ ซึ่งคำนวณในลักษณะเดียวกับการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากราคาประเมินของทรัพย์นั้น โดยหักค่าใช้จ่ายตามปีที่ถือครอง |
|
ค่าส่วนกลาง |
ประมาณ 30-80 บาท/ตร.ม.ต่อเดือน (สำหรับคอนโดมิเนียม) หรือคิดเป็นรายปีตามตารางวาของที่ดินในหมู่บ้านจัดสรร |
ผู้ซื้อเป็นผู้รับผิดชอบจ่ายให้กับนิติบุคคลอาคารชุด/หมู่บ้าน เพื่อดูแลพื้นที่ส่วนกลาง โครงสร้างพื้นฐาน และความปลอดภัย ค่าส่วนกลางจะต่างกันไปตามประเภทและคุณภาพโครงการ (โครงการหรูมีค่าส่วนกลางสูงกว่า) |
|
เงินกองทุนส่วนกลาง (Sinking Fund) |
ประมาณ 500 บาท/ตร.ม. (ชำระครั้งเดียว) |
เรียกเก็บครั้งแรกจากผู้ซื้อคอนโดฯ หรือบ้านจัดสรร เพื่อเป็นทุนสำรองสำหรับการบำรุงรักษาใหญ่ในระยะยาว จ่ายให้โครงการ ณ วันโอนกรรมสิทธิ์ |
|
ค่าประกันมิเตอร์และติดตั้งสาธารณูปโภค |
หลักพันถึงหมื่นบาท ขึ้นกับผู้ให้บริการ |
ค่ามิเตอร์ไฟฟ้า, ค่าน้ำประปา ผู้ซื้อบ้านใหม่ต้องชำระเพื่อขอติดตั้งมิเตอร์ (คอนโดโครงการมักติดตั้งมาให้แล้ว ผู้ซื้ออาจมีเฉพาะค่าประกันมิเตอร์ที่โอนมาชื่อของตน) |
|
ค่าตรวจสอบบ้าน/คอนโดก่อนโอน |
ประมาณ 3,000-5,000 บาท (จ้างวิศวกร/ช่างตรวจบ้าน) |
ไม่บังคับแต่แนะนำให้ผู้ซื้อจ้างผู้เชี่ยวชาญตรวจความเรียบร้อยของบ้านหรือห้องชุดก่อนรับโอน จะได้ทราบปัญหาและให้ผู้ขายแก้ไขก่อนโอน |
|
ค่าจ้างทนาย/ที่ปรึกษากฎหมาย |
แตกต่างกันไป (เฉลี่ย ~1% ของราคาทรัพย์ หากจ้างดูแลครบวงจร) |
กรณีผู้ซื้อว่าจ้างทนายหรือตัวแทนมาช่วยตรวจสัญญาและดำเนินการโอน จะมีค่าใช้จ่ายส่วนนี้ (ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ หากผู้ซื้อดำเนินการเองทั้งหมดและมั่นใจ) |
|
ค่าธรรมเนียมนายหน้า (Agent Commission) |
3% ของราคาขาย (ไม่รวม VAT) |
ปกติผู้ขายเป็นผู้จ่ายค่านายหน้าให้บริษัทตัวแทนเมื่อขายทรัพย์ได้ แต่ผู้ซื้อควรทราบไว้ว่าค่านี้ถูกคิดรวมในต้นทุนแล้ว ผู้ซื้อไม่ต้องจ่าย ยกเว้นกรณีพิเศษที่ตกลงจ้างเอเจนต์ฝั่งผู้ซื้อเอง |
หมายเหตุ: ผู้ซื้อบ้านหลังแรกอาจได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีบางอย่างเพิ่มเติมตามมาตรการรัฐในแต่ละปี ควรตรวจสอบข้อมูลล่าสุดเสมอ
จากตารางข้างต้น จะเห็นว่าผู้ซื้อควรเตรียมงบประมาณไว้สำหรับค่าใช้จ่ายวันโอน เช่น ค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง (กรณีกู้เงิน) ซึ่งส่วนใหญ่จะเรียกเก็บเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าทรัพย์ นอกจากนี้ยังมี รายจ่ายต่อเนื่อง เมื่อเป็นเจ้าของแล้ว เช่น ค่าส่วนกลางและค่าบำรุงรักษาต่างๆ ที่ต้องจ่ายเพื่อรักษาสภาพและมูลค่าทรัพย์สินของเราเอง การวางแผนล่วงหน้าโดยรวมค่าใช้จ่ายเหล่านี้เข้าไปในการคำนวณความสามารถในการซื้อบ้านจะช่วยให้การเงินไม่สะดุดในภายหลัง
สุดท้ายนี้คือคำแนะนำสั้นๆ ที่เป็นประโยชน์สำหรับทั้ง ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยเอง และ นักลงทุนอสังหาฯ ในการตัดสินใจซื้อทรัพย์ช่วงปี 2567-2568 ซึ่งตลาดยังเปลี่ยนแปลงและมีโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอ
สรุป: ปี 2567-2568 นับเป็นช่วงเวลาที่น่าสนใจสำหรับทั้งผู้ซื้อบ้านและนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในไทย แม้ตลาดจะยังไม่เฟื่องฟูเต็มที่ แต่แนวโน้มต่างๆ บ่งชี้ถึง โอกาสการเติบโต ในหลายทำเลสำคัญ ไม่ว่าจะจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานใหม่ หรือแรงสนับสนุนจากภาครัฐ ผู้ซื้อชาวไทยควรใช้โอกาสนี้ในการศึกษาข้อมูล เปรียบเทียบตัวเลือก และวางแผนการเงินอย่างรอบคอบ เพื่อให้การตัดสินใจซื้ออสังหาฯ ในช่วงเวลานี้เกิดประโยชน์สูงสุด และเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตและพอร์ตการลงทุนในระยะยาวของตนเอง