ตัวกรอง
125 ผลลัพธ์
บันทึกการค้นหา
แผนที่

125 ยูนิต
13...5
แสดงผลลัพธ์ 1 - 30, หน้า 1 จากทั้งหมด 5 หน้า

คู่มือเช่าอพาร์ทเม้นท์ในภูเก็ต ปี 2568

    ภูเก็ตเป็นหนึ่งในจังหวัดที่ได้รับความนิยมสูงสุดสำหรับการอยู่อาศัยและทำงานของคนไทยในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในปี 2568 ที่ตลาดเช่าที่พักอาศัยในภูเก็ตมีความคึกคักเป็นพิเศษ ภูเก็ตมีชื่อเสียงระดับโลกในฐานะเมืองท่องเที่ยวที่งดงาม มีชายหาดสวยระดับโลกและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทำให้ทั้งคนไทยจากจังหวัดอื่นและชาวต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาพำนักระยะยาวที่นี่ ความต้องการเช่าที่อยู่อาศัย ในพื้นที่จึงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และเจ้าของที่พักในภูเก็ตก็ปรับตัวรองรับดีมานด์นี้ ด้วยการเสนอห้องพักและอพาร์ทเม้นท์หลากหลายระดับ ตั้งแต่ห้องเช่าราคาย่อมเยาไปจนถึงคอนโดมิเนียมหรูหราพร้อมวิวทะเล

    บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นคู่มือสำหรับผู้เช่าชาวไทยที่กำลังมองหาอพาร์ทเม้นท์หรือห้องพักให้เช่าในจังหวัดภูเก็ต เนื้อหาครอบคลุมข้อมูลสำคัญที่ควรรู้ตั้งแต่ภาพรวมตลาดเช่าที่อยู่อาศัยในภูเก็ตปี 2568 แนวโน้มราคาและความต้องการ ไปจนถึงรายละเอียดเกี่ยวกับประเภทของอพาร์ทเม้นท์ที่มีให้เลือกในภูเก็ต ทำเลที่นิยม พร้อมเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของแต่ละย่าน นอกจากนี้ยังอธิบายถึงค่าใช้จ่ายในการเช่าและค่าบริการต่าง ๆ ขั้นตอนการค้นหาห้องเช่าและการทำสัญญาเช่า ตลอดจนข้อควรระวังก่อนเซ็นสัญญา รวมถึงสิทธิและหน้าที่ของผู้เช่าตามกฎหมายไทย สุดท้ายยังรวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเช่าอพาร์ทเม้นท์ในภูเก็ตพร้อมคำตอบที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้เช่ามือใหม่

    ด้วยข้อมูลและคำแนะนำเหล่านี้ ผู้อ่านจะมีความพร้อมในการค้นหาที่พักอาศัยในภูเก็ตที่ตรงใจ สามารถวางแผนงบประมาณได้อย่างเหมาะสม และดำเนินการเช่าอพาร์ทเม้นท์ได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัย และราบรื่น

ภาพรวมตลาดเช่าอพาร์ทเม้นท์ในภูเก็ต ปี 2568

    ตลาดเช่าที่พักอาศัยในภูเก็ตปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า หลังจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในช่วงปี 2566–2567 ความต้องการที่อยู่อาศัยให้เช่าบนเกาะภูเก็ตยังคงอยู่ในระดับสูง ปัจจัยสนับสนุนมาจากทั้งการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคัก การลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ และการย้ายถิ่นของแรงงานฝีมือเข้ามาในจังหวัดนี้ ในปี 2568 แม้ว่าการเติบโตอาจไม่พุ่งสูงแบบก้าวกระโดดดังเช่นช่วงปีแรกหลังโควิด-19 แต่ก็ยังถือว่าแข็งแกร่งสวนกระแสประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มทำเลท่องเที่ยวสำคัญ

    จากข้อมูลภาพรวมพบว่า อุปสงค์ (ความต้องการ) และอุปทาน (จำนวนห้องเช่าที่มี) ในภูเก็ตปรับตัวสูงขึ้นทั่วทั้งเกาะ พื้นที่ที่มีความเคลื่อนไหวโดดเด่น ได้แก่ อำเภอถลาง (โซนลากูน่า-บางเทา-สุรินทร์) ซึ่งเป็นทำเลยอดนิยมของชาวต่างชาติ มีอสังหาฯ เพื่อเช่าจำนวนมาก และอำเภอเมืองภูเก็ต (ตัวเมือง) ซึ่งเป็นศูนย์รวมการค้าธุรกิจและชุมชนคนท้องถิ่น ในขณะที่อำเภอกะทู้ (รวมป่าตอง กะรน กมลา) ก็มีความต้องการเช่าสูงโดยเฉพาะจากกลุ่มพนักงานภาคการท่องเที่ยว

    ระดับราคาเช่า ในภูเก็ตมีความหลากหลายและแตกต่างกันไปตามทำเลและประเภทที่พัก หากพิจารณาเฉพาะตลาดเช่าที่อยู่อาศัยโดยรวม (รวมทั้งบ้าน วิลล่า คอนโด และอพาร์ทเม้นท์ทุกระดับ) จะพบว่าค่าเช่าเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับหลายจังหวัด เนื่องจากมีส่วนผสมของที่พักหรูและวิลล่าสำหรับชาวต่างชาติ ตัวอย่างเช่น ในช่วงปี 2566 ที่ผ่านมา ค่าเช่าเฉลี่ยของอสังหาฯ ให้เช่าในภูเก็ตเคยอยู่ที่ประมาณ 37,000–40,000 บาท/เดือน และมีช่วงพีคของตลาดที่ค่าเช่าเฉลี่ยพุ่งสูงไปถึงกว่า 60,000 บาท/เดือน อันเป็นผลจากการกลับมาของนักลงทุนและผู้เช่าต่างชาติกลุ่มหรู อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเหล่านี้ถูกถ่วงโดยที่พักระดับไฮเอนด์ สำหรับตลาดอพาร์ทเม้นท์ทั่วไปที่ผู้เช่าคนไทยนิยม ค่าเช่าจะต่ำกว่ามาก โดยทั่วไปมีตั้งแต่หลักพันกลาง ๆ ถึงหลักหมื่นต้น ๆ ต่อเดือน (จะกล่าวถึงรายละเอียดในหัวข้อทำเลยอดนิยมและค่าเช่า)

    แนวโน้มปี 2568–2569 คาดว่าตลาดเช่าที่พักในภูเก็ตจะยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้นต่อไป ความต้องการเช่าระยะยาวยังได้แรงหนุนจากกลุ่มชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานระยะไกล (Digital Nomads) กลุ่มผู้เกษียณจากต่างประเทศที่เลือกภูเก็ตเป็นบ้านหลังที่สอง รวมถึงคนไทยที่ย้ายมาทำงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้เจ้าของอสังหาฯ หลายรายหันมาปล่อยเช่าระยะยาวมากขึ้นแทนการขาย ทั้งนี้ ฤดูกาลท่องเที่ยว ยังคงมีผลต่ออัตราค่าเช่าและโอกาสในการหาเช่า เช่น ในช่วงไฮซีซั่น (ปลายปีถึงต้นปี) ความต้องการเช่าบ้านและคอนโดริมชายหาดจะสูงเป็นพิเศษ เจ้าของบางรายอาจปรับขึ้นค่าเช่าหรือกันห้องไว้ปล่อยเช่าระยะสั้นเพื่อรับนักท่องเที่ยว ทำให้ผู้เช่าระยะยาวอาจต้องวางแผนล่วงหน้าในการหาห้องช่วงนี้ ส่วนช่วงโลว์ซีซั่น (กลางปีที่ฝนชุก) มักจะต่อรองค่าเช่าหรือหาโปรโมชั่นได้ง่ายกว่า

    โดยสรุป ตลาดเช่าอพาร์ทเม้นท์ในภูเก็ตปี 2568 มีความคึกคักและมีการแข่งขันพอสมควร ผู้เช่าคนไทยสามารถหาห้องเช่าได้หลายระดับราคาและคุณภาพ แต่ก็ควรติดตามแนวโน้มราคาและปรับกลยุทธ์ในการหาห้องตามฤดูกาล เช่น เลือกห้องเช่าในช่วงที่อุปทานสูงหรือเจรจาต่อรองกับผู้ให้เช่าในกรณีเช่าระยะยาว เป็นต้น การเตรียมข้อมูลและความเข้าใจภาพรวมตลาดจะช่วยให้ผู้เช่าสามารถวางแผนค่าใช้จ่ายและเลือกที่พักที่เหมาะสมได้ดียิ่งขึ้น

ลักษณะและประเภทของอพาร์ทเม้นท์ในภูเก็ต

    ที่พักอาศัยให้เช่าในภูเก็ตมีหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ห้องพักแบบธรรมดาราคาไม่แพงไปจนถึงคอนโดมิเนียมหรูหรา การทำความเข้าใจลักษณะและประเภทของอพาร์ทเม้นท์จะช่วยให้ผู้เช่าสามารถเลือกที่พักที่ตรงกับความต้องการและงบประมาณได้อย่างเหมาะสม โดยทั่วไปในภูเก็ตสามารถจำแนกที่พักให้เช่าออกได้ดังนี้:

  • อพาร์ทเม้นท์ (Apartment) – ในบริบทของไทย “อพาร์ทเม้นท์” มักหมายถึงอาคารพักอาศัยที่มีเจ้าของคนเดียว (หรือบริษัทเดียว) ปล่อยห้องพักให้เช่าทั้งอาคาร ผู้เช่าไม่มีกรรมสิทธิ์ในห้อง (ต่างจากคอนโด) ลักษณะของอพาร์ทเม้นท์ในภูเก็ตมีตั้งแต่อาคารขนาดเล็ก 2-3 ชั้นไปจนถึงอาคารขนาดกลาง 5-8 ชั้น บางแห่งไม่มีลิฟต์ (โดยเฉพาะอาคารเตี้ย) และบางแห่งที่สร้างใหม่หรือขนาดใหญ่จะมีลิฟต์และระบบรักษาความปลอดภัย ส่วนใหญ่จะมีห้องแบบสตูดิโอหรือ 1 ห้องนอน ขนาดห้องประมาณ 20–40 ตร.ม. สิ่งอำนวยความสะดวกในอพาร์ทเม้นท์ทั่วไปมักมีเฉพาะที่จำเป็น เช่น ที่จอดรถมอเตอร์ไซค์/รถยนต์ (จำนวนจำกัด), ระบบรักษาความปลอดภัยพื้นฐาน (กล้องวงจรปิด, ประตูคีย์การ์ด), แม่บ้านทำความสะอาดพื้นที่ส่วนกลาง, ตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญหรือเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ เป็นต้น จะไม่หรูหราเท่าคอนโดมิเนียม ห้องเช่าส่วนใหญ่ในอพาร์ทเม้นท์จะตกแต่งพร้อมอยู่ระดับหนึ่ง เช่น มีเตียง ตู้เสื้อผ้า เครื่องปรับอากาศ บางแห่งมีโต๊ะทำงานและตู้เย็น แต่บางแห่งปล่อยห้องเปล่าให้ผู้เช่าตกแต่งเอง ข้อดีของอพาร์ทเม้นท์คือ ค่าเช่ามักจะถูกกว่า เมื่อเทียบกับคอนโดในทำเลใกล้เคียงกัน และมีความยืดหยุ่นในการเช่า (หลายแห่งให้เช่าระยะสั้น 3–6 เดือนหรือรายเดือนโดยไม่ต้องทำสัญญา 1 ปี) ส่วนข้อจำกัดคือสิ่งอำนวยความสะดวกและความเป็นส่วนตัวจะน้อยกว่าคอนโด หอพักบางแห่งอาจมีกฎระเบียบเข้มงวด (เช่น ห้ามส่งเสียงดังหลังเวลาที่กำหนด หรือห้ามพาผู้เยี่ยมเข้ามาเกินเวลาที่กำหนด)

  • หอพัก (Dormitory/Hostel) – คำว่า “หอพัก” ในภูเก็ตมักหมายถึงที่พักให้เช่าในลักษณะคล้ายอพาร์ทเม้นท์แต่เน้นกลุ่มผู้เช่ารายได้จำกัด นักเรียน หรือนักศึกษาฝึกงาน ห้องพักประเภทนี้มักมีขนาดเล็กและราคาถูกที่สุด บางแห่งเป็นห้องน้ำรวม แต่โดยมากในตัวเมืองภูเก็ตและย่านอื่นจะเป็นห้องน้ำในตัวแล้ว หอพักอาจไม่มีเครื่องปรับอากาศ (ใช้พัดลม) เพื่อประหยัดค่าเช่า เฟอร์นิเจอร์มีขั้นต่ำ เช่น เตียงและตู้เสื้อผ้า ค่าเช่าหอพักในภูเก็ตอาจเริ่มต้นเพียงเดือนละ 2,500–4,000 บาทสำหรับห้องพัดลม หรือ 4,000–6,000 บาทสำหรับห้องแอร์ บางแห่งเรียกเก็บค่าไฟในอัตราคงที่ต่อหัว (เช่น คนละ 300 บาท/เดือน) หรือคิดค่าน้ำค่าไฟแบบเหมารวม เนื่องจากผู้เช่ามักเป็นนักเรียนหรือพนักงานรายได้ไม่สูง ข้อดีของหอพักคือประหยัดค่าใช้จ่ายและมักตั้งอยู่ใกล้สถานศึกษา/แหล่งงานที่กลุ่มผู้เช่าอยู่กันเป็นกลุ่ม (เช่น ใกล้มหาวิทยาลัย หรือใกล้เขตนิคม) แต่ข้อเสียคือสภาพอาคารอาจเก่าและแออัด ไม่มีความเป็นส่วนตัวมากนัก รวมถึงมาตรฐานความปลอดภัยอาจไม่สูงเท่าอพาร์ทเม้นท์หรือคอนโดที่ใหม่กว่า

  • แมนชั่น (Mansion) – ในบางพื้นที่ของไทย คำว่า “แมนชั่น” ใช้เรียกอาคารห้องเช่าที่ลักษณะคล้ายอพาร์ทเม้นท์ อาจเป็นคำทางการตลาดเพื่อให้ฟังดูหรูขึ้น แต่โดยการใช้งานแล้ว “แมนชั่น” ในภูเก็ตไม่ได้ต่างจากอพาร์ทเม้นท์เท่าใดนัก หลายแห่งเป็นตึก 4-5 ชั้น ไม่มีลิฟต์ มีห้องพักขนาด 25–30 ตร.ม. เฟอร์นิเจอร์พื้นฐาน ค่าเช่าใกล้เคียงกับอพาร์ทเม้นท์ทั่วไป บางคนเรียกหอพักใหญ่ ๆ ว่าแมนชั่นเพื่อสื่อว่ามีหลายห้อง จำนวนผู้เช่าเยอะ

  • คอนโดมิเนียม (Condominium) – ที่พักอีกประเภทหนึ่งที่มีให้เช่าแพร่หลายในภูเก็ตคือคอนโดมิเนียม โดยทั่วไปคอนโดคืออาคารที่ห้องชุดแต่ละห้องมีกรรมสิทธิ์แยกเป็นของเจ้าของรายย่อย เจ้าของเหล่านี้อาจปล่อยห้องของตนให้เช่ารายปีผ่านสัญญากับผู้เช่า คอนโดในภูเก็ตมักเป็นอาคารสูง 7–8 ชั้น (เพราะกฎหมายจำกัดความสูงอาคารในหลายพื้นที่ของภูเก็ต ไม่ค่อยมีตึกระฟ้า) และมักจะสร้างอยู่ในทำเลสำคัญ เช่น ใจกลางเมือง ใกล้ห้าง หรือย่านริมชายหาดยอดนิยม จุดเด่นของคอนโด คือมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันและทันสมัย เช่น สระว่ายน้ำ ฟิตเนส ซาวน่า สวนหย่อม พื้นที่ส่วนกลางสำหรับนั่งทำงาน ที่จอดรถรองรับผู้พักอาศัย ระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชม. และพนักงานนิติบุคคลดูแลอาคาร ห้องชุดคอนโดมักตกแต่งพร้อมอยู่แบบมีสไตล์ มีเครื่องใช้ไฟฟ้าครบ (แอร์ ทีวี ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น ครัวบิลต์อิน เป็นต้น) ค่าเช่าคอนโดจะสูงกว่าอพาร์ทเม้นท์ทั่วไป ในตัวเมืองคอนโดขนาดสตูดิโอ/1 ห้องนอนค่าเช่าอาจอยู่ที่ 8,000–15,000 บาท/เดือน ส่วนคอนโดติดทะเลหรือโครงการหรูในย่านบางเทา ป่าตอง อาจสูงถึง 20,000–40,000 บาท/เดือนขึ้นไป ข้อดีของการเช่าคอนโดคือคุณภาพชีวิตสูง ได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีและปลอดภัย เหมาะแก่การพักผ่อนหลังเลิกงาน อย่างไรก็ดี ข้อควรพิจารณาคือสัญญาเช่าคอนโดมักกำหนดระยะเวลา 1 ปี (ผู้ให้เช่าส่วนมากต้องการผู้เช่าที่อยู่ยาวเพื่อความคุ้มค่า) หากผู้เช่าต้องการเช่าสั้นกว่านั้นอาจมีตัวเลือกน้อยหรือโดนคิดค่าเช่าในอัตราสูงขึ้น นอกจากนี้ การเช่าคอนโดจะต้องปฏิบัติตามข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด เช่น เรื่องที่จอดรถ (บางที่ให้สิทธิ์จอดรถเพียง 1 คัน), กฎการใช้สระว่ายน้ำ/ฟิตเนส, การทิ้งขยะ, ความเงียบสงบ ฯลฯ

  • เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์/เซอร์วิสเรสซิเดนซ์ (Serviced Apartment/Residence) – คือที่พักให้เช่าที่มีการบริการแบบโรงแรมเข้ามาผสม เช่น มีพนักงานต้อนรับ, ทำความสะอาดห้องพักรายสัปดาห์, บริการซักรีด เป็นต้น เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์หลายแห่งในภูเก็ตถูกออกแบบมารองรับชาวต่างชาติที่พักระยะยาวหรือคนไทยที่ต้องการความสะดวกสบายแบบโรงแรม มีการตกแต่งระดับดี มีครัวและอุปกรณ์ครบ ค่าเช่ามักคิดรวมค่าน้ำไฟและบริการพื้นฐานไว้แล้ว ราคาเช่าจะสูงกว่าอพาร์ทเม้นท์ทั่วไปพอสมควร เช่น ห้องสตูดิโอในเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์อาจอยู่ที่ 15,000–25,000 บาท/เดือนขึ้นไป (ขึ้นกับทำเลและระดับการบริการ) แต่ข้อดีคือผู้เช่าแทบไม่ต้องจัดหาอะไรเอง ถือกระเป๋าเสื้อผ้าเข้าอยู่ได้เลย และได้รับบริการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เหมือนอยู่โรงแรม เหมาะกับผู้บริหารที่มาทำงานชั่วคราวหรือผู้ที่ต้องการที่พักระยะกลาง ๆ โดยไม่อยากเซ็นสัญญานานและไม่อยากยุ่งยากเรื่องดูแลห้องเอง

  • บ้านเช่าและวิลล่า (House/Villa for Rent) – แม้ไม่ใช่อพาร์ทเม้นท์ แต่ควรกล่าวถึงในบริบทของที่พักให้เช่าในภูเก็ตด้วย เผื่อผู้เช่าบางรายสนใจทางเลือกนี้ บ้านเช่าอาจเป็นบ้านเดี่ยวหรือทาวน์เฮาส์ที่เจ้าของปล่อยเช่าเป็นรายปี ส่วนวิลล่าคือบ้านเดี่ยวหลังใหญ่มีบริเวณ มักมีสระว่ายน้ำส่วนตัว เจาะกลุ่มลูกค้าระดับบนอย่างชาวต่างชาติ การเช่าบ้าน/วิลล่าเหมาะกับครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อนที่อยู่ด้วยกัน ต้องการพื้นที่ใช้สอยเยอะและความเป็นส่วนตัวสูง ในภูเก็ตมีบ้านให้เช่าทั้งในตัวเมือง (เช่น ทาวน์เฮาส์ 2 ชั้นสำหรับพนักงานออฟฟิศ) ค่าเช่าอาจอยู่ราว 10,000–20,000 บาท และมีบ้าน/วิลล่าตามแหล่งท่องเที่ยว (เช่น บ้านใกล้ทะเลที่ราไวย์ บางเทา) ค่าเช่าอาจสูงตั้งแต่ 30,000 บาทไปจนถึงหลักแสนบาทต่อเดือน ข้อดีคือพื้นที่กว้างขวาง เสมือนได้อยู่บ้านของตัวเอง แต่ก็มีข้อพึงระวังคือสัญญาเช่าบ้านส่วนใหญ่เป็นแบบรายปี ไม่มีผู้ดูแลส่วนกลาง ผู้เช่าอาจต้องดูแลเรื่องสวนหรือสระน้ำเอง (หรือจ้างคนมาดูแล) และต้องจ่ายค่าสาธารณูปโภคเองทั้งหมด เหมาะกับผู้เช่าที่พร้อมรับผิดชอบดูแลบ้านเสมือนเจ้าของบ้านจริง ๆ

สรุปประเภทที่พักในภูเก็ต: หากผู้เช่าเป็นคนไทยที่ย้ายมาใหม่ งบประมาณจำกัดและต้องการความยืดหยุ่น อพาร์ทเม้นท์หรือห้องเช่าในหอพักจะเป็นตัวเลือกที่ดีเพราะค่าเช่าถูกและไม่ต้องผูกมัดระยะยาว แต่หากต้องการคุณภาพชีวิตที่สูงขึ้นและอยู่ยาว การเช่าคอนโดมิเนียมในทำเลสะดวกก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ส่วนกลุ่มครอบครัวใหญ่หรือผู้ที่มาเป็นกลุ่ม การเช่าบ้านทั้งหลังอาจคุ้มค่ากว่า ทั้งนี้ ควรพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เช่น งบประมาณ, ความจำเป็นในการใช้สิ่งอำนวยความสะดวก, รูปแบบการใช้ชีวิต, และระยะเวลาที่จะพำนัก เพื่อเลือกประเภทที่พักที่เหมาะสมที่สุด

ทำเลยอดนิยมในการเช่าอพาร์ทเม้นท์ในภูเก็ต (พร้อมข้อดี-ข้อเสีย)

    จังหวัดภูเก็ตมีพื้นที่หลากหลาย แต่ละย่านก็มีลักษณะเฉพาะตัวทั้งทางภูมิศาสตร์ บรรยากาศการอยู่อาศัย และระดับค่าเช่า การเลือกทำเลที่พักจึงสำคัญมากเพราะส่งผลต่อความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันของผู้เช่าโดยตรง ด้านล่างนี้คือทำเลยอดนิยมสำหรับการเช่าที่พักในภูเก็ต พร้อมทั้งข้อดีข้อเสียและช่วงค่าเช่าโดยประมาณของแต่ละโซน เพื่อช่วยให้ผู้เช่าสามารถตัดสินใจเลือกทำเลที่ตรงกับความต้องการของตนเองได้ง่ายขึ้น

ตัวเมืองภูเก็ต (อำเภอเมือง)

ภาพรวม: โซนเมืองภูเก็ต คือบริเวณเขตเทศบาลนครภูเก็ตและพื้นที่รอบ ๆ ที่ถือเป็นย่านใจกลางเมือง ประกอบด้วยย่านตลาดใหญ่ ตลาดเหนือ ถนนรัษฎา ถนนเยาวราช ถ.ภูเก็ต ถ.มนตรี รวมถึงเขตชานเมืองใกล้เคียงอย่าง สามกอง, วิชิต, ฉลอง (บางส่วนของฉลองติดเมือง) พื้นที่นี้เป็นศูนย์รวมความเจริญของจังหวัด มีทั้งสถานที่ราชการ โรงพยาบาลขนาดใหญ่ ห้างสรรพสินค้า (เช่น เซ็นทรัลเฟสติวัล, โลตัส, บิ๊กซี), ตลาดสด ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร แหล่งบันเทิง และสถานศึกษาหลายแห่ง ความหนาแน่นของชุมชนสูง เป็นย่านที่คนท้องถิ่นอาศัยอยู่ดั้งเดิม ผสมกับคนต่างถิ่นที่ย้ายมาเพื่อทำงานราชการหรือธุรกิจในเมือง

ค่าเช่าและที่พัก: ในตัวเมืองจะมีตัวเลือกที่พักให้เช่ามากมาย ตั้งแต่ห้องพักในหอพักราคาประหยัดไปจนถึงคอนโดมิเนียมหรู โครงการใหม่ สำหรับห้องเช่า/อพาร์ทเม้นท์ธรรมดา ค่าเช่าเริ่มต้นประมาณ 3,000–7,000 บาท/เดือน (ได้แก่ห้องพัดลมหรือห้องแอร์ขนาดเล็กในหอพักหรือแมนชั่นเก่า) ส่วนห้องเช่าคุณภาพดีขึ้นมาหน่อยหรืออพาร์ทเม้นท์ตกแต่งครบมีแอร์ เฟอร์นิเจอร์ ในทำเลใจกลางเมืองอาจอยู่ในช่วง 5,000–10,000 บาท/เดือน หากเป็นคอนโดมิเนียมในเมือง ขนาด 1 ห้องนอน ค่าเช่าประมาณ 10,000–15,000 บาท/เดือน ขึ้นอยู่กับความใหม่ของโครงการและสิ่งอำนวยความสะดวก

ข้อดี: เมืองภูเก็ตมีความสะดวกครบครันในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า ตลาด ร้านอาหาร โรงพยาบาลเอกชนและรัฐบาล โรงเรียนและมหาวิทยาลัย (เช่น ม.ราชภัฏภูเก็ต) รวมถึงสำนักงานบริษัทต่าง ๆ การอาศัยในเมืองช่วยลดค่าเดินทางเพราะหลายอย่างอยู่ใกล้ในระยะเดินถึงหรือขับรถ/ขี่มอเตอร์ไซค์เพียงไม่กี่นาที ไลฟ์สไตล์ ในเมืองมีความหลากหลาย จะหาของกินง่ายทั้งกลางวันกลางคืน มีคาเฟ่ ร้านนั่งชิล ตลาดนัดกลางคืน เช่น หลาดใหญ่ (ถนนคนเดินวันอาทิตย์) และ ตลาดชิลวา สำหรับผู้ที่ไม่มีรถยนต์ส่วนตัว การอยู่ในเมืองจะได้เปรียบเพราะมีรถสองแถวมายังอำเภอรอบนอกและสนามบิน มีรถบัสภูเก็ตสมาร์ทบัสผ่านเส้นทางบางส่วน และมีบริการเรียกรถ (Grab) ครอบคลุมในเขตเมือง นอกจากนี้ ที่พักในเมืองมักจะไม่ประสบปัญหาไฟฟ้าหรือน้ำประปาขัดข้องบ่อยเท่าในชนบท (ระบบสาธารณูปโภคในเมืองค่อนข้างเสถียร) สำหรับผู้หญิงที่อยู่คนเดียว โซนตัวเมืองที่ติดถนนใหญ่จะมีคนพลุกพล่านและไฟสว่างช่วงกลางคืน ให้ความรู้สึกปลอดภัยกว่าอยู่ในตรอกลึก

ข้อเสีย: ข้อจำกัดของการอยู่ในเมืองภูเก็ตคือ ไม่มีชายหาด – ผู้ที่ชอบบรรยากาศติดทะเลจะไม่ได้สัมผัสทะเลจากในเมือง ต้องเดินทางประมาณ 15–20 กม.ไปยังหาดที่ใกล้ที่สุดอย่างป่าตองหรือกะตะ นอกจากนี้ ในเมืองอาจมีความหนาแน่นแออัด รถติดช่วงเวลาเร่งด่วนตามสี่แยกหลัก (เช่น แยกบางเหนียว, แยกเซ็นทรัล) เสียงรบกวนจากจราจรหรือชุมชนก็อาจมีบ้าง ขึ้นอยู่กับทำเลของที่พัก อีกทั้งพื้นที่กลางเมืองบางแห่งมีค่าครองชีพสูงกว่าต่างอำเภอ ร้านอาหารหรือคาเฟ่อาจมีราคาเทียบเท่ากรุงเทพฯ สิ่งสำคัญอีกอย่างคือที่พักบางแห่งในตัวเมืองไม่มีที่จอดรถยนต์เพียงพอ (โดยเฉพาะหอพัก/อพาร์ทเม้นท์เก่าที่ไม่ได้สร้างเผื่อรถยนต์หลายคัน) หากผู้เช่ามีรถยนต์ต้องตรวจสอบเรื่องที่จอดกับทางที่พักให้ดี

เหมาะกับใคร: ที่พักโซนตัวเมืองภูเก็ตเหมาะกับพนักงานออฟฟิศ ข้าราชการ ครูอาจารย์ นักศึกษา รวมถึงผู้ที่ต้องการความสะดวกในการเดินทางและการใช้ชีวิต ไม่เน้นบรรยากาศทะเลหรือความเงียบสงบมากนัก ผู้เช่าที่ไม่มีรถยนต์ส่วนตัวหรือไม่อยากขับรถไกล ๆ ก็ควรพิจารณาอยู่ในเมืองเพื่อความสะดวก

หาดป่าตอง–กะตะ–กะรน (โซนท่องเที่ยวชายฝั่งตะวันตก)

ภาพรวม: โซนป่าตอง–กะตะ–กะรน คือพื้นที่ริมชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของภูเก็ตที่มีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยว ประกอบด้วย หาดป่าตอง (อยู่ในอำเภอกะทู้) ซึ่งเป็นหาดที่คึกคักที่สุด มีถนนบางลาและแหล่งบันเทิงยามค่ำคืนชื่อดัง, หาดกะรน และ หาดกะตะ (อยู่ในอำเภอเมือง ภูเก็ตตอนใต้) ซึ่งบรรยากาศสงบกว่าป่าตองและนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งยุโรปและเอเชีย โซนนี้นับเป็นพื้นที่เศรษฐกิจหลักจากการท่องเที่ยวของภูเก็ต จึงเต็มไปด้วยโรงแรม รีสอร์ต ร้านอาหาร บาร์ สถานบันเทิง และร้านค้าต่าง ๆ ตลอดแนวชายหาด

ค่าเช่าและที่พัก: ด้วยความที่เป็นทำเลทองด้านท่องเที่ยว ราคาที่พักให้เช่าในโซนนี้จะสูงกว่าพื้นที่อื่น โดยเฉพาะหากอยู่ใกล้ชายหาดหรืออยู่ในย่านที่นักท่องเที่ยวพักกันมาก ๆ ห้องเช่าหรืออพาร์ทเม้นท์ในป่าตอง กะตะ กะรน ที่ไม่ได้ติดทะเลมากนัก (อยู่ห่างออกมาในซอยหรือเนินเขา) ค่าเช่าเริ่มต้นประมาณ 6,000–8,000 บาท/เดือน สำหรับห้องเล็กมีเฟอร์นิเจอร์พื้นฐาน ในอาคารเก่า แต่หากเป็นห้องพักในอพาร์ทเม้นท์/คอนโดสภาพดี หรือติดทะเลหน่อย ค่าเช่าอาจอยู่ในช่วง 10,000–18,000 บาท/เดือน ส่วนคอนโดมิเนียมหรู วิวทะเลแบบเต็มตาหรืออยู่ใกล้ชายหาดเดินถึงง่าย ค่าเช่าจะสูงมาก อาจเป็น 20,000–30,000 บาท/เดือนขึ้นไป (บางยูนิตหรูอาจถึง 50,000+ บาทขึ้นกับขนาดและวิว) อย่างไรก็ตาม ในโซนนี้ก็ยังพอมีหอพักหรือแมนชั่นราคาประหยัดหลงเหลืออยู่บ้างในตรอกลึกหรือขึ้นเขา คิดค่าเช่าเพียง 5–6 พันบาท แต่มักจะค่อนข้างเก่าและไม่มีแอร์ หรือไม่รวมค่าน้ำไฟ

ข้อดี: จุดเด่นที่สุดของการอยู่โซนนี้คือ ใกล้ทะเลและแหล่งท่องเที่ยว ผู้เช่าสามารถเดินไปชายหาดเพื่อพักผ่อนหรือออกกำลังกายตอนเช้าเย็นได้ง่าย (โดยเฉพาะผู้ที่อยู่กะตะ กะรนซึ่งหาดไม่พลุกพล่านมาก) วิวทิวทัศน์และสิ่งแวดล้อมมีความเป็นรีสอร์ตสูง อากาศดีและได้บรรยากาศพักผ่อนทุกวัน สำหรับคนที่ทำงานในธุรกิจท่องเที่ยว เช่น โรงแรม ร้านอาหาร บาร์ บริษัททัวร์ การอาศัยอยู่ใกล้ที่ทำงานในป่าตองหรือกะตะกะรนจะช่วยลดเวลาเดินทาง นอกจากนี้ย่านป่าตองมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบมากในตัวมันเอง ไม่แพ้ในเมือง เช่น มีห้างสรรพสินค้า (จังซีลอน, เซ็นทรัลป่าตอง), ร้านสะดวกซื้อทุกหัวมุม, โรงพยาบาลเอกชน (รพ.ป่าตอง), และร้านอาหารนานาชาติหลายเชื้อชาติ เรียกว่าอยู่โซนนี้ชีวิตไม่ขาดสีสัน ทั้งกลางวันและกลางคืน เหมาะกับคนที่ชื่นชอบไลฟ์สไตล์เมืองท่องเที่ยว ด้านสังคม โซนนี้มีชุมชนชาวต่างชาติอาศัยอยู่จำนวนมาก ผู้เช่าจะได้พบปะผู้คนหลากหลาย มีโอกาสฝึกภาษาและเปิดรับวัฒนธรรมนานาชาติ ร้านค้าและคนท้องถิ่นในพื้นที่ก็สื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี เนื่องจากคุ้นเคยกับนักท่องเที่ยว

ข้อเสีย: การอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวก็มาพร้อมกับข้อจำกัดบางประการ ค่าครองชีพในป่าตองและโซนชายหาดค่อนข้างสูง กว่าพื้นที่อื่น ร้านอาหารและสินค้าหลายอย่างคิดราคาแบบนักท่องเที่ยว (แพงกว่าปกติ) แม้แต่ของใช้ประจำวันถ้าซื้อตามซุปเปอร์มาร์เก็ตในป่าตองอาจราคาสูงกว่าซื้อในเมือง นอกจากนี้ ความสงบและความเป็นส่วนตัวจะน้อยกว่า ย่านนี้ในช่วงฤดูท่องเที่ยวจะคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว การจราจรหนาแน่น โดยเฉพาะป่าตองที่รถติดและหาที่จอดรถยาก หากผู้เช่ามีรถยนต์ส่วนตัว การอยู่โซนนี้อาจไม่สะดวกเพราะถนนแคบและที่จอดจำกัด (บางอพาร์ทเม้นท์ในป่าตองไม่มีที่จอดรถให้ผู้เช่าเลย ต้องเช่าที่จอดเอกชนหรือจอดข้างทาง) อีกทั้งเสียงจากสถานบันเทิง ผับ บาร์ อาจเล็ดลอดถึงที่พักได้ในเวลากลางคืน ถ้าอยู่ใกล้โซนบันเทิงอย่างบางลา ผู้เช่าที่ต้องการความสงบอาจรู้สึกรบกวนได้ ในส่วนของกะตะและกะรน แม้จะสงบกว่าแต่ก็ยังมีนักท่องเที่ยวและบาร์อยู่บ้างตอนกลางคืน แต่ปัญหารถติดน้อยกว่าป่าตอง สิ่งสำคัญอีกเรื่องคือการเดินทาง โซนนี้ห่างจากตัวเมืองภูเก็ตพอสมควร (ป่าตองข้ามเขาจากเมือง ~15 กม., กะตะ/กะรน ~20 กม.) ระบบขนส่งสาธารณะมีเฉพาะรถสองแถวและรถบัสนักท่องเที่ยวบางเส้นทาง ผู้เช่าส่วนใหญ่ต้องมีมอเตอร์ไซค์หรือรถยนต์ในการเดินทางเข้าเมืองหรือไปทำธุระนอกพื้นที่

เหมาะกับใคร: ทำเลป่าตอง-กะตะ-กะรนเหมาะกับคนที่ทำงานหรือดำเนินธุรกิจอยู่ในโซนท่องเที่ยวนี้โดยตรง เช่น พนักงานโรงแรม รีสอร์ต ร้านอาหาร บาร์ ร้านดำน้ำ สปา ฯลฯ รวมถึงคนที่ชื่นชอบชีวิตใกล้ทะเล ต้องการเดินเล่นชายหาดเป็นประจำ และไม่ติดปัญหากับความพลุกพล่านของนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ชาวต่างชาติหรือคนไทยที่ทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) แต่ต้องการใช้ชีวิตริมทะเลก็อาจเลือกเช่าอพาร์ทเม้นท์ในกะตะ/กะรนซึ่งสงบกว่าป่าตอง ส่วนผู้ที่มีครอบครัวและต้องการความสงบมาก ๆ อาจพิจารณาย่านนี้เฉพาะบางส่วน (เช่น โซนกะตะน้อยหรือเนินเขาที่ห่างจากย่านบาร์)

ฉลองและราไวย์ (ภูเก็ตตอนใต้)

ภาพรวม: ฉลอง และ ราไวย์ ตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดของเกาะภูเก็ต อยู่ในอำเภอเมืองแต่ห่างจากตัวเมืองหลักออกมาพอสมควร โซนนี้ไม่ได้เป็นแหล่งท่องเที่ยวคึกคักแบบป่าตอง แต่ก็มีชื่อเสียงในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบบรรยากาศเงียบสงบและชุมชนชาวต่างชาติระยะยาว ทั้งฉลองและราไวย์มีท่าเรือสำคัญ (ท่าเรืออ่าวฉลองและท่าเรือราไวย์) ซึ่งนักท่องเที่ยวใช้เป็นจุดออกเรือไปเกาะต่าง ๆ นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของสถานที่มีชื่อ เช่น วัดฉลอง (วัดไชยธาราราม), แหลมพรหมเทพ, หาดในหาน, หาดราไวย์ ซึ่งแม้หาดราไวย์จะไม่ใช่หาดเล่นน้ำยอดนิยม (เป็นหมู่บ้านประมง) แต่บรรยากาศท้องถิ่นเข้มข้น มีร้านอาหารทะเลและตลาดซีฟู้ด โซนราไวย์-ในหานมีชาวต่างชาติพำนักอยู่จำนวนมาก บ้างมาทำโยคะ มวยไทย หรือใช้ชีวิตเกษียณ ส่วนฉลองเป็นชุมชนขนาดใหญ่ มีร้านค้า ร้านอาหาร และซุปเปอร์มาร์เก็ตรองรับคนในพื้นที่

ค่าเช่าและที่พัก: ที่พักให้เช่าในย่านฉลองและราไวย์มีความหลากหลายตั้งแต่บ้านพักตากอากาศ วิลล่าหรู ไปจนถึงห้องเช่าเล็ก ๆ ราคาเฉลี่ยจะถูกกว่าโซนป่าตองเล็กน้อย เพราะไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวกระแสหลัก อย่างห้องเช่าหรืออพาร์ทเม้นท์ในฉลองสามารถหาได้ในช่วง 4,000–8,000 บาท/เดือน สำหรับห้องมาตรฐานมีแอร์ ไม่ไกลถนนใหญ่ ส่วนคอนโดมิเนียมหรืออพาร์ทเม้นท์ที่เน้นชาวต่างชาติ (มีสระว่ายน้ำ ฟิตเนส) ในโซนนี้ราคาจะประมาณ 10,000–18,000 บาท/เดือน ซึ่งให้พื้นที่ห้องกว้างขวางกว่าในเมืองหรือป่าตอง นอกจากนี้ บ้านเดี่ยวหรือทาวน์เฮาส์เล็ก ๆ ในละแวกนี้บางครั้งเจ้าของก็ปล่อยเช่าในเรท 15,000–25,000 บาท/เดือน (2-3 ห้องนอน มีที่จอดรถ) เหมาะกับอยู่เป็นครอบครัว โดยรวมแล้วโซนนี้มีตัวเลือกเยอะในระดับราคาปานกลาง เพราะชาวต่างชาติที่มาอยู่ยาวก็ชอบเช่าบ้านหรือห้องพักแถวนี้ ทำให้มี supply เพียงพอ

ข้อดี: ฉลองและราไวย์มีบรรยากาศผ่อนคลายและความเป็นชุมชนท้องถิ่นผสมกับนานาชาติ ผู้ที่อยู่ย่านนี้จะได้สัมผัสทั้งวิถีชีวิตคนภูเก็ต (เช่น ตลาดสด วัดไทย หมู่บ้านชาวประมง) และได้อยู่ร่วมกับสังคมชาวต่างชาติที่มาพำนักระยะยาว ทำให้พื้นที่มีร้านอาหารนานาชาติดี ๆ แต่ราคาไม่แพงซ่อนตัวอยู่หลายแห่ง รวมถึงร้านอาหารพื้นเมืองภูเก็ตอร่อย ๆ ในราคาย่อมเยา การจราจรและความสงบ โซนนี้รถไม่ติดเท่าเมืองหรือป่าตอง (ยกเว้นบางช่วงหน้าโรงเรียนหรือเทศกาล) ถนนหนทางไม่พลุกพล่านมาก ผู้ที่ขับรถยนต์ใช้ถนนสบายกว่า มีที่จอดรถหน้าบ้านหรือริมทางสะดวกกว่าย่านอื่น ผู้ที่ชอบกิจกรรมกลางแจ้งจะชื่นชอบย่านราไวย์-ในหาน เพราะมีสถานที่ให้วิ่งออกกำลัง ปั่นจักรยาน หรือไปชายหาดในหานที่สวยสงบ ค่าครองชีพโดยรวมถูกกว่า ในตัวเมืองหรือป่าตอง เช่น ค่าอาหาร ร้านค้าท้องถิ่น ทั้งนี้ฉลองมีห้างเทสโก้โลตัสใหญ่ 1 แห่ง ทำให้ซื้อของใช้สะดวก ส่วนตลาดสดฉลองมีชื่อเสียงเรื่องของทะเลสดราคาไม่แพง เมื่อเทียบข้อดีต่าง ๆ โซนนี้จึงเหมาะกับคนที่อยากหนีความวุ่นวายของเมืองมาอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ชิลและเป็นกันเองมากขึ้น

ข้อเสีย: ข้อจำกัดหลักของการอยู่ฉลอง/ราไวย์คือ ระยะทางที่ไกลจากตัวเมือง (ประมาณ 10–15 กม.จากตัวเมืองภูเก็ต) ผู้ที่ต้องเดินทางไปทำงานหรือทำธุระในเมืองบ่อย ๆ จะเสียเวลาเดินทางพอควร ถนนเส้นหลักเชื่อมเมืองภูเก็ตกับฉลอง (ถ.เจ้าฟ้า) แม้รถไม่ติดหนักแต่ก็ใช้เวลาขับ ~20-30 นาที นอกจากนี้ ระบบขนส่งสาธารณะมีจำกัด แทบไม่มีรถโดยสารประจำทางตรงไปย่านนี้ (มีเพียงรถสองแถวท้องถิ่นไม่กี่เที่ยวต่อวัน) ดังนั้นผู้พักอาศัยจำเป็นต้องมีพาหนะส่วนตัวจึงจะใช้ชีวิตได้คล่องตัว ข้อเสียอีกด้านคือ แม้บรรยากาศสงบแต่ว่า โอกาสในการหางานก็จำกัด ไปด้วย โซนนี้ไม่ได้มีสำนักงานหรือบริษัทมากนัก งานหลักจะเป็นภาคท่องเที่ยว (โรงแรม วิลล่า ร้านอาหาร) หรือกิจการเกี่ยวกับกีฬา/สุขภาพ (ค่ายมวย โยคะ) ถ้าผู้เช่าทำงานในตัวเมืองแล้วย้ายมาอยู่ฉลอง อาจรู้สึกการเดินทางไปทำงานลำบากขึ้นเล็กน้อย สำหรับด้านสิ่งแวดล้อม ช่วงหน้าฝนพื้นที่ราไวย์บางจุดอาจมีน้ำท่วมขังหรือถนนลื่นบนเนินเขา ต้องระมัดระวัง และเนื่องจากเป็นชุมชนที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อยกว่า ตกกลางคืนบางซอยค่อนข้างเปลี่ยว ไฟส่องสว่างน้อย ผู้หญิงที่อยู่คนเดียวควรเลือกที่พักที่มีระบบความปลอดภัยดีหรืออยู่ติดถนนใหญ่

เหมาะกับใคร: ทำเลฉลอง-ราไวย์เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบความสงบหรือวิถีชีวิตเรียบง่าย อยากอยู่ใกล้ทะเลแบบไม่จอแจ เช่น ฟรีแลนซ์ที่ทำงานได้จากที่บ้าน, ผู้เกษียณอายุ, ครอบครัวที่มีเด็กเล็ก (เพราะมีโรงเรียนนานาชาติชื่อดังในละแวกนี้หลายแห่ง เช่น โรงเรียนขจรเกียรติศึกษา, โรงเรียนนานาชาติภูเก็ต ISP ที่ฉลอง), รวมถึงพนักงาน/เจ้าของกิจการในพื้นที่ที่ทำงานไม่ต้องเข้าเมืองบ่อย ย่านนี้ยังเหมาะกับคนรักกีฬาและสุขภาพ ทั้งผู้ที่มาฝึกมวยไทย ฟิตเนส หรือใช้ชีวิต active เพราะมีกลุ่มกิจกรรมเหล่านี้เยอะในย่านราไวย์

โซนถลาง–เชิงทะเล–ลากูน่า (ภูเก็ตตอนเหนือฝั่งตะวันตก)

ภาพรวม: อำเภอถลาง คือพื้นที่ตอนเหนือของภูเก็ตซึ่งกินบริเวณกว้าง ไล่ตั้งแต่สนามบินนานาชาติภูเก็ต, หาดในยาง, ตัวอำเภอถลาง (เมืองเก่าถลาง) ไปจนถึงย่านเชิงทะเล, บางเทา, สุรินทร์ ซึ่งอยู่ติดชายฝั่งทะเลฝั่งตะวันตก โซนนี้ในปัจจุบันกลายเป็นย่านที่พักอาศัยสุดหรูและศูนย์รวมโครงการระดับลักชัวรี่ของภูเก็ต โดยเฉพาะบริเวณ ลากูน่า (Laguna Phuket) ในเชิงทะเล ซึ่งเป็นพื้นที่โครงการพัฒนาขนาดใหญ่ มีทั้งรีสอร์ต 5 ดาว สนามกอล์ฟ และคอนโดมิเนียมหรูหลายโครงการ นอกจากนี้หาดบางเทาและหาดสุรินทร์ก็เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติฐานะดีและ Expat ที่พำนักระยะยาว โซนนี้จึงเต็มไปด้วยวิลล่าหรู บ้านพักตากอากาศราคาแพง ร้านอาหารและคาเฟ่สไตล์ตะวันตก ซูเปอร์มาร์เก็ตสินค้าเข้า (สำหรับต่างชาติ) เช่น Villa Market, Porto de Phuket, Boat Avenue ซึ่งตอบโจทย์วิถีชีวิตระดับไฮเอนด์ ขณะเดียวกันพื้นที่บางส่วนของถลาง (ไม่ติดทะเล) ก็ยังเป็นชุมชนดั้งเดิม คนท้องถิ่นอาศัยอยู่ บรรยากาศเงียบสงบชนบท

ค่าเช่าและที่พัก: โซนนี้ขึ้นชื่อว่ามีค่าเช่าแพงที่สุดในภูเก็ตโดยเฉพาะพื้นที่ใกล้ชายหาดและโครงการลากูน่า ห้องเช่าหรืออพาร์ทเม้นท์ทั่วไปมีไม่มาก ส่วนใหญ่ที่มีจะเป็นคอนโดมิเนียมหรูหรือวิลล่ามากกว่า หากมองหาอพาร์ทเม้นท์ธรรมดาสำหรับคนทำงานท้องถิ่น จะพบในตัวอำเภอถลาง (บริเวณใกล้ถนนเทพกระษัตรี) มากกว่า โดยราคาจะประมาณ 5,000–8,000 บาท/เดือน สำหรับห้องพักมีแอร์ในตัวอาคารเรียบง่าย ถ้าเป็นโซนเชิงทะเล-บางเทา ห้องเช่าราคาต่ำหมื่นหาได้ยาก ที่พบเห็นมักจะเป็นห้องเช่าในบ้านหรือทาวน์โฮมดัดแปลง โดยส่วนใหญ่ค่าเช่าในโซนนี้สำหรับห้องพัก/คอนโดจะเริ่มต้นที่ราว 10,000 บาท/เดือน เป็นอย่างต่ำ (สำหรับสตูดิโอหรือ 1 ห้องนอนที่อยู่ห่างชายหาด) และไต่ระดับไปจนถึง 20,000–30,000 บาท/เดือน สำหรับคอนโดตกแต่งครบใกล้ทะเลและโครงการลากูน่า ส่วนบ้านเช่าและวิลล่าในแถบนี้ราคาอาจอยู่ที่ 30,000–100,000 บาท/เดือน ขึ้นกับขนาดและทำเล (เช่น วิลล่าหรู 3-4 ห้องนอนพร้อมสระว่ายน้ำในลากูน่า บางหลังค่าเช่าเป็นแสนต่อเดือน) โดยสรุป โซนถลาง-บางเทาเป็นพื้นที่ที่ ตลาดเช่าระดับบนโดดเด่นมาก ผู้เช่าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติหรือคนไทยฐานะดี

ข้อดี: ข้อดีของการอยู่ในย่านนี้คือ คุณภาพชีวิตสูงและสภาพแวดล้อมดีมาก ทั้งด้านธรรมชาติและสิ่งอำนวยความสะดวก โซนบางเทา-สุรินทร์มีหาดทรายขาวสะอาด น้ำทะเลสวยงาม บรรยากาศเงียบสงบกว่าหาดป่าตอง เหมาะแก่การพักผ่อนระยะยาว อีกทั้งพื้นที่ลากูน่าเองก็มีความเป็นส่วนตัวสูง ปลอดภัย มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดูแลทางเข้าออกโครงการต่าง ๆ ผู้พักอาศัยจึงรู้สึกอุ่นใจ สังคมผู้เช่าในย่านนี้ส่วนใหญ่เป็นต่างชาติระดับผู้บริหาร นักลงทุน หรือผู้ประกอบการ ทำให้ย่านนี้มีชุมชน Expat ที่เข้มแข็ง มีกิจกรรมสังคมเช่น ตลาดนัดของชุมชนชาวต่างชาติใน Boat Avenue, คลาสออกกำลังกาย โยคะ กอล์ฟ ฯลฯ ตลอดจนร้านอาหาร คาเฟ่ เบเกอรี่เกรดพรีเมียมหลายแห่ง การอยู่ที่นี่จะสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการระดับสากลได้ง่าย เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ตที่นำเข้าอาหารต่างประเทศ, โรงเรียนนานาชาติคุณภาพสูง (ย่านนี้มี British International School และ UWC Thailand อยู่ไม่ไกล), โรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ (เช่น รพ.กรุงเทพ สาขาถลาง) ความสงบเป็นส่วนตัว เป็นจุดขายสำคัญ เหมาะกับผู้ที่ต้องการหลีกหนีความวุ่นวาย เป็นย่านที่ชีวิตดำเนินไปช้ากว่าในเมือง เละเต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียว สนามกอล์ฟ ทะเลสาบ ขณะเดียวกันก็อยู่ไม่ไกลจากสนามบิน (สะดวกมากสำหรับคนที่เดินทางบ่อย)

ข้อเสีย: แน่นอนว่าข้อเสียหลักของโซนนี้คือ ค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าปกติ แทบทุกด้าน ไม่ว่าจะค่าเช่าที่อยู่อาศัยเองที่สูงกว่าพื้นที่อื่น หรือค่าของกินของใช้รายวันที่ซื้อในซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านรวงโครงการลากูน่าที่มุ่งกลุ่มลูกค้าระดับบน (เช่น ผักผลไม้นำเข้า, เนื้อสัตว์คุณภาพเยี่ยม) ซึ่งราคาสูงกว่าตลาดทั่วไปมาก ผู้เช่าที่อยู่ย่านนี้ต้องวางแผนการเงินดี ๆ นอกจากนี้ ที่พักราคาประหยัดมีน้อย ทำให้ผู้ที่มีงบจำกัดอาจไม่สามารถหาที่พักในโซนนี้ได้ง่าย อีกข้อหนึ่งคือ การเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองหรือโซนอื่นจะค่อนข้างไกล จากบางเทาไปตัวเมืองภูเก็ตประมาณ 20 กม. ต้องขับรถ 30-40 นาที ถนนบางช่วงเช่นบริเวณอนุสาวรีย์ท้าวเทพฯ ช่วงเช้า-เย็นอาจรถติดเนื่องจากคนใช้เส้นทางเข้าเมืองเยอะ ระบบขนส่งสาธารณะในย่านนี้ยังไม่แพร่หลายเช่นกัน ส่วนใหญ่มีเฉพาะรถแท็กซี่หรือรถสองแถวเที่ยวจำกัด ผู้เช่าแทบทุกคนต้องมีรถส่วนตัวเพื่อความสะดวก ข้อจำกัดอีกเรื่องคือ โซนนี้แม้สงบแต่ก็อาจ “เงียบเหงา” สำหรับบางคน โดยเฉพาะผู้เช่าอายุน้อยที่ชอบความคึกคักแบบในเมืองอาจรู้สึกว่าย่านนี้มีกิจกรรมยามค่ำคืนน้อย ร้านรวงปิดค่อนข้างเร็ว (ยกเว้นร้านบาร์บางแห่ง) ทำให้รู้สึกเหงาได้หากไม่มีสังคมเพื่อนฝูง

เหมาะกับใคร: โซนถลาง-เชิงทะเล-ลากูน่าเหมาะกับผู้เช่าที่มีรายได้หรือเงินสนับสนุนเพียงพอและให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตสูงสุด เช่น ผู้บริหารที่ย้ายมาทำงานในภูเก็ต, เจ้าของธุรกิจหรือ Startup ที่ต้องการบรรยากาศเงียบสงบสร้างสรรค์, ครอบครัวชาวต่างชาติ/คนไทยที่ส่งลูกเข้าโรงเรียนนานาชาติในบริเวณนี้, รวมถึงกลุ่มผู้เกษียณที่มีกำลังทรัพย์และอยากใช้บั้นปลายชีวิตท่ามกลางสิ่งแวดล้อมสวยงามพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบ นอกจากนี้ยังตอบโจทย์คนที่เดินทางบ่อย (เพราะใกล้สนามบิน) และนักกอล์ฟหรือผู้ชื่นชอบกีฬาทางน้ำ (มีกิจกรรมทางน้ำและสนามกีฬาในบริเวณนี้)

พื้นที่ใกล้สนามบิน (ไม้ขาว–ในยาง)

ภาพรวม: พื้นที่สุดท้ายที่น่าสนใจคือบริเวณ ไม้ขาว และ ในยาง ซึ่งอยู่ใกล้กับสนามบินภูเก็ต (ท่าอากาศยานภูเก็ต) ทางตอนเหนือสุดของเกาะ พื้นที่นี้ในอดีตเป็นชุมชนชนบท เงียบสงบ แต่ปัจจุบันเติบโตขึ้นมากเนื่องจากการขยายตัวของสนามบินและธุรกิจเกี่ยวข้อง ใกล้สนามบินมีนิคมอุตสาหกรรมขนาดย่อม (ท่าอากาศยานและคลังสินค้า) รวมถึงโรงแรมสำหรับผู้โดยสารทรานสิท ร้านค้า ร้านอาหารไว้บริการนักเดินทาง หาดในยางซึ่งตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติสิรินาถก็เป็นสถานที่พักผ่อนยอดนิยมของชาวภูเก็ตและคนที่มารอขึ้นเครื่องเพราะหาดสวยและสงบ ย่านที่อยู่อาศัยหลักจะอยู่ตามชุมชนไม้ขาว ถนนเข้าไปในซอยโรงแรมในยาง และละแวกตลาดสี่แยกสนามบิน

ค่าเช่าและที่พัก: ที่พักให้เช่าในโซนนี้ยังคงราคาไม่สูงมากเมื่อเทียบกับหลายพื้นที่ของภูเก็ต ส่วนใหญ่เป็นห้องเช่าและอพาร์ทเม้นท์ขนาดเล็กที่สร้างขึ้นรองรับพนักงานสนามบินและคนทำงานละแวกนั้น ค่าเช่าเริ่มต้นประมาณ 4,000–6,000 บาท/เดือน สำหรับห้องสตูดิโอมีเฟอร์นิเจอร์พื้นฐานและเครื่องปรับอากาศ บางแห่งอาจถูกกว่านี้ถ้าเป็นห้องพัดลมหรืออาคารเก่า ขณะที่หากเป็นอพาร์ทเม้นท์สร้างใหม่ สภาพดี หรืออยู่ติดถนนใหญ่ใกล้ตลาด ค่าเช่าอาจอยู่ในช่วง 7,000–10,000 บาท/เดือน ส่วนคอนโดมิเนียมหรือโครงการใหญ่มีค่อนข้างน้อยในย่านนี้ (โฟกัสไปทางบ้านจัดสรรมากกว่า) แต่มีวิลล่า/บ้านให้เช่าระยะยาวจำนวนหนึ่ง โดยบ้านเดี่ยว 2-3 ห้องนอนในโซนนี้อาจอยู่ที่ 15,000–25,000 บาท/เดือน ซึ่งถูกกว่าโซนบางเทาหรือเมือง

ข้อดี: พื้นที่ใกล้สนามบินนี้กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานครบ ไม่ว่าจะเป็นตลาดสดใหญ่ (ตลาดสี่แยกเทพกระษัตรี-สนามบิน), ร้านสะดวกซื้อ, ร้านอาหารท้องถิ่นรสชาติดีราคาย่อมเยา และคาเฟ่บรรยากาศสวยๆ เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีห้างเล็ก ๆ และคอมมูนิตี้มอลล์เกิดใหม่บ้างรองรับชุมชนคนทำงานแถวนั้น การจราจรในย่านนี้ไม่แออัด ถนนกว้างและรถน้อยกว่าย่านใต้ ทำให้ขับรถสะดวก ยิ่งไปกว่านั้นหากผู้เช่าทำงานในสนามบินหรือเกี่ยวข้อง การอาศัยอยู่ใกล้ที่ทำงานย่อมสะดวกมาก ลดเวลาเดินทางไปได้มาก (สนามบินอยู่ห่างจากตัวเมืองถึง ~30 กม. หากพักแถวเมืองจะต้องเผื่อเวลาเดินทางนานมาก) โซนนี้ยังมีธรรมชาติให้พักผ่อนหย่อนใจ เช่น หาดในยางที่สงบ คนไม่พลุกพล่านเหมือนหาดท่องเที่ยว สามารถวิ่งออกกำลังกายหรือปิกนิกได้ อีกทั้งอากาศโดยทั่วไปดี ไม่มีมลพิษมาก ผู้ที่ชอบความเงียบสบาย ๆ แต่ไม่โดดเดี่ยวเกินไปอาจพบว่าย่านนี้ตอบโจทย์ นอกจากนี้ค่าครองชีพในพื้นที่ก็ไม่สูง ร้านอาหารท้องถิ่นและตลาดขายของในราคาคนพื้นที่

ข้อเสีย: แม้จะสงบและถูก แต่โซนนี้ก็มีจุดด้อยบางประการ ประการแรกคือ ความห่างไกลจากศูนย์กลางเมือง เช่นเดียวกับโซนเหนืออื่น ๆ การจะเข้าไปทำธุระใหญ่ ๆ ในเมืองภูเก็ตต้องขับรถไกล (ประมาณ 30–40 นาที) ไม่มีรถโดยสารประจำทางที่สะดวก (ปัจจุบันมีรถบัสจากสนามบินเข้าตัวเมือง แต่เวลาจำกัดและไม่ได้ผ่านเข้าพื้นที่ชุมชนไม้ขาว) ดังนั้นชีวิตประจำวันจะถูกจำกัดในบริเวณใกล้เคียง ถ้าต้องการสิ่งใดที่ไม่มีในพื้นที่ก็ต้องเดินทางค่อนข้างไกล ประการต่อมาคือ ความเงียบและโอกาสสังคม ย่านนี้ตอนกลางคืนเงียบมาก กิจกรรมบันเทิงหรือสถานที่แฮงค์เอาต์แทบไม่มี คนที่ชอบชีวิตสนุกสนานอาจรู้สึกเบื่อได้ อีกทั้งการพบปะผู้คนใหม่ ๆ หรือชุมชนต่างชาติในละแวกนี้ยังไม่มากเท่าโซนอื่น (ส่วนใหญ่เป็นคนพื้นที่และคนทำงานสนามบิน) อีกเรื่องที่ควรระวังคือเรื่อง เสียงเครื่องบิน – เนื่องจากอยู่ใกล้สนามบินมาก บ้านหรือห้องที่อยู่ใต้เส้นทางขึ้นลงของเครื่องบินอาจมีเสียงดังรบกวนเป็นช่วง ๆ ในเวลากลางวัน (แต่โดยทั่วไปไม่ถี่เหมือนสนามบินในกรุง เพราะไฟลท์ไม่ได้ถี่มาก) ผู้เช่าควรลองสังเกตเสียงตอนดูห้อง

เหมาะกับใคร: ทำเลนี้เหมาะกับพนักงานสายการบินหรือพนักงานสนามบินอย่างยิ่ง รวมถึงคนที่ทำงานในธุรกิจโรงแรม/ร้านอาหารแถวในยาง-ไม้ขาว ที่ต้องการอยู่ใกล้ที่ทำงานเพื่อลดภาระการเดินทาง นอกจากนี้ยังอาจเหมาะกับผู้ที่อยากประหยัดค่าเช่าและไม่ต้องการชีวิตวุ่นวาย โซนนี้มีที่พักราคาถูกให้เลือกและบรรยากาศสงบ สำหรับนักท่องเที่ยวหรือคนที่เดินทางบ่อยไปต่างจังหวัด/ต่างประเทศ ย่านนี้ก็สะดวกเพราะแทบไม่ต้องกังวลเรื่องการไปสนามบิน (ใกล้บ้านมาก) อย่างไรก็ตาม ต้องเป็นผู้ที่ไม่ติดขัดกับความเงียบและไม่ต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกทันสมัยแบบในเมืองมากนัก

ค่าใช้จ่ายในการเช่าและค่าบริการที่เกี่ยวข้อง

    การวางแผนงบประมาณสำหรับการเช่าที่พักเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ผู้เช่าควรทราบว่าจะต้องเตรียมค่าใช้จ่ายส่วนใดบ้างในการเข้าอยู่อาศัย นอกจากค่าเช่ารายเดือน แล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องซึ่งอาจเกิดขึ้น ทั้งในช่วงทำสัญญาและระหว่างการพักอาศัย ในส่วนนี้เราจะแจกแจงค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ในการเช่าอพาร์ทเม้นท์หรือห้องพักในภูเก็ต เพื่อให้ผู้เช่าเตรียมตัวได้ถูกต้อง

เงินมัดจำและค่าเช่าล่วงหน้า

  • เงินประกันความเสียหาย (เงินมัดจำ): โดยทั่วไปผู้ให้เช่าจะเรียกเก็บเงินประกันหรือมัดจำเมื่อเริ่มทำสัญญา เพื่อคุ้มครองความเสียหายที่อาจเกิดกับห้องหรือเฟอร์นิเจอร์ จำนวนเงินประกันมาตรฐานคือ 2 เดือนของค่าเช่าเดือนละ (เช่น หากค่าเช่า 8,000 บาท/เดือน เงินประกันจะเป็น 16,000 บาท) อย่างไรก็ตาม ภายใต้กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคฉบับปัจจุบันสำหรับธุรกิจให้เช่าที่อยู่อาศัย กำหนดไว้ว่าผู้ให้เช่าที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจ (เช่น เจ้าของอพาร์ทเม้นท์ที่มีห้องให้เช่าเกิน 5 ห้องขึ้นไป) จะเรียกเก็บเงินประกันได้ ไม่เกิน 1 เดือนค่าเช่า เท่านั้น ซึ่งบางแห่งในภูเก็ตก็ปฏิบัติตามนี้ (เช่น เก็บมัดจำ 1 เดือน) แต่หลายแห่งยังคงยึดเกณฑ์ 2 เดือนอยู่ ผู้เช่าควรสอบถามล่วงหน้าและเตรียมเงินก้อนนี้ไว้ โดยเงินประกันนี้จะถูกเก็บไว้ตลอดสัญญา และจะคืนให้ผู้เช่าเมื่อย้ายออก หากไม่มีค่าเสียหายหรือค้างจ่าย (รายละเอียดการคืนอยู่ในสัญญา ควรอ่านให้ละเอียด)

  • ค่าเช่าล่วงหน้า: นอกจากเงินประกัน ผู้เช่าจะต้องชำระค่าเช่าของเดือนแรกล่วงหน้า ณ วันทำสัญญาหรือวันย้ายเข้า (ถือเป็นธรรมเนียม) ดังนั้น ค่าใช้จ่ายวันเซ็นสัญญา จะเท่ากับ เงินประกัน + ค่าเช่า 1 เดือน เช่น ถ้าห้องค่าเช่า 8,000 บาท ต้องจ่ายวันนั้น 8,000 + 16,000 = 24,000 บาท เป็นต้น สำหรับบางแห่งที่ใช้กฎใหม่ของ สคบ. เงินประกันอาจเก็บ 1 เดือน + ค่าเช่าล่วงหน้า 1 เดือน รวมเป็น 2 เดือนเท่านั้น

  • ค่ามัดจำเพื่อจองห้อง: ในกรณีที่ผู้เช่ายังไม่พร้อมย้ายเข้าแต่ต้องการจองห้องไว้ บางแห่งอาจเรียกเก็บ “ค่าจอง” หรือ “ค่ามัดจำการจอง” (มักเท่ากับค่าเช่า 1 เดือน) เพื่อยืนยันสิทธิ์การจองห้อง ซึ่งค่าจองนี้มักจะถูกนำไปโปะเป็นค่าเช่าล่วงหน้าเมื่อทำสัญญาจริง ควรขอหลักฐานการจ่ายเงินจองทุกครั้ง และตกลงเงื่อนไขให้ชัดเจนว่าเงินจองจะคืนหรือไม่ในกรณีที่ผู้เช่ายกเลิก (ส่วนใหญ่จะไม่คืนหากผู้เช่ายกเลิกการเช่าภายหลัง)

ค่าใช้จ่ายรายเดือนอื่น ๆ

  • ค่าสาธารณูปโภค (ไฟฟ้าและน้ำประปา): ผู้เช่าจะต้องรับผิดชอบจ่ายค่าไฟและค่าน้ำตามที่ตนใช้จริงทุกเดือน รูปแบบการเก็บเงินค่าสาธารณูปโภคขึ้นอยู่กับแต่ละที่พัก

    • ค่าไฟฟ้า: ถ้าเป็นหอพักหรืออพาร์ทเม้นท์ที่มิเตอร์รวม บ่อยครั้งผู้ให้เช่าจะคิดค่าไฟในอัตราเหมาเป็นต่อหน่วย (Unit) เช่น 7–8 บาทต่อหน่วย (ซึ่งสูงกว่าอัตราทั่วไปของการไฟฟ้าประมาณ 4 บาท/หน่วย เนื่องจากผู้ให้เช่าเผื่อรวมค่าดูแลระบบไฟฟ้า) แต่ตามกฎหมายใหม่มีข้อกำหนดว่าผู้ให้เช่าห้ามคิดค่าไฟเกินอัตราที่จ่ายจริง ดังนั้นอพาร์ทเม้นท์หลายแห่งจึงปรับมาคิดตามบิลการไฟฟ้าจริง + ค่าบริการเล็กน้อย หรือบางแห่งมีการแยกมิเตอร์ให้แต่ละห้องแล้วคิดตามจริงเลย ผู้เช่าควรถามให้แน่ชัดว่าอัตราค่าไฟคิดอย่างไร เพื่อคำนวณรายจ่ายได้ถูก บางคนชอบเปิดแอร์บ่อย หากเจอที่คิดค่าไฟแพงก็อาจมีบิลไฟเดือนละหลายพันได้

    • ค่าน้ำประปา: หลายอพาร์ทเม้นท์เลือกคิดค่าน้ำแบบเหมาจ่ายเป็นรายหัวหรือรายห้อง เช่น ห้องละ 100–200 บาทต่อคนต่อเดือน (อาบน้ำซักผ้าตามปกติไม่จำกัดปริมาณ) หรือบางแห่งมีมิเตอร์น้ำแยกให้ห้อง คิดตามจริง (หน่วยละประมาณ 30–35 บาท ซึ่งแพงกว่าอัตราประปาปกติเล็กน้อย) โดยทั่วไปค่าน้ำไม่ใช่ภาระหนักมาก แต่ผู้เช่าก็ควรทราบรูปแบบการคิดไว้ล่วงหน้า

  • ค่าอินเทอร์เน็ต/โทรทัศน์: ที่พักหลายแห่งในภูเก็ตจะมีบริการอินเทอร์เน็ต Wi-Fi ให้ผู้อยู่อาศัย บ้างก็รวมอยู่ในค่าเช่า (ฟรีไวไฟ) แต่สัญญาณอาจมีหลายคนใช้งาน หากผู้เช่าต้องการความเสถียรอาจต้องติดตั้งอินเทอร์เน็ตส่วนตัว (Fiber) โดยประสานกับเจ้าของที่พัก ซึ่งค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและค่าบริการรายเดือนผู้เช่าต้องออกเอง นอกจากนี้ บางอาคารมีบริการเคเบิลทีวีภายใน (มีช่องทีวีดาวเทียมต่างประเทศ) อาจมีค่าบริการเพิ่มเล็กน้อย เช่น 300 บาท/เดือน หรือรวมไปในค่าส่วนกลาง ส่วนผู้ที่ติดตั้งจานดาวเทียมหรือกล่องทีวีของตนเองได้หรือไม่ ต้องสอบถามผู้ให้เช่าเป็นกรณีๆ (คอนโดมักไม่อนุญาตให้ติดตั้งจานเพิ่มเอง แต่มีระบบส่วนกลางให้)

  • ค่าบริการส่วนกลาง/ค่าส่วนกลาง (ในกรณีคอนโด): ถ้าผู้เช่าอยู่คอนโดมิเนียม ค่าส่วนกลางของอาคาร (เช่น ค่าดูแลสระว่ายน้ำ รปภ. ลิฟต์ สวน ฯลฯ) ตามปกติจะเป็นภาระของเจ้าของห้อง (ผู้ให้เช่า) ผู้เช่าไม่ต้องจ่ายเพิ่มเติมนอกจากค่าเช่าที่ตกลงกัน แต่ควรยืนยันเรื่องนี้ในสัญญาให้ชัดเจน บางกรณีหากค่าเช่าต่อเดือนต่ำ เจ้าของอาจระบุให้ผู้เช่าช่วยออกค่าส่วนกลางบางส่วน (ซึ่งในทางกฎหมายผู้เช่าไม่จำเป็นต้องจ่ายถ้าไม่ตกลง)

  • ค่าเก็บขยะ/ทำความสะอาด: เทศบาลในภูเก็ตมีบริการเก็บขยะโดยคิดเป็นรายเดือน (มักรวมอยู่ในภาษีโรงเรือน) ผู้เช่าไม่ต้องจ่ายเองโดยตรง แต่บางอพาร์ทเม้นท์/หอพักจะเก็บ “ค่าขยะ” เพิ่มเดือนละ 20–50 บาทต่อห้อง เพื่อเป็นค่าจัดเก็บขยะและทำความสะอาด รวมถึงการกำจัดแมลง หนู หรืออื่น ๆ ในอาคาร

  • ค่าที่จอดรถยนต์: อพาร์ทเม้นท์ส่วนใหญ่ให้จอดรถยนต์ได้ฟรีหากมีที่ว่าง แต่บางแห่งที่ที่จอดจำกัดมากอาจคิดค่าที่จอดรถเพิ่มต่างหาก (เช่น 500–1,000 บาทต่อเดือนต่อคัน) หรือใช้วิธีให้สิทธิจอดเฉพาะบางห้อง (มาก่อนได้ก่อน) ในขณะที่รถมอเตอร์ไซค์มักจอดฟรีไม่ค่อยมีปัญหา ผู้เช่าที่มีรถยนต์ควรสอบถามเรื่องนี้ล่วงหน้าก่อนทำสัญญา

  • ค่าบริการอื่น ๆ: เช่น ค่าฟิตเนส (ถ้าอพาร์ทเม้นท์มีฟิตเนสแล้วคิดค่าสมาชิก), ค่าซักผ้า (ถ้าใช้บริการซักรีดของที่พัก), ค่าน้ำดื่ม (ถ้ามีตู้น้ำหยอดเหรียญก็สะดวกถูก แต่ถ้าไม่มีผู้เช่าอาจต้องซื้อแบบถังหรือขวด) ค่าใช้จ่ายเหล่านี้แม้ไม่มากแต่ก็ควรคำนึงถึง

ค่าใช้จ่ายครั้งเดียวหรือกรณีพิเศษ

  • ค่าเซ็นสัญญา/ค่าอากรแสตมป์: โดยปกติการทำสัญญาเช่าจะต้องติดอากรแสตมป์เพื่อให้เอกสารมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย จำนวนอากรแสตมป์คิดเป็น 0.1% ของค่าเช่ารวมตลอดอายุสัญญา (เช่น สัญญา 1 ปี ค่าเช่าเดือนละ 10,000 บาท รวม 120,000 บาท ต้องติดอากรแสตมป์ 120 บาท) ค่าแสตมป์นี้แม้เล็กน้อยแต่ตามธรรมเนียมถือว่าผู้ให้เช่าเป็นฝ่ายจัดการ (เพราะสัญญาเช่าเป็นประโยชน์ต่อผู้ให้เช่า) ผู้เช่าไม่จำเป็นต้องจ่าย หากผู้ให้เช่าเรียกเก็บ ผู้เช่าสามารถต่อรองหรือสอบถามเหตุผลได้

  • ค่าโอนมิเตอร์น้ำ-ไฟ: ในกรณีเช่าบ้านหรือทาวน์เฮาส์ที่มิเตอร์น้ำไฟยังเป็นชื่อเจ้าของเดิม บางทีจะให้ผู้เช่าออกค่ามิเตอร์ใหม่/ค่ามัดจำมิเตอร์การไฟฟ้าเพื่อโอนชื่อ (เพื่อที่ผู้เช่าจะไปจ่ายบิลเอง) ค่าใช้จ่ายนี้อาจเกิดขึ้น (ไม่มากนัก หลักร้อยถึงพันบาท) แต่กรณีอพาร์ทเม้นท์/คอนโดส่วนใหญ่ไม่ต้อง เพราะผู้ให้เช่าจะรวมบิลมาเรียกเก็บ

  • ค่าทำบัตรผ่าน/กุญแจ/รีโมท: ที่พักบางแห่งโดยเฉพาะคอนโด จะมีกุญแจคีย์การ์ดหรือรีโมทสำหรับเข้าออกและใช้สิ่งอำนวยความสะดวก หากให้มา 1 ชุดฟรี ชุดต่อไปอาจต้องวางเงินประกันหรือจ่ายค่าทำบัตร (เช่น คีย์การ์ดใบละ 200–500 บาท, รีโมทประตูรั้ว 500–1,000 บาท) ส่วนนี้ควรถามให้ชัดว่ารวมในค่าประกันห้องหรือคิดแยก

  • ค่าปรับ/ค่าเสียหาย: หากผู้เช่าทำทรัพย์สินที่เช่าเสียหาย หรือทำผิดกฎ เช่น ทำห้องสกปรกมากเวลาย้ายออกจนเจ้าของต้องจ้างทำความสะอาดพิเศษ อาจมีการคิดค่าปรับหรือหักจากเงินประกัน ผู้เช่าควรทราบคร่าว ๆ ไว้ เช่น ทำกุญแจหายจ่ายค่าเปลี่ยนกุญแจเท่าไร, ทำเฟอร์นิเจอร์เป็นรอยคิดค่าปรับอย่างไร เป็นต้น

    เคล็ดลับการบริหารค่าใช้จ่าย: เมื่อรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่กล่าวมา ผู้เช่าควรประเมินว่าตนเองมีความสามารถในการจ่ายได้ทุกส่วนโดยไม่ตึงเครียด เกณฑ์ทั่วไปคือ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าที่พักทั้งหมด (ค่าเช่า + ค่าสาธารณูปโภค) ไม่ควรเกินประมาณ 30–40% ของรายได้ต่อเดือน เพื่อให้มีเงินพอสำหรับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ นอกจากนี้ ควรสำรองเงินไว้อีกส่วนหนึ่งสำหรับค่าใช้จ่ายก้อนแรกที่ต้องจ่ายตอนทำสัญญา (ซึ่งสูงกว่าค่าใช้จ่ายปกติเพราะรวมมัดจำ) ผู้เช่าบางคนอาจเจรจากับผู้ให้เช่าในการผ่อนจ่ายเงินประกันเป็น 2 งวดได้ในบางกรณี (แต่ไม่ใช่ทุกที่จะยอม) การอ่านสัญญาและสอบถามรายละเอียดค่าใช้จ่ายทุกเม็ดก่อนเซ็นสัญญาเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดและปัญหาการเงินในภายหลัง

ขั้นตอนการหาห้องเช่า การเตรียมเอกสาร และการทำสัญญา

    การหาห้องเช่าในภูเก็ตให้ได้ที่ถูกใจและคุ้มค่านั้น ผู้เช่าควรวางแผนและดำเนินการอย่างมีขั้นตอน นับตั้งแต่ช่วงค้นหาข้อมูล เตรียมเอกสาร จนถึงขั้นตอนการเจรจาทำสัญญา ส่วนนี้จะแนะนำ ขั้นตอนสำคัญเป็นลำดับ เพื่อช่วยให้ผู้อ่านดำเนินการได้อย่างเป็นระบบ ลดความผิดพลาดหรือการเสียโอกาส นอกจากนี้ยังแนะนำเอกสารที่ควรจัดเตรียม และวิธีตรวจสอบสัญญาเบื้องต้นก่อนลงนาม

ขั้นตอนการหาห้องเช่าในภูเก็ต

  1. กำหนดความต้องการและงบประมาณของตนเอง – ขั้นแรกผู้เช่าควรทำรายการความต้องการของตนเองออกมาก่อน เช่น ต้องการห้องแบบใด (สตูดิโอหรือมี 1 ห้องนอน), ต้องอยู่กี่คน, จำเป็นต้องมีที่จอดรถยนต์หรือไม่, ต้องการเฟอร์นิเจอร์ครบหรือจะเฟอร์นิเจอร์น้อยเพื่อจัดของเอง, รวมถึงเลือกทำเลคร่าว ๆ ที่อยากอยู่ (เช่น ในเมือง/ใกล้ที่ทำงาน/ใกล้ทะเล) ที่สำคัญคือตั้งงบประมาณค่าเช่ารายเดือนที่จ่ายไหว เช่น ไม่เกิน 10,000 บาท เป็นต้น การกำหนดกรอบเหล่านี้จะช่วยกรองตัวเลือกในขั้นต่อไปให้ตรงใจยิ่งขึ้น และป้องกันไม่ให้ใช้จ่ายเกินตัว

  2. ค้นหาห้องเช่าผ่านช่องทางต่าง ๆ – เมื่อรู้ความต้องการและงบแล้ว ให้เริ่มค้นหาห้องเช่าที่มีประกาศอยู่ สามารถใช้หลายช่องทางร่วมกันเพื่อเพิ่มโอกาสพบห้องที่ดี:

    • เว็บไซต์และแอปพลิเคชันหาที่พักออนไลน์: เช่น DDproperty, RentHub, Kaidee Property, บ้านเช่า.com, FazWaz, รวมถึงกลุ่ม Facebook ประกาศเช่าห้องในภูเก็ต คีย์เวิร์ดค้นหาเช่น “ห้องเช่าภูเก็ต”, “อพาร์ทเม้นท์ ภูเก็ต”, “rent condo Phuket” จะช่วยให้เจอประกาศจำนวนมาก พร้อมรายละเอียดและรูปถ่ายเบื้องต้น ผู้เช่าควรใช้ฟังก์ชันค้นหาตามงบและทำเลบนเว็บเหล่านี้เพื่อคัดกรอง (เช่น เลือกช่วงราคา เลือกเขตอำเภอ)

    • ขับรถ/เดินสำรวจพื้นที่จริง: หากอยู่ในภูเก็ตแล้ว หรือมีโอกาสเดินทางมาสำรวจ ควรขับรถหรือเดินไปตามย่านที่สนใจ เพราะอพาร์ทเม้นท์หลายแห่งอาจไม่มีประกาศออนไลน์ แต่ติดป้าย “ว่างให้เช่า” หน้าอาคาร หรือต้องสอบถามกับผู้ดูแลเท่านั้น การลงพื้นที่จริงทำให้ได้เห็นสภาพแวดล้อมรอบข้างด้วย

    • สอบถามคนรู้จักหรือคนพื้นที่: หากมีเพื่อนร่วมงาน ญาติ หรือคนรู้จักในภูเก็ต ลองสอบถามเผื่อพวกเขารู้จักห้องว่าง หรือมีย่านที่อยากแนะนำ บางครั้งการบอกต่อแบบปากต่อปากทำให้ได้ดีลราคาดีหรือห้องคุณภาพที่ยังไม่ทันประกาศทั่วไป

    • เอเจนซี่/นายหน้าอสังหา: ในภูเก็ตมีตัวแทนนายหน้าที่ช่วยหาห้องเช่าสำหรับลูกค้า (โดยเฉพาะคอนโดหรือวิลล่าระดับกลางขึ้นไป) ซึ่งค่าบริการมักเจ้าของที่พักเป็นคนจ่าย ผู้เช่าสามารถติดต่อเอเจนต์ให้ช่วยหาได้ โดยแจ้งความต้องการและงบประมาณ พวกเขาจะคัดห้องที่ตรงมาให้ดู แต่หากงบต่ำหรือเป็นห้องเล็ก นายหน้าอาจไม่ค่อยรับงานเพราะค่าคอมมิชชันน้อย (นายหน้ามักได้ค่าคอมจากเจ้าของ 1 เดือนค่าเช่าในสัญญา 1 ปี)

  3. ตรวจสอบความน่าเชื่อถือและรายละเอียดประกาศ – เมื่อเจอห้องที่สนใจ อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจทันที ควรทำการตรวจสอบเบื้องต้น:

    • อ่านรายละเอียดให้ครบถ้วน เช่น ทำเลที่ตั้ง, ขนาดห้อง, ชั้นที่ตั้ง, สิ่งอำนวยความสะดวก, เงื่อนไขการเช่า (บางประกาศจะระบุ เช่น “ไม่รับสัตว์เลี้ยง” หรือ “สัญญาอย่างน้อย 1 ปี”)

    • ดูรูปถ่ายประกอบ ตรวจสอบว่าห้องสภาพเป็นอย่างไร ใหม่หรือเก่า เฟอร์นิเจอร์ตรงตามที่ต้องการหรือไม่

    • เช็กประวัติเจ้าของหรือผู้ลงประกาศ: หากเป็นประกาศออนไลน์ โดยเฉพาะจากบุคคลทั่วไป ควรนำชื่อผู้ให้เช่าหรือเบอร์โทรศัพท์ไปค้นหาในอินเทอร์เน็ตเพิ่มเติม เช่น ค้นหา “ชื่อ-นามสกุล + ภูเก็ต + ห้องเช่า + โกง” ดูว่ามีประวัติเสียหรือไม่ ในปัจจุบันมีกรณีมิจฉาชีพลงประกาศห้องเช่าหลอกเอาเงินมัดจำค่อนข้างมาก ผู้เช่าจึงควรรอบคอบ ส่วนอีกวิธีคือลองค้นหาห้องเดียวกันนี้ใน Google ดูว่ามีประกาศที่อื่นไหม รายละเอียดตรงกันหรือไม่ ถ้าพบเห็นรูปเดียวกันแต่ประกาศหลายที่ ข้อมูลติดต่อคนละชื่อ ควรระวัง

    • เข้าไปดูรีวิวหรือโพสต์ในกลุ่มชุมชนออนไลน์ เช่น กลุ่ม Facebook “ห้องเช่าภูเก็ต” หรือเว็บบอร์ดต่าง ๆ ว่ามีใครเคยพูดถึงอพาร์ทเม้นท์นี้ไหม เช่น มีปัญหาอะไรหรือเจ้าของนิสัยอย่างไร

    • อย่าโอนเงินให้ใครทั้งนั้นจนกว่าจะได้ดูห้องจริงและแน่ใจ: นี่เป็นหลักการที่สำคัญมาก ไม่ว่าผู้ลงประกาศจะอ้างว่าคนอื่นกำลังแย่งหรือให้โอกาสพิเศษในการจองวันนี้ ต้องไม่ใจร้อนโอนเงินมัดจำก่อนเห็นห้อง เพราะมีโอกาสถูกหลอกสูง

  4. ติดต่อและนัดหมายเข้าชมห้อง – หากประกาศผ่านการพิจารณาขั้นต้นแล้ว ให้ติดต่อผู้ลงประกาศเพื่อนัดหมายดูห้องจริง การเข้าชมห้องพักก่อนตัดสินใจเช่าเป็นขั้นตอนที่ไม่ควรละเลยอย่างยิ่ง เพราะรูปถ่ายอาจไม่ตรงกับความเป็นจริง 100%:

    • เตรียมรายการคำถามที่จะถามผู้ให้เช่าในวันดูห้อง เช่น ค่าใช้จ่ายทั้งหมดมีอะไรบ้าง, มีบริการ/สิ่งอำนวยความสะดวกอะไรบ้าง, เพื่อนบ้านโดยรอบเป็นใคร (สงบไหม), กฎระเบียบที่ต้องปฏิบัติมีอะไร เป็นต้น

    • ไปถึงสถานที่นัดหมายตรงเวลา แต่งกายสุภาพ สิ่งนี้ช่วยสร้างความประทับใจแรกพบต่อผู้ให้เช่า และแสดงว่าเราเป็นผู้เช่าที่น่าไว้วางใจ (เจ้าของห้องส่วนหนึ่งก็ดูบุคลิกของผู้เช่าประกอบการตัดสินใจปล่อยเช่า)

    • ตรวจสอบห้องอย่างละเอียดในขณะเข้าชม: ดูสภาพผนัง เพดานว่ามีคราบรั่วซึมหรือไม่, ทดลองเปิดไฟฟ้าและก๊อกน้ำว่าทำงานปกติ, ตรวจหน้าต่าง มุ้งลวด ประตู ลูกบิด กุญแจต่าง ๆ ว่าอยู่ในสภาพดี, เครื่องใช้ไฟฟ้า (แอร์ ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น) ลองเปิดเช็กดูการทำงาน, เฟอร์นิเจอร์ดูความแข็งแรงและร่องรอยชำรุด ถ้ามีจุดเสียหายควรแจ้งผู้ให้เช่ารับทราบตั้งแต่ตอนนี้ อย่าอายที่จะถามหรือขอลอง เพราะเป็นสิทธิของผู้เช่าที่จะได้ของที่ใช้งานได้สมบูรณ์

    • สำรวจพื้นที่ส่วนกลางของอาคาร: ทางเดิน ลิฟต์ (ถ้ามี) ที่จอดรถ ระบบรักษาความปลอดภัย (มี รปภ. หรือกล้องวงจรปิดไหม), ความสะอาดของอาคาร, การดูแลสวน/บริเวณโดยรอบ ถ้าเห็นสิ่งผิดปกติควรถาม เช่น ไฟทางเดินเสีย, ประตูทางเข้าไม่ล็อก ฯลฯ

    • ประเมินบรรยากาศโดยรอบ: สังเกตเสียงรบกวน (มีผับบาร์ใกล้ ๆ ไหม มีเสียงรถดังหรือไม่), กลิ่น (บางครั้งอยู่ใกล้ร้านอาหารหรือท่อขยะมีกลิ่น), สภาพแวดล้อม (กลางวันโอเค กลางคืนอาจมืดเปลี่ยวหรือไม่) ถ้าเป็นไปได้ควรมองรอบ ๆ อาคารในยามค่ำด้วย เพื่อดูว่าไฟส่องสว่างพอไหมและปลอดภัยหรือเปล่า

    • พบปะพูดคุยกับผู้เช่าเดิมหรือผู้ดูแลอาคาร (ถ้ามีโอกาส): เพื่อซักถามข้อมูลเพิ่มเติม เช่น น้ำไหลแรงไหม ไฟดับบ่อยหรือเปล่า, เพื่อนบ้านนิสัยดีไหม, เคยมีปัญหาจุกจิกอะไรบ้าง สิ่งเหล่านี้คนที่อยู่จริงจะให้คำตอบได้ดี

  5. เปรียบเทียบและตัดสินใจเลือก – หลังจากดูห้องมาหลายที่ (แนะนำให้มีตัวเลือกอย่างน้อย 3 แห่งเพื่อเปรียบเทียบ) ให้กลับมาทบทวนข้อมูล:

    • เปรียบเทียบทำเล: ที่ไหนใกล้ที่ทำงาน/ที่ที่ต้องไปประจำ มากที่สุด เดินทางสะดวก มีร้านค้ารอบข้างครบ

    • เปรียบเทียบสภาพห้องและอาคาร: อันไหนใหม่ สะอาด น่าอยู่กว่า, ที่ไหนมีข้อบกพร่องที่รับไม่ได้บ้าง

    • เปรียบเทียบราคาและข้อเสนอ: ที่ไหนค่าเช่าคุ้มค่ากับสิ่งที่ได้รับที่สุด, มีที่ไหนเสนอเงื่อนไขพิเศษ เช่น ฟรี Wi-Fi หรือจอดรถฟรี หรือมีโปรโมชั่นลดค่าเช่าถ้าอยู่ยาว ข้อมูลเหล่านี้ควรนำมาพิจารณาร่วมกัน

    • การต่อรอง: ถ้าเจอห้องที่ถูกใจมากแต่ค่าเช่าเกินงบเล็กน้อย ลองเจรจาต่อรองอย่างสุภาพ เช่น ขอปรับลดลง 500-1000 บาท หรือขอรวมอินเทอร์เน็ตในค่าเช่าไปเลย ทั้งนี้โอกาสต่อรองจะมากหรือน้อยขึ้นกับสถานการณ์ หากเป็นช่วงโลว์ซีซั่น ห้องเช่าว่างเยอะ เจ้าของอาจยืดหยุ่นมาก แต่ถ้าเป็นไฮซีซั่นหรือห้องทำเลฮิต ราคาต่อรองยาก ผู้เช่าบางคนเสนอสัญญาเช่าระยะยาวขึ้น เพื่อขอราคาดี (เช่น ยอมเซ็น 18 เดือน ถ้าให้ลดค่าเช่า) หรือสอบถามว่า “ถ้าอยู่นาน ๆ มีส่วนลดไหม” เพราะบางแห่งเจ้าของก็ชอบผู้เช่าที่อยู่นาน จะได้ไม่ต้องหาคนใหม่บ่อย ๆ และลดความเสี่ยงห้องว่าง

    • ระวังกลยุทธ์ “ด่วนลดพิเศษวันนี้เท่านั้น” หรือ “มีคนอื่นจะเอาแล้วนะ” ของผู้ให้เช่าบางราย อย่ากดดันตนเองให้รีบตัดสินใจโดยไม่ตรึกตรอง เจ้าของบางคนใช้วิธีสร้างความเร่งด่วนให้รีบวางมัดจำ ควรใช้เหตุผลและข้อมูลที่มีมาตัดสินใจ ไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบ

  6. เตรียมเอกสารและเงินสำหรับทำสัญญา – เมื่อเลือกได้แล้วว่าต้องการเช่าที่ไหน ขั้นตอนต่อไปคือเตรียมการสำหรับทำสัญญาเช่า

    • ตรวจสอบกับผู้ให้เช่าว่าสามารถเข้าอยู่ได้เมื่อใด วันทำสัญญาคือวันไหน เพื่อจะได้เตรียมวันลางานหรือจัดเวลาไปทำเรื่อง

    • เตรียมเอกสาร (รายละเอียดในหัวข้อถัดไป) ให้ครบ โดยเฉพาะสำเนาบัตรประชาชน ซึ่งเกือบทุกที่ต้องการ และหลักฐานอื่น ๆ ตามตกลง

    • เตรียมเงินสดหรือเงินในบัญชีให้พร้อมสำหรับจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าและเงินประกันในวันทำสัญญา ควรถามยอดรวมจากผู้ให้เช่าล่วงหน้า หากจำนวนมากเพื่อที่จะจัดแจงได้ถูกต้อง (บางคนอาจต้องโอนจากบัญชีต่างจังหวัดมา)

    • หากต้องการให้ผู้ให้เช่าปรับปรุงห้องหรือจัดหาอะไรเพิ่มเติม (เช่น เปลี่ยนหลอดไฟ, ทำความสะอาดห้อง, เพิ่มเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเล็ก ๆ) ควรแจ้งให้ดำเนินการก่อนย้ายเข้า หรือเขียนลงในสัญญาให้ครบถ้วน

  7. ทำสัญญาเช่าและตรวจรับห้อง – ในวันทำสัญญา ให้ปฏิบัติตามขั้นตอน ดังนี้:

    • อ่านสัญญาเช่าให้ละเอียดทุกข้อ (หัวข้อการทำสัญญาเช่าจะกล่าวในหัวข้อถัดไป) หากสงสัยตรงไหนให้สอบถามทันทีและแก้ไขก่อนเซ็น

    • ชำระเงินตามที่ตกลง ตรวจนับต่อหน้าและขอใบรับเงินหรือหลักฐานการรับเงินจากผู้ให้เช่า เงินสดจำนวนมากควรมีใบเสร็จหรืออย่างน้อยเซ็นชื่อรับเงินในสัญญา

    • ขณะรับกุญแจห้อง ตรวจดูว่ากุญแจ-คีย์การ์ดใช้งานได้ปกติครบชุด และจดทะเบียนทรัพย์สินหรือรายการของที่อยู่ในห้องร่วมกันกับผู้ให้เช่า (inventory list) เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้ามีอะไรบ้าง สภาพเป็นอย่างไร บางที่อาจมีแบบฟอร์มให้เช็ก ผู้เช่าควรถือโอกาสนี้ ถ่ายรูป สภาพห้อง ณ วันที่รับมอบเก็บไว้ด้วย โดยเฉพาะจุดที่มีตำหนิชำรุดอยู่ก่อนแล้ว

    • ขอข้อมูลเบอร์ติดต่อที่จำเป็น เช่น เบอร์มือถือเจ้าของหรือผู้ดูแล, ไลน์, เบอร์ช่างซ่อมที่ติดต่อได้ (ถ้ามีช่างประจำ), รวมถึงขั้นตอนการแจ้งซ่อมหรือแจ้งปัญหาในอนาคต

    • สอบถามวิธีชำระค่าเช่าเดือนต่อ ๆ ไป: ส่วนใหญ่จะโอนเข้าบัญชีเจ้าของทุกเดือน (เก็บหลักฐานการโอนทุกครั้ง) หรือบางที่ให้มาจ่ายสดที่สำนักงานอพาร์ทเม้นท์ ผู้เช่าควรรู้กำหนดวันจ่ายค่าเช่าและวิธีจ่ายล่วงหน้า

    • เมื่อเสร็จสิ้น ให้เก็บสำเนาสัญญาของตนเองไว้ให้ดี นี่เป็นหลักฐานสำคัญ อย่าเก็บไว้ที่ผู้ให้เช่าฝ่ายเดียวเด็ดขาด

    เมื่อดำเนินการตามขั้นตอนครบถ้วน ผู้เช่าก็พร้อมที่จะย้ายข้าวของเข้าอยู่อาศัยในห้องเช่าใหม่ของตน การปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างรอบคอบนอกจากจะช่วยให้ได้ห้องที่พึงพอใจแล้ว ยังลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาภายหลังอีกด้วย

เอกสารที่ต้องเตรียมในการเช่า

    การเช่าที่พักอาศัยมักใช้เอกสารไม่มากนัก แต่ผู้เช่าควรเตรียมให้ครบเพื่อความรวดเร็วในการทำสัญญา เอกสารหลัก ๆ ได้แก่:

  • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน – สำคัญที่สุดสำหรับผู้เช่าที่เป็นคนไทย ควรถ่ายสำเนาชัดเจนและเซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง (ระบุด้วยว่า “ใช้สำหรับทำสัญญาเช่าที่อยู่เลขที่...เท่านั้น”) เพื่อป้องกันการนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์

  • สำเนาทะเบียนบ้าน – ไม่ได้จำเป็นทุกกรณี แต่บางที่โดยเฉพาะหอพักอาจขอดูทะเบียนบ้านผู้เช่าเพื่อยืนยันถิ่นที่อยู่เดิมหรือใช้ประกอบเอกสาร

  • หลักฐานการทำงาน/หนังสือรับรองเงินเดือน – ผู้ให้เช่าบางราย (มักเป็นโครงการคอนโดหรือบ้านเช่าราคาแพง) อาจต้องการหลักฐานว่าเรามีรายได้จ่ายค่าเช่าไหว เช่น ใบรับรองการทำงานหรือสลิปเงินเดือน 1–2 เดือนล่าสุด ทั้งนี้ในตลาดห้องเช่าทั่วไปในภูเก็ต ส่วนใหญ่ไม่เรียกดูเอกสารส่วนนี้ เน้นเพียงสำเนาบัตรประชาชน แต่ถ้าเตรียมไว้ก็ไม่เสียหาย

  • วีซ่า/ใบอนุญาตทำงาน (กรณีชาวต่างชาติร่วมเช่าหรือเป็นผู้เช่า) – หากผู้เช่าเป็นชาวต่างชาติหรือคนไทยที่มีคู่สมรสต่างชาติอยู่ด้วย อาจต้องแสดงหลักฐานการอยู่ในประเทศอย่างถูกต้อง เช่น หน้าวีซ่าหนังสือเดินทาง หรือใบ Work Permit ให้ผู้ให้เช่าดูประกอบ

  • หนังสือยินยอมจากผู้ปกครอง (กรณีนักเรียนอายุต่ำกว่า 20 ปี) – หากผู้เช่าเป็นนักศึกษาที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ (ต่ำกว่า 20 ปี) บางหอพัก/อพาร์ทเม้นท์อาจขอหนังสือยินยอมจากผู้ปกครอง หรือให้ผู้ปกครองมาเซ็นสัญญาร่วมด้วย

  • ทะเบียนรถ (ถ้ามีรถยนต์) – เผื่อกรณีที่พักนั้นต้องลงทะเบียนขอที่จอดรถ ผู้เช่าควรเตรียมสำเนาทะเบียนรถของตนไปด้วย เพื่อกรอกข้อมูลในแบบฟอร์มของคอนโด/อพาร์ทเม้นท์ (บางแห่งทำสติ๊กเกอร์ที่จอดรถให้) รวมถึงสำเนาใบขับขี่ตนเองหากต้องลงทะเบียน

    เอกสารข้างต้นควรเตรียมสำเนาอย่างละ 1 ชุด หากเช่าห้องร่วมกับผู้อื่นในฐานะผู้เช่าร่วม (co-tenant) เช่น เพื่อนหรือญาติ ก็ควรเตรียมเอกสารของแต่ละคนด้วย ในวันที่เซ็นสัญญาควรนำเอกสารตัวจริงติดตัวไปเผื่อผู้ให้เช่าต้องการตรวจสอบความถูกต้อง

การทำสัญญาเช่า

    สัญญาเช่า เป็นหลักฐานผูกพันทางกฎหมายที่สำคัญที่สุดในการเช่าที่พัก ผู้เช่าควรให้ความสำคัญกับการอ่านและทำความเข้าใจสัญญาอย่างถี่ถ้วนก่อนลงนาม โดยทั่วไปสัญญาเช่าห้องพักมักมีเนื้อหาและเงื่อนไขสำคัญดังนี้:

  • รายละเอียดคู่สัญญา: ควรระบุชื่อ–นามสกุลผู้ให้เช่า (เจ้าของห้องหรือผู้มีสิทธิ์ปล่อยเช่า) และผู้เช่า อย่างถูกต้อง ชัดเจน รวมถึงที่อยู่ติดต่อของทั้งสองฝ่าย

  • ลักษณะที่เช่าและที่ตั้ง: ระบุประเภทที่เช่า (เช่น ห้องชุดเลขที่… ในคอนโด… หรือ ห้องพักเลขที่… ในอพาร์ทเม้นท์… ชั้น …) พร้อมที่อยู่เต็มของสถานที่ เพื่อไม่ให้กำกวมว่าห้องใด

  • ระยะเวลาเช่า: กำหนดวันเริ่มเช่าและวันสิ้นสุดเช่า เช่น 1 ปี เริ่มวันที่ 1 มกราคม 2568 ถึง 31 ธันวาคม 2568 เป็นต้น หรือหากเป็นสัญญารายเดือนก็ระบุเป็นเดือนต่อเดือน (และมักต่ออายุอัตโนมัติไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะแจ้งเลิก)

  • อัตราค่าเช่าและการชำระ: ระบุจำนวนเงินค่าเช่าต่อเดือน และวิธี/กำหนดเวลาการชำระ เช่น ชำระภายในวันไหนของเดือน, จ่ายโดยวิธีใด (เงินสด/โอนบัญชี) รวมถึงการชำระเงินประกันจำนวนเท่าไรในวันทำสัญญา

  • ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ: หากผู้เช่าต้องจ่ายให้ระบุอัตราหรือวิธีการคำนวณให้ชัด เช่น “ผู้เช่าชำระค่าไฟฟ้าในอัตราหน่วยละ … บาท และค่าน้ำหน่วยละ … บาท ตามที่ใช้จริง” หรือ “ผู้เช่าชำระค่าน้ำเหมาจ่าย … บาทต่อเดือน” ตลอดจนค่าส่วนกลาง ค่าขยะ หรืออื่น ๆ (ถ้ามี)

  • หน้าที่ในการซ่อมแซมบำรุงรักษา: ปกติจะระบุว่าผู้ให้เช่าต้องดูแลซ่อมแซมส่วนที่ชำรุดเสียหายจากการเสื่อมตามสภาพ เช่น ระบบไฟฟ้า ประปา โครงสร้างอาคาร ส่วนผู้เช่าต้องดูแลรักษาที่เช่าให้สะอาด เรียบร้อย และรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดจากการใช้งานของผู้เช่าเอง (เช่น ทำเฟอร์นิเจอร์พัง หรือทำห้องสกปรกผิดปกติ)

  • ข้อห้ามในการใช้สถานที่เช่า: เช่น ห้ามเลี้ยงสัตว์ (พบบ่อยในหลายที่), ห้ามสูบบุหรี่ภายในห้อง, ห้ามก่อเสียงดังรบกวนผู้อื่น, ห้ามดัดแปลง ต่อเติมห้อง, ห้ามนำวัตถุอันตรายเข้ามา ฯลฯ ผู้เช่าควรอ่านส่วนนี้ให้ละเอียดเพื่อปฏิบัติตามได้ถูกและไม่โดนปรับ

  • สิทธิในการเข้าตรวจห้องของผู้ให้เช่า: กฎหมายระบุว่าผู้ให้เช่าเข้าห้องเช่าโดยพลการไม่ได้ ต้องแจ้งล่วงหน้า (เว้นกรณีฉุกเฉิน) สัญญาที่เป็นธรรมจะระบุเงื่อนไขนี้ เช่น “ผู้ให้เช่าจะเข้าตรวจสอบทรัพย์เช่าต้องแจ้งผู้เช่าล่วงหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมงและได้รับความยินยอม” เพื่อคุ้มครองความเป็นส่วนตัวผู้เช่า

  • การบอกเลิกสัญญาก่อนกำหนด: ส่วนนี้สำคัญ หากผู้เช่าอาจต้องย้ายออกก่อนกำหนด ควรดูว่ามีเงื่อนไขอย่างไร สัญญาบางฉบับ (โดยเฉพาะที่เป็นสัญญามาตรฐานตามประกาศคุ้มครองผู้บริโภค) จะระบุว่า “ผู้เช่ามีสิทธิบอกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนดได้ โดยแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน และต้องอยู่อาศัยมาแล้วไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสัญญาเช่า โดยไม่มีค่าปรับ” ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่เป็นธรรมกับผู้เช่า แต่หากสัญญาไม่ระบุไว้ ผู้ให้เช่าอาจยึดเงินมัดจำทั้งหมดเมื่อผู้เช่าออกก่อนเวลา ผู้เช่าจึงควรขอเพิ่มเงื่อนไขนี้ถ้าเป็นไปได้ หรืออย่างน้อยตกลงกันเป็นลายลักษณ์อักษรว่าจะช่วยหาผู้เช่ามาแทนเพื่อคืนมัดจำบางส่วน

  • การคืนเงินประกัน: ตามประกาศ สคบ. ผู้ให้เช่าต้องคืนเงินประกันภายในกำหนด (เดิมกฎหมายปี 2561 กำหนด 7 วันหลังสิ้นสัญญา แต่ฉบับแก้ไข 2562 ไม่ระบุชัด แค่บอกให้คืนทันทีเมื่อหักค่าเสียหายแล้ว) ควรระบุในสัญญาว่า “ผู้ให้เช่าจะคืนเงินประกันแก่ผู้เช่าภายใน XX วัน นับแต่ผู้เช่าย้ายออก หากไม่มีหนี้ค้างหรือความเสียหาย” เพื่อป้องกันการยื้อเงิน หากผู้ให้เช่าปฏิเสธใส่เงื่อนไขนี้ ผู้เช่าควรใช้วิธีส่งมอบห้องและขอคืนมัดจำในวันย้ายออกเลยจะดีที่สุด

  • เหตุผิดสัญญาและการบอกเลิกโดยผู้ให้เช่า: จะระบุกรณีที่ผู้ให้เช่าสามารถยกเลิกสัญญาและไล่ผู้เช่าออกได้ เช่น ผู้เช่าค้างค่าเช่าเกินกว่าที่กำหนด (ส่วนมาก 30 วัน), ผู้เช่าทำผิดกฎหมายร้ายแรงในที่เช่า, หรือทำผิดเงื่อนไขสัญญาซ้ำ ๆ แม้ถูกเตือนแล้ว เป็นต้น สัญญาที่ดีจะไม่ให้อำนาจผู้ให้เช่าในการยกเลิกตามอำเภอใจ โดยไม่บอกกล่าว ดังนั้นควรดูว่ามีกระบวนการยุติธรรม (เช่น แจ้งเตือนเป็นลายลักษณ์อักษรก่อน 30 วัน) หรือไม่

  • ลายมือชื่อและพยาน: สุดท้าย ต้องมีการลงชื่อผู้ให้เช่าและผู้เช่า (พร้อมพยานอย่างน้อย 1 คน) และแต่ละฝ่ายควรเก็บสัญญาที่ลงนามครบไว้ฉบับหนึ่ง

    คำแนะนำในการทำสัญญา:

  • ใช้เวลาอ่านให้ครบ ไม่ต้องรีบร้อน หากมีศัพท์กฎหมายหรือภาษาที่ไม่เข้าใจ ขอให้ผู้ให้เช่าอธิบายหรือปรับถ้อยคำให้ชัดเจน

  • หากมีข้อตกลงพิเศษใด ๆ ที่ได้คุยกันไว้ก่อนหน้า (เช่น จะทาสีห้องใหม่ก่อนผู้เช่าเข้าอยู่, จะเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศใหม่ในเดือนหน้า, หรืออนุญาตให้เลี้ยงแมวได้ 1 ตัว) ให้เขียนเพิ่มลงไปในสัญญาทุกครั้ง อย่าเชื่อแค่ปากเปล่า เพราะภายหลังถ้าไม่มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรจะเรียกร้องยาก

  • ตรวจสอบว่าข้อมูลต่าง ๆ ที่กรอกลงในสัญญาถูกต้อง เช่น ชื่อเรา คำนำหน้าชื่อ เลขที่ห้อง ค่าเช่า จำนวนเงินประกัน ฯลฯ หากพบผิดพลาดให้แก้ไขก่อนเซ็น

  • เมื่อเซ็นสัญญาแล้ว ให้ขอรับเอกสารสัญญาฉบับที่เซ็นครบสมบูรณ์ 1 ชุดมาเก็บไว้เสมอ ห้ามละเลยเด็ดขาด เพราะเอกสารนี้เป็นสิ่งที่จะปกป้องสิทธิของผู้เช่าหากเกิดข้อขัดแย้ง

    โดยสรุป การทำสัญญาเช่านั้นต้องอาศัยความรอบคอบและไม่เกรงใจที่จะต่อรองเพื่อความเป็นธรรมของทั้งสองฝ่าย สัญญาที่ดีจะทำให้การเช่าอาศัยราบรื่นและลดโอกาสเกิดปัญหาในอนาคต

ข้อควรระวังและสิ่งที่ควรตรวจสอบก่อนเช่า

    ก่อนที่ผู้เช่าจะตัดสินใจเซ็นสัญญาและย้ายเข้าอยู่ในห้องเช่า มีข้อควรระวังหลายประการที่ควรใส่ใจเพื่อลดความเสี่ยงและหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง การตรวจสอบและเตรียมการเหล่านี้อาจใช้เวลาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ก็คุ้มค่ากับความสบายใจในระยะยาว ต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ผู้เช่าควรระวังและตรวจสอบก่อนตกลงเช่าที่พักในภูเก็ต:

  • ความน่าเชื่อถือของผู้ให้เช่า/ผู้ดูแล: อย่างที่กล่าวไว้ในขั้นตอนหาห้องเช่า ผู้เช่าควรตรวจสอบประวัติของเจ้าของห้องหรือผู้ดูแลอพาร์ทเม้นท์ให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะผ่านการค้นข้อมูลออนไลน์ การดูรีวิว หรือสอบถามผู้เช่ารายก่อน ๆ หากพบประวัติไม่ดี เช่น มีคนร้องเรียนเรื่องไม่คืนเงินมัดจำ หรือชอบเข้าห้องโดยพลการ ควรพิจารณาให้รอบคอบ

  • ตรวจสอบสภาพห้องอย่างละเอียด: ก่อนเซ็นสัญญาหรือก่อนย้ายเข้าให้เดินตรวจดูทุกจุดในห้อง:

    • ผนัง เพดาน มีรอยรั่วซึมหรือเชื้อราหรือไม่ (โดยเฉพาะห้องชั้นบน ๆ ที่อาจหลังคารั่ว หรือชั้นล่างที่อาจชื้น)

    • พื้น กระเบื้อง แตกหรือหลุดล่อนตรงไหนหรือไม่

    • ประตู หน้าต่าง ปิดเปิดคล่องไหม มีกุญแจล็อกแน่นหนาหรือไม่ (รวมถึงกลอนประตูห้องน้ำ)

    • ระบบไฟฟ้า: เปิดไฟทุกดวงเช็ก, ทดลองเต้ารับปลั๊กไฟ (ใช้ที่ชาร์จโทรศัพท์ลองเสียบดูก็ได้), เบรกเกอร์ในตู้ไฟสามารถตัดต่อได้ปกติหรือไม่

    • ระบบประปา: เปิดก็อกอ่างล้างหน้า ฝักบัว ชักโครก ดูว่าน้ำไหลแรงและระบายได้ดี ไม่มีอุดตันหรือรั่วซึม

    • เครื่องใช้ไฟฟ้า: ลองเปิดใช้งานและดูเสียง/ความเย็น เช่น แอร์เย็นดีไหม มีเสียงดังผิดปกติหรือเปล่า, ตู้เย็นทำงานไหม, เครื่องทำน้ำอุ่นติดไหม

    • เฟอร์นิเจอร์: ตรวจดูสภาพของแต่ละชิ้น มีรอยชำรุดตรงไหน ถ้าเป็นโซฟาผ้าให้ดูความสะอาดและกลิ่น, ฟูกที่นอนลองดูคราบและกลิ่น (บางที่อาจต้องเปลี่ยนใหม่หากเก่าเกิน)

    • หากพบปัญหาใด ให้แจ้งผู้ให้เช่าทันทีและบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร (เช่น ทำ checklist ลงในสัญญาหรือถ่ายรูปส่งไลน์ยืนยัน) เพื่อให้แก้ไขก่อนหรือรับทราบว่าจะไม่ถือว่าเป็นความเสียหายที่คุณก่อ

  • สำรวจอาคารและระบบความปลอดภัย:

    • อาคารมีทางหนีไฟที่ชัดเจนและใช้งานได้หรือไม่ (เช่น บันไดหนีไฟประตูไม่ล็อกจากด้านใน)

    • มีถังดับเพลิงหรืออุปกรณ์ดับไฟฉุกเฉินในแต่ละชั้นหรือไม่ (และไม่หมดอายุ)

    • กล้องวงจรปิดติดตั้งตามจุดสำคัญหรือไม่ (ทางเข้า, ลิฟต์, ลานจอดรถ)

    • ระบบเข้าออกอาคาร: ใช้คีย์การ์ดหรือสแกนลายนิ้วมือ? หรือเป็นรปภ.ประจำจุด หากเป็นประตูแม่กุญแจธรรมดา ต้องพิจารณาว่าปลอดภัยพอหรือไม่

    • บริเวณรอบอาคารตอนกลางคืน มีไฟส่องสว่างและคนพลุกพล่านพอไหม หากมีกลับเข้าห้องดึก ๆ จะปลอดภัยหรือเปล่า

  • สภาพแวดล้อมและเพื่อนบ้าน:

    • ลักษณะเพื่อนบ้านใกล้เคียงเป็นอย่างไร (ถ้าเป็นหอพักนักศึกษาก็อาจเสียงดังหน่อย, ถ้าเป็นที่พักคนทำงานส่วนใหญ่จะเงียบกว่า)

    • อาคารอยู่ติดกับอะไร: เช่น ติดถนนใหญ่ (อาจมีเสียงรถทั้งคืน), ติดสถานบันเทิง (เสียงเพลงดังกลางคืน), ติดคลองหรือที่รกร้าง (อาจยุงเยอะหรือมีสัตว์ไม่พึงประสงค์) สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต

    • ช่วงเวลากลางคืนลองมาดูซอยหรือบริเวณห้องพัก ถ้ามีโอกาส ว่ามีเสียงรบกวนหรือกิจกรรมผิดปกติหรือไม่ (เช่น บางทีเวลากลางคืนร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์ข้าง ๆ ชอบทดลองเครื่องเสียง เป็นต้น)

  • น้ำท่วมและปัญหาธรรมชาติ: ภูเก็ตบางพื้นที่มีปัญหาน้ำท่วมขังในหน้าฝนหรืออยู่ใกล้ทางน้ำ ไม่น่าจะเกิดบ่อยนักในโซนที่พัก แต่อาจมีบางจุด หากห้องพักอยู่ชั้นล่างสุดหรือชั้นใต้ดิน (กรณีคอนโด) ให้สอบถามว่าพื้นที่นี้เคยน้ำท่วมหรือมีน้ำรั่วซึมเข้าห้องช่วงฝนหนักไหม นอกจากนี้ถ้าที่พักอยู่ใกล้ทะเลมาก ควรถามเรื่องลมและฝนด้วย (บางครั้งช่วงมรสุมฝนสาดเข้าระเบียงเยอะ จะได้เตรียมป้องกัน)

  • สัตว์และแมลงรบกวน: ปัญหาเช่น ยุง แมลงสาบ หนู จิ้งจก เป็นเรื่องปกติบางพื้นที่ ควรดูว่าที่พักรักษาความสะอาดดีไหม ถังขยะส่วนกลางอยู่ไกลห้องหรือเปล่า บางคนแพ้ขี้จิ้งจกหรือกลัวแมลงมาก ก็ต้องเลือกที่ดูใหม่และสะอาด นอกจากนี้ หากพื้นที่รอบ ๆ มีสุนัขจรจัดเยอะ (โดยเฉพาะตามซอย) ผู้เช่าที่ต้องเดินออกมาซื้อของตอนกลางคืนอาจต้องระวัง ชี้ให้เห็นว่าจุดนี้ก็เป็นสิ่งที่ควรสังเกตตอนสำรวจพื้นที่

  • กฎระเบียบของสถานที่และเงื่อนไขพิเศษ: อ่านกฎของหอพัก/คอนโดให้ครบ เช่น เวลาเปิด-ปิดประตู (บางหอพักปิดเที่ยงคืน ถ้ามีกลับดึกบ่อยไม่สะดวก), นโยบายเกี่ยวกับผู้มาเยี่ยม (คอนโดบางที่เข้มงวด ต้องแลกบัตร), นโยบายเรื่องสูบบุหรี่, การทิ้งขยะ (ทิ้งตรงไหนเมื่อไร) ฯลฯ เพื่อปฏิบัติได้ถูกต้อง

  • ความเข้ากันได้กับไลฟ์สไตล์ของตน:

    • หากคุณมีสัตว์เลี้ยง ต้องแน่ใจว่าสถานที่อนุญาต (และถ้าอนุญาต มีพื้นที่ให้สัตว์วิ่งเล่นไหม มีค่ามัดจำเพิ่มหรือเปล่า)

    • หากคุณทำงานเป็นกะ (กลับดึก หรือออกแต่เช้ามืด) ที่พักมีความปลอดภัยตอนนั้นไหม และจะรบกวนเพื่อนบ้านหรือเปล่า (เช่น เปิดประตูเข้าห้องตี 2 อาจมีเสียง)

    • ถ้าคุณต้องประชุมออนไลน์บ่อย ๆ ควรเลือกที่มีอินเทอร์เน็ตดีและเงียบสงบ

    • ถ้าชอบทำอาหารเองในห้อง ต้องดูว่าห้องมีพื้นที่ครัวหรือระเบียงต่อเติมให้ทำอาหารหรือไม่ บางแห่งห้ามปรุงอาหารหนัก (เพราะกลิ่นและควันจะกระจาย) หากไม่มีที่ดูดควัน ก็อาจทำอาหารง่าย ๆ เท่านั้น

  • จัดทำบันทึกข้อตกลงที่เพิ่มเติมเอง (ถ้าจำเป็น): หากมีเรื่องใดที่ตกลงกับผู้ให้เช่านอกรอบ เช่น จะซ่อมแซมอะไร, จะทาสีใหม่, หรือการผ่อนผันใด ๆ ควรเขียนบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร (แนบท้ายสัญญาหรือเป็นข้อความแชทที่เก็บไว้) อย่าใช้สัญญาปากเปล่า

  • สำรวจสถานที่ใกล้เคียง: จุดสำคัญเช่น ป้ายรถประจำทาง (ถ้าต้องใช้ขนส่งสาธารณะ), ร้านสะดวกซื้อที่ใกล้ที่สุด (เดินไปไหวไหม), ร้านอาหารตามสั่งหรือตลาด (จะได้รู้ว่าหาอาหารง่ายไหม) และบริการอื่น ๆ เช่น ร้านซักรีด, คลินิก, ที่ส่งพัสดุ เป็นต้น เพื่อประเมินความสะดวกในการใช้ชีวิต

    การตรวจสอบและระวังสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้อาจดูเยอะ แต่ประสบการณ์จากผู้เช่าหลายรายพบว่าการได้รู้ข้อมูลครบถ้วนก่อนอยู่ จะช่วยให้ไม่เสียใจภายหลัง และลดปัญหาที่จะกลายเป็นข้อขัดแย้งกับผู้ให้เช่าในภายหน้า เมื่อตรวจสอบทุกอย่างจนมั่นใจแล้ว ผู้เช่าก็สามารถเข้าอยู่อาศัยได้อย่างสบายใจยิ่งขึ้น

สิทธิและหน้าที่ของผู้เช่าตามกฎหมายไทย

    ผู้เช่าที่อยู่อาศัยในประเทศไทยได้รับความคุ้มครองและมีสิทธิตามกฎหมายหลายประการ ในขณะเดียวกันก็มีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามสัญญาและกฎหมายเช่นกัน การทราบสิทธิและหน้าที่ของตนจะช่วยให้ผู้เช่ารักษาสิทธิของตัวเองได้ถูกต้อง และอยู่ร่วมกับผู้ให้เช่าอย่างราบรื่น หากเกิดข้อพิพาทก็จะรู้ว่าต้องดำเนินการอย่างไร สิทธิและหน้าที่หลัก ๆ ของผู้เช่าตามกฎหมายไทยและตามสัญญาเช่าที่เป็นธรรม มีดังนี้

สิทธิของผู้เช่า

  • สิทธิในการพักอาศัยอย่างสงบตามสัญญา: เมื่อได้ชำระค่าเช่าและปฏิบัติตามเงื่อนไข ผู้เช้ามีสิทธิครอบครองใช้ประโยชน์ในห้องเช่าตามระยะเวลาที่ตกลง โดยผู้ให้เช่าไม่สามารถรบกวนหรือขัดขวางการอยู่อาศัยอย่างปกติสุขของผู้เช่าได้

  • สิทธิในความเป็นส่วนตัว: ผู้ให้เช่า (หรือผู้ดูแล) ไม่มีสิทธิเข้าห้องเช่าโดยพลการ ยกเว้นมีเหตุฉุกเฉิน (เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม) หรือได้รับความยินยอมจากผู้เช่าล่วงหน้า ตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาปี 2562 กำหนดให้ต้องแจ้งผู้เช่าก่อนเข้าห้องอย่างน้อย 24 ชั่วโมง (เว้นเหตุจำเป็นเร่งด่วน) ดังนั้นหากเจ้าของหรือช่างจะเข้ามาซ่อมแซมห้อง ต้องนัดหมายกับผู้เช่าก่อน ผู้เช่ามีสิทธิปฏิเสธไม่ให้เข้าถ้าการเข้ามานั้นไม่มีเหตุผลสมควร

  • สิทธิได้รับอาศัยในสถานที่ที่ปลอดภัยและใช้การได้: ผู้ให้เช่ามีหน้าที่ส่งมอบสถานที่เช่าที่อยู่ในสภาพใช้การได้ตามวัตถุประสงค์การเช่า (อยู่อาศัย) หมายความว่าห้องควรมีระบบไฟน้ำที่ทำงานปกติ โครงสร้างปลอดภัยไม่เป็นอันตราย หากมีปัญหาที่ไม่ใช่ความผิดผู้เช่า เช่น หลังคารั่ว, ท่อประปาหลักแตก, ปลวกกินโครงสร้าง ผู้ให้เช่าต้องรับผิดชอบซ่อมแซมให้ใช้งานได้ ผู้เช่ามีสิทธิติดต่อทวงถามการซ่อมแซมได้ภายในระยะเวลาที่เหมาะสม

  • สิทธิได้รับข้อมูลและเงื่อนไขที่เป็นธรรม: ตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคด้านสัญญาเช่าที่อยู่อาศัย ผู้เช่ามีสิทธิได้รับสัญญาเช่าที่เป็นธรรม ไม่เอาเปรียบ ซึ่งรวมถึงสิทธิรับทราบอัตราค่าบริการต่าง ๆ (ค่าน้ำไฟ) ที่ไม่เกินจริง, ไม่ถูกกำหนดเงื่อนไขแปลก ๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย เช่น ปรับขึ้นค่าเช่าก่อนครบสัญญา, หรือริบเงินประกันโดยไม่มีเหตุ ผู้เช่าสามารถต่อรองให้แก้ไขสัญญาก่อนเซ็นได้ หากพบข้อที่ไม่เป็นธรรม

  • สิทธิในการบอกเลิกสัญญาก่อนกำหนดในบางกรณี: กรณีผู้เช่าจำเป็นต้องย้ายออกก่อนครบสัญญา กฎหมายผู้บริโภค (สำหรับสัญญากับผู้ประกอบธุรกิจ) เปิดโอกาสว่า หากผู้เช่าอยู่อาศัยมาแล้ว ไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของระยะเวลาสัญญา และแจ้งบอกเลิกเป็นลายลักษณ์อักษรไม่น้อยกว่า 30 วัน ผู้เช่ามีสิทธิเลิกสัญญาโดยไม่ต้องเสียค่าปรับหรือถูกริบมัดจำ (แต่ต้องไม่ค้างค่าเช่า) สิทธินี้ช่วยให้ผู้เช่าที่มีเหตุจำเป็น (เช่น ย้ายงานกะทันหัน) ไม่ถูกเอาเปรียบ ทั้งนี้หากเป็นการเช่ากับเจ้าของรายย่อย (ไม่เข้าข่ายผู้ประกอบธุรกิจ) กฎหมายนี้อาจไม่บังคับใช้โดยตรง แต่ผู้เช่าก็อาจใช้เป็นแนวทางเจรจากับเจ้าของให้ยอมคืนเงินบางส่วนได้

  • สิทธิได้รับเงินประกันคืน: ผู้เช่าย่อมมีสิทธิได้รับเงินประกันที่วางไว้คืนเมื่อสิ้นสุดสัญญา หากไม่ได้ค้างชำระอะไรและไม่มีความเสียหายเกินปรกติในห้อง ผู้ให้เช่าไม่มีสิทธิยึดเงินประกันไว้โดยพลการ การคืนเงินควรเกิดขึ้นภายในเวลาที่ตกลงหรือสมควร (ปัจจุบันแนะนำไม่เกิน 30 วันหลังออก) หากผู้ให้เช่าไม่คืนโดยไม่มีเหตุผล ผู้เช่าสามารถดำเนินการฟ้องร้องในศาลหรือร้องเรียนต่อสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคได้

  • สิทธิที่จะไม่ถูกตัดน้ำตัดไฟหรือยึดทรัพย์สินโดยมิชอบ: แม้ผู้เช่าจะผิดนัดบางอย่าง เช่น จ่ายค่าเช่าช้า ผู้ให้เช่าก็ ไม่มีสิทธิกระทำการเอง โดยการล็อกห้อง เปลี่ยนลูกกุญแจ ตัดน้ำตัดไฟ หรือยึดสิ่งของของผู้เช่า วิธีที่ถูกต้องคือทำหนังสือบอกกล่าวให้ผู้เช่าแก้ไขการผิดสัญญา และถ้าจะบอกเลิกสัญญาก็ต้องผ่านขั้นตอนตามกฎหมายหรือฟ้องศาลเอาผิด ผู้เช่าสามารถยืนยันสิทธินี้เมื่อเจอสถานการณ์ถูกละเมิด เช่น หากเจ้าของมาตัดไฟเพราะเราเลยกำหนดจ่ายแค่ 3-4 วัน นั่นเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ผู้เช่ามีสิทธิแจ้งความหรือฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้

  • สิทธิในการให้เช่าช่วง/โอนสิทธิ (ถ้าไม่ถูกห้ามในสัญญา): ตามประมวลกฎหมายแพ่งฯ จริง ๆ แล้วผู้เช่ามีสิทธินำทรัพย์เช่าของตนไปให้เช่าช่วงหรือโอนสิทธิการเช่าต่อแก่ผู้อื่นได้ เว้นแต่สัญญาจะห้ามไว้ (ซึ่งโดยมากสัญญามาตรฐานมักห้าม) ดังนั้นหากสัญญาไม่ได้ระบุห้าม ผู้เช่าก็สามารถทำได้ แต่แนะนำว่าควรแจ้งผู้ให้เช่าก่อนเพื่อความโปร่งใส

  • สิทธิด้านอื่น ๆ ตามกฎหมายแพ่ง: เช่น ถ้าที่เช่าเกิดความเสียหายจนอยู่ไม่ได้ด้วยเหตุสุดวิสัย (ไฟไหม้ น้ำท่วมใหญ่) ผู้เช่ามีสิทธิบอกเลิกสัญญาทันทีและไม่ต้องรับผิดชอบค่าเช่าที่เหลือ หรือถ้าทรัพย์ถูกส่วนราชการเวนคืน ผู้เช่าก็มีสิทธิได้รับค่าเสียหายบางส่วน เป็นต้น (กรณีเหล่านี้ไม่ค่อยเกิดกับการเช่าห้องพักทั่วไป แต่ก็ถือเป็นสิทธิตามกฎหมาย)

หน้าที่ของผู้เช่า

  • หน้าที่ชำระค่าเช่าตามกำหนดเวลา: นี่คือหน้าที่พื้นฐานที่สุด ผู้เช่าต้องจ่ายค่าเช่าตรงตามที่ระบุในสัญญา (เช่น ทุกวันที่ 1 ของเดือน หรือภายใน 5 วันแรกของเดือน) การจ่ายล่าช้าสามารถทำให้เกิดค่าปรับหรือเป็นเหตุให้ผู้ให้เช่าบอกเลิกสัญญาได้ ควรวางแผนการเงินไม่ให้พลาด บางที่มีบริการตัดบัตรเครดิตอัตโนมัติก็อาจพิจารณาใช้เพื่อลดโอกาสลืม

  • หน้าที่รักษาทรัพย์เช่าให้อยู่ในสภาพดี: ผู้เช่าควรดูแลรักษาห้องและเฟอร์นิเจอร์ที่เช่าเสมือนเป็นของตัวเอง ไม่ทำให้เสียหายเกินการใช้งานตามปกติ เช่น ไม่ทิ้งคราบสกปรกหนักหรือทุบทำลายสิ่งต่าง ๆ หากพบปัญหาเล็ก ๆ เช่น ก๊อกน้ำหยด ไฟดวงหนึ่งขาด ควรแจ้งผู้ให้เช่าหรือดำเนินการเปลี่ยน (กรณีหลอดไฟขาดเล็กน้อยผู้เช่าอาจเปลี่ยนเองเพราะถือเป็นการซ่อมเล็กน้อยตามหน้าที่) หากมีความเสียหายเกิดขึ้นเพราะผู้เช่าประมาท (เช่น ทำแก้วน้ำหล่นใส่อ่างล้างหน้าจนแตก) ผู้เช้ามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายนั้น (โดยซ่อมแซมหรือชดใช้)

  • หน้าที่ปฏิบัติตามกฎระเบียบของสถานที่: ไม่ว่าจะเป็นกฎที่ระบุในสัญญาหรือประกาศของนิติบุคคล/ผู้ดูแล เช่น เวลางดส่งเสียงดัง, จุดที่อนุญาตให้สูบบุหรี่, การใช้ที่จอดรถ, การแต่งกายเมื่ออยู่ในพื้นที่ส่วนกลาง (บางคอนโดขอความร่วมมือไม่ใส่ชุดว่ายน้ำเปียกเดินในลิฟต์) ผู้เช่าควรเคารพกฎเหล่านี้เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างราบรื่น

  • หน้าที่ไม่ใช้ทรัพย์เช่าไปในทางผิดกฎหมายหรือผิดวัตถุประสงค์: เช่น ห้ามผู้เช่านำห้องไปเปิดเป็นธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาต (เปิดเป็นเกสต์เฮาส์, ร้านนวด ฯลฯ ซึ่งผิดทั้งสัญญาและกฎหมาย), ไม่ใช้เป็นสถานที่ซ่องสุม หรือเก็บสิ่งของผิดกฎหมาย (ยาเสพติด อาวุธเถื่อน) เพราะนอกจากผิดสัญญายังมีความผิดทางอาญา ผู้เช่าต้องรับผิดเอง หากทำจะเป็นเหตุให้ผู้ให้เช่าบอกเลิกทันที

  • หน้าที่ไม่รบกวนสิทธิของเพื่อนบ้าน: การอยู่อาศัยในอาคารร่วมกับผู้อื่น ผู้เช่าต้องระวังไม่ส่งเสียงดังหรือทำกิจกรรมที่รบกวนผู้อื่นเกินสมควร เช่น เปิดเพลง-ทีวีเสียงดังหลังเวลาค่ำ, ทะเลาะวิวาทเสียงดัง, ทำกลิ่นเหม็นออกนอกห้อง (เช่น ทำอาหารกลิ่นแรงโดยไม่ปิดประตูหน้าต่าง) การกระทำเหล่านี้หากต่อเนื่องอาจทำให้ถูกเตือนหรือแม้กระทั่งไล่ออกในกรณีร้ายแรง

  • หน้าที่แจ้งผู้ให้เช่าหากมีเหตุขัดข้องใหญ่: เช่น น้ำท่วมในห้อง, ฝ้าเพดานถล่มลงมา, ระบบไฟช็อตเป็นอันตราย ผู้เช่ามีหน้าที่ต้องรีบแจ้งผู้ให้เช่าทราบเพื่อแก้ไข อย่าปล่อยปัญหาเรื้อรังเพราะอาจลุกลาม

  • หน้าที่ตามสัญญาเรื่องการคืนห้องเมื่อสิ้นเช่า: เมื่อครบกำหนดสัญญาหรือบอกเลิกกัน ผู้เช่าต้องย้ายออกและคืนสถานที่เช่าในสภาพเรียบร้อย (อาจมีการทำความสะอาด ล้างแอร์ ส่งมอบกุญแจคืน) ตามที่ตกลง หากผู้เช่าไม่ยอมออกหลังหมดสัญญา ผู้ให้เช่ามีสิทธิดำเนินคดีทางกฎหมาย ข้อควรทำคือแจ้งความประสงค์จะต่อสัญญาหรือไม่ล่วงหน้า (มัก 30 วัน) เพื่อทั้งสองฝ่ายจะได้วางแผนถูก

  • หน้าที่ไม่โอนสิทธิให้ผู้อื่นโดยพลการ: อย่างที่กล่าวว่าโดยหลักกฎหมายผู้เช่าทำได้ แต่หากในสัญญาระบุห้าม ผู้เช้าต้องไม่ฝ่าฝืน เช่น เอาคนอื่นมาอยู่แทนโดยไม่บอก, แอบปล่อยเช่าช่วงต่อ แบบนี้ผิดสัญญาแน่นอน หากจำเป็นจริง ๆ ควรคุยกับผู้ให้เช่าขออนุญาตและอาจทำสัญญาใหม่ไปเลยจะดีกว่า

  • หน้าที่รับผิดในความเสียหายที่เกิดต่อบุคคลภายนอกจากการกระทำตน: ตัวอย่างเช่น ผู้เช่าเปิดน้ำทิ้งไว้ลืมปิด จนน้ำล้นไปท่วมห้องข้างล่างทำทรัพย์สินคนอื่นเสียหาย กรณีนี้ผู้เช้าอาจต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เสียหายนอกเหนือจากถูกหักมัดจำ (กฎหมายแพ่งมาตรา 427 เรื่องความรับผิดของผู้ครอบครอง) ดังนั้นควรใช้สถานที่ด้วยความระมัดระวัง ไม่ทำอะไรเสี่ยงๆ เช่น จุดไฟทิ้งไว้ อาจเกิดเพลิงไหม้ลามไปห้องอื่นได้ เป็นต้น

    สิทธิและหน้าที่ข้างต้นบางข้ออาจมีการปรับรายละเอียดไปตามที่ระบุในสัญญาเช่าแต่ละแห่ง แต่อย่างน้อยก็เป็นแนวปฏิบัติมาตรฐานที่ทั้งผู้ให้เช่าและผู้เช่าพึงยึดถือ หากเกิดปัญหาข้อขัดแย้ง เช่น ผู้ให้เช่าผิดนัดไม่ซ่อมแซมสักที ผู้เช่ามีสิทธิจ้างช่างมาซ่อมแล้วนำบิลมาหักจากค่าเช่าได้หรือไม่ กรณีนี้ตามหลักกฎหมายต้องให้ผู้ให้เช่าแก้ไขก่อน หากเพิกเฉยจริง ๆ ผู้เช่าจึงจะดำเนินการเองและเรียกชดเชยได้ หรือถ้า ผู้เช่าค้างค่าเช่า ผู้ให้เช่าก็ต้องทำหนังสือบอกกล่าวและฟ้องขับไล่ตามขั้นตอนกฎหมาย ไม่สามารถมาไล่ทันทีหรือเปลี่ยนกุญแจ ดังที่ย้ำไว้ สาระสำคัญคือทั้งสองฝ่ายต้องเคารพข้อตกลงและกฎหมาย ผู้เช่าควรเก็บรักษาสัญญาและหลักฐานต่าง ๆ ไว้ หากถูกละเมิดสิทธิร้ายแรงสามารถปรึกษาหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภค หรือทนายความเพื่อดำเนินการตามกฎหมายได้

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเช่าอพาร์ทเม้นท์ในภูเก็ต

  • ถาม: ค่าเช่าอพาร์ทเม้นท์ในภูเก็ตแพงกว่าเชียงใหม่หรือกรุงเทพฯหรือไม่?
    ตอบ: โดยทั่วไป ค่าเช่าที่พักในภูเก็ตจะสูงกว่าเชียงใหม่ และอาจใกล้เคียงกับกรุงเทพฯในบางทำเล เนื่องจากภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก พื้นที่ติดทะเลหรือย่านยอดนิยมจะมีราคาสูง อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับกรุงเทพฯแล้ว ภูเก็ตยังมีห้องเช่าราคาปานกลางถึงถูกอยู่ในหลายโซน (เช่น ย่านตัวเมืองหรือชานเมือง) ขณะที่คอนโดหรูริมทะเลในภูเก็ตก็อาจแพงกว่าคอนโดใจกลางกรุงเทพฯด้วยซ้ำไป ดังนั้นระดับราคาในภูเก็ตจะมีความเหลื่อมล้ำตามทำเลสูง ผู้เช่าจึงควรเลือกทำเลให้สอดคล้องกับงบประมาณ

  • ถาม: ถ้าไม่มีรถส่วนตัว ควรเช่าที่พักย่านไหนในภูเก็ต?
    ตอบ: ควรเลือก ย่านที่เดินทางสะดวกและมีบริการขนส่งสาธารณะ เช่น ในตัวเมืองภูเก็ต ซึ่งมีรถสองแถววิ่งไปยังหาดต่าง ๆ และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบในระยะเดิน รวมถึง ย่านป่าตอง (หากทำงานหรือใช้ชีวิตแถวนั้น) เพราะป่าตองพื้นที่ไม่กว้าง เดินหรือใช้มอเตอร์ไซค์รับจ้างได้ แต่ถ้าอยู่แถบชานเมืองหรือหาดอื่น ๆ การไม่มีรถจะลำบากมาก เนื่องจากรถประจำทางมีน้อยมากและแท็กซี่ค่าโดยสารสูง ดังนั้นคนไม่มีรถในภูเก็ตนิยมอยู่ในเมืองหรือป่าตอง แล้วค่อยเช่ารถมอเตอร์ไซค์เป็นครั้งคราวเมื่อต้องไปที่ไกล ๆ

  • ถาม: ระบบขนส่งสาธารณะในภูเก็ตมีอะไรบ้าง?
    ตอบ: ระบบขนส่งในภูเก็ตมีจำกัดเมื่อเทียบกับเมืองใหญ่ ไม่มีรถไฟฟ้าหรือ MRT รถโดยสารหลัก ๆ ที่มีคือ รถสองแถว (เป็นรถคล้ายรถกระบะประจำทาง) จากตัวเมืองไปหาดต่าง ๆ, มี ภูเก็ตสมาร์ทบัส ซึ่งเป็นรถปรับอากาศวิ่งจากสนามบินผ่านหาดสำคัญ (ไม้ขาว-บางเทา-กมลา-ป่าตอง-กะรน-ราไวย์) แต่ความถี่น้อย, และมี รถบัสสนามบิน เชื่อมสนามบินกับตัวเมือง ส่วนการเดินทางภายในเมืองและในโซนท่องเที่ยว คนมักใช้บริการ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง หรือ แท็กซี่/Grab ซึ่งค่าบริการในภูเก็ตจะสูงกว่ากรุงเทพฯพอสมควร นอกจากนี้ การมีมอเตอร์ไซค์ส่วนตัวเป็นวิธีที่คนนิยมมากที่สุดเพราะยืดหยุ่นและประหยัดกว่า ผู้เช่าที่อยู่ยาวหลายคนจึงเลือกซื้อหรือเช่ามอเตอร์ไซค์ขับ

  • ถาม: ต้องวางเงินประกันและค่าเช่าล่วงหน้าเท่าไหร่ รวม ๆ แล้วเข้าพักใหม่ต้องใช้เงินเท่าไร?
    ตอบ: ปกติแล้ว ตอนเริ่มสัญญาผู้เช่าต้องจ่ายประมาณ 3 เท่าของค่าเช่ารายเดือน แบ่งเป็นเงินประกัน (มัดจำ) 2 เดือน + ค่าเช่าล่วงหน้า 1 เดือน (บางแห่งตามกฎหมายใหม่เก็บมัดจำแค่ 1 เดือน + ค่าเช่าล่วงหน้า 1 เดือน รวมเป็น 2 เดือน) เช่น ถ้าห้องค่าเช่า 5,000 บาท/เดือน วันทำสัญญาต้องจ่ายประมาณ 15,000 บาท เงินส่วนนี้เงินประกันจะได้คืนเมื่อออก (หากไม่มีอะไรเสียหาย) จากนั้นไปก็จ่ายแต่ค่าเช่ารายเดือนตามปกติ นอกจากนี้เตรียมค่าน้ำไฟอินเทอร์เน็ตเดือนแรกอีกราว ๆ 500-1,000 บาทไว้ด้วย

  • ถาม: มีวิธีลดค่าเช่าหรือขอส่วนลดค่าเช่าไหม?
    ตอบ: วิธีที่พอทำได้คือ เจรจาต่อรองหรือเลือกทำสัญญาระยะยาวขึ้น บางครั้งผู้ให้เช่ายินดีลดราคาเล็กน้อยถ้าผู้เช่าสัญญาจะอยู่นาน เช่น จาก 12 เดือนเพิ่มเป็น 18-24 เดือน, หรืออาจขอลดค่าเช่าลง 5-10% หากจ่ายล่วงหน้าหลายเดือน (แต่ไม่แนะนำจ่ายล่วงหน้านานเกินไปเพราะเสี่ยง) อีกวิธีคือหาช่วงโปรโมชั่น – บางอพาร์ทเม้นท์จะมีช่วงลดราคาหน้าโลว์ซีซั่น หรือ “อยู่ 12 เดือน จ่าย 11 เดือน” เป็นต้น ผู้เช่าควรถามตรง ๆ อย่างสุภาพว่ามีส่วนลดสำหรับการอยู่ระยะยาวไหม ผู้ให้เช่าบางรายอาจลดหรือแถมบริการให้ นอกจากนี้การเลือกทำเลนอกโซนท่องเที่ยวหรืออาคารที่สร้างมาหลายปี (ไม่ใหม่ล่าสุด) ก็ทำให้ได้ค่าเช่าที่ถูกลงโดยคุณภาพยังรับได้

  • ถาม: คอนโดให้เช่ากับอพาร์ทเม้นท์ต่างกันอย่างไร ควรเลือกแบบไหนดี?
    ตอบ: คอนโดมิเนียมมักมีคุณภาพการก่อสร้างและสิ่งอำนวยความสะดวกดีกว่า (สระว่ายน้ำ ฟิตเนส ระบบรักษาความปลอดภัย) ห้องตกแต่งสวยงามกว่า เหมาะกับคนที่ให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายและภาพลักษณ์การอยู่อาศัย แต่สัญญายืดหยุ่นน้อย (มักต้อง 6 เดือน-1 ปี) และราคาแพงกว่า อพาร์ทเม้นท์/หอพัก นั้นเรียบง่าย ไม่มีฟังก์ชันหรู แต่ราคาย่อมเยาและเงื่อนไขไม่มาก อยู่ได้ระยะสั้น ๆ หากยังไม่แน่ใจว่าจะอยู่กี่เดือนก็สะดวก ดังนั้นหากคุณมีงบประมาณและจะอยู่ยาว การเช่าคอนโดจะได้ประสบการณ์การอยู่ที่ดีกว่า แต่ถ้างบน้อยหรือต้องการยืดหยุ่นสูง อพาร์ทเม้นท์ก็เป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า อย่างไรก็ตาม ทั้งนี้ขึ้นกับห้องแต่ละที่ด้วย บางครั้งอพาร์ทเม้นท์ใหม่ ๆ ในทำเลดี ๆ ก็ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากคอนโดแต่ถูกกว่า ผู้เช่าจึงควรเทียบเคียงเป็นรายกรณี

  • ถาม: ค่าน้ำค่าไฟในภูเก็ตแพงกว่าที่อื่นไหม?
    ตอบ: อัตราค่าน้ำค่าไฟของการประปาและการไฟฟ้าในภูเก็ต ไม่ต่างจากมาตรฐานกลางของประเทศ (ไฟฟ้าหน่วยละ ~4 บาท, น้ำประปาหน่วยละไม่ถึง 10 บาทสำหรับผู้ใช้ทั่วไป) แต่ในทางปฏิบัติ ผู้เช่ามักจ่ายค่าน้ำไฟผ่านผู้ให้เช่า ซึ่งหลายแห่งบวกเพิ่มเพื่อครอบคลุมค่าบริการ ทำให้ดูเหมือนแพง เช่น คิดค่าไฟหน่วยละ 7 บาท น้ำเหมาห้องละ 200 บาท เป็นต้น ดังนั้นค่าน้ำไฟที่ต้องจ่ายจึงขึ้นกับนโยบายแต่ละที่ ภูเก็ตเองไม่มีค่าบริการพิเศษอะไร ยกเว้นบางเกาะย่อยที่ต้องใช้น้ำบาดาล น้ำราคาอาจสูงขึ้นเล็กน้อย สำหรับค่าไฟ ถ้าใช้เครื่องปรับอากาศบ่อย (ซึ่งอากาศภูเก็ตร้อนเกือบตลอดปี) บิลไฟก็อาจสูงกว่าภาคเหนือที่เย็นกว่า ทั้งนี้ผู้เช่าประหยัดได้ด้วยการเลือกที่ที่คิดอัตราตามจริงหรือมีมิเตอร์แยก และใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ

  • ถาม: ผู้หญิงอยู่คนเดียวเช่าอพาร์ทเม้นท์ในภูเก็ตปลอดภัยไหม?
    ตอบ: โดยภาพรวม ภูเก็ตเป็นเมืองที่ค่อนข้างปลอดภัย สำหรับการอยู่อาศัย แต่การป้องกันไว้ย่อมดีกว่า ผู้หญิงที่อยู่คนเดียวควรเลือกที่พักที่มีระบบรักษาความปลอดภัยดี เช่น มีคีย์การ์ดประตู, กล้องวงจรปิด, รปภ. หรือเจ้าของดูแลตลอด รวมถึงเลือกทำเลที่ไม่เปลี่ยวเกินไป (ติดถนนใหญ่ หรือมีร้านค้าใกล้ ๆ) และทำความรู้จักเพื่อนข้างห้องไว้บ้างก็จะอุ่นใจขึ้น เวลาจะกลับดึกควรเดินทางโดยรถแท็กซี่หรือรถส่วนตัว เลี่ยงการเดินลัดซอยมืด ๆ คนเดียว นอกจากนี้ห้องพักควรมีกลอนหรือสายยูล็อกด้านในเพิ่ม เผื่อกันคนเปิดเข้ามาโดยมิชอบ หากปฏิบัติตามข้อควรระวังทั่วไป การเช่าอยู่คนเดียวที่ภูเก็ตก็ไม่ได้น่ากลัว เนื่องจากคดีอาชญากรรมต่อคนอยู่อาศัยมีน้อยมาก แต่อย่างไรก็ดี ความไม่ประมาทเป็นสิ่งสำคัญ

  • ถาม: เช่าสั้น ๆ 3-6 เดือนในภูเก็ตจะหาได้ไหม?
    ตอบ: ได้ แต่ตัวเลือกอาจจำกัด กว่าการเช่า 1 ปี โดยทั่วไปคอนโดมิเนียมและบ้านเช่าจะอยากได้สัญญา 1 ปี ดังนั้นถ้าต้องการเช่าแค่ 3-6 เดือน ควรมองหา เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ หรือ อพาร์ทเม้นท์ทั่วไป ที่ยืดหยุ่น มีหลายแห่งยอมให้ทำสัญญา 3 เดือนหรือเดือนต่อเดือน (โดยอาจเก็บมัดจำเพิ่มเล็กน้อย) และหากเป็นช่วงโลว์ซีซั่น เจ้าของคอนโดบางรายก็อาจยอมปล่อยระยะสั้นเพื่อมีรายได้ ผู้เช่าควรค้นหาประกาศที่ระบุ “ให้เช่ารายเดือน” หรือสอบถามนายหน้าที่จัดหาห้องระยะสั้นโดยตรง อีกทางหนึ่งคือหาห้องพักรายวันแบบโรงแรมหรือเกสต์เฮาส์ที่มีรายเดือน (หลายโรงแรมในภูเก็ตช่วงนอกฤดูท่องเที่ยวจะมีราคาเช่ารายเดือนถูกกว่าปกติมากเพื่อดึงดูดลูกค้า) อย่างไรก็ดี ค่าเช่าเฉลี่ยต่อเดือนของสัญญาสั้นมักจะแพงกว่าเมื่อเทียบกับสัญญารายปี เพราะเจ้าของคิดรวมความเสี่ยงห้องว่างไว้ด้วย

  • ถาม: ถ้าต้องย้ายออกก่อนครบสัญญาจะโดนปรับอะไรบ้าง?
    ตอบ: ตามสัญญาทั่วไป หากผู้เช่าเลิกสัญญาก่อนกำหนดโดยไม่มีข้อตกลงไว้ล่วงหน้า มักจะถูกริบเงินประกันทั้งหมดเป็นค่าปรับ (เช่น มัดจำ 2 เดือนก็เสียไป 2 เดือนนั้น) นอกจากนี้ถ้าออกกระชั้นไม่แจ้งล่วงหน้า ผู้ให้เช่าอาจขอให้จ่ายค่าเช่าเดือนนั้นเต็มเดือนด้วย แต่หากผู้เช่าอยู่มาพอสมควรแล้ว สามารถต่อรองตามแนวทางที่กฎหมายใหม่ให้สิทธิ เช่น อยู่อย่างน้อย 6 เดือนแล้วแจ้งล่วงหน้า 30 วัน เพื่อขอคืนมัดจำ ทั้งนี้อยู่ที่การเจรจา แต่โดยมากเพื่อความราบรื่น ผู้เช่าจะหา “ผู้เช่ารายใหม่” มาแทนตนในสัญญาที่เหลือได้ก็จะง่ายขึ้น ผู้ให้เช่าบางรายยอมคืนมัดจำหรือเก็บเพียงบางส่วนเป็นค่าดำเนินการ ดังนั้นหากรู้ตัวว่าต้องย้ายออกก่อนเวลา ควรรีบแจ้งผู้ให้เช่าเร็วที่สุด พูดคุยด้วยเหตุผลและเสนอตัวช่วยหาคนเช่าต่อ จะเพิ่มโอกาสได้ข้อตกลงที่ไม่เสียหายมาก

  • ถาม: สัญญาเช่าสามารถต่อรองแก้ไขได้หรือไม่?
    ตอบ: สามารถต่อรองได้ ก่อนเซ็น ผู้เช่ามีสิทธิต่อรองแก้ไขเงื่อนไขในสัญญาที่เห็นว่าไม่เป็นธรรมหรือไม่สะดวก เช่น ขอเพิ่มเงื่อนไขยกเลิกสัญญาล่วงหน้า, ขอแก้เรื่องค่าปรับล่าช้าให้ชัดเจน, ขอระบุเรื่องการคืนมัดจำ เป็นต้น ผู้ให้เช่าบางรายอาจใช้สัญญามาตรฐานที่ดาวน์โหลดมา ซึ่งมีบางข้อไม่สอดคล้องกับที่ตกลงกัน ก็สามารถขีดแก้และให้ทั้งสองฝ่ายลงนามกำกับไว้ได้ สิ่งสำคัญคือต้องแก้ไข ก่อนลงนาม และทั้งสองฝ่ายยินยอมตรงกัน หากเซ็นไปแล้วจะปรับแก้ทีหลังทำได้ยากมาก

  • ถาม: ถ้าเจ้าของไม่ทำตามสัญญา ผู้เช่าทำอะไรได้บ้าง?
    ตอบ: ยกตัวอย่างสถานการณ์ เช่น เจ้าของสัญญาว่าจะมาซ่อมแอร์ให้แต่ผัดวันไปเรื่อย ๆ ไม่มาทำซะที ผู้เช่าสามารถทำหนังสือบันทึกเตือนให้ปฏิบัติตามสัญญา ส่งเป็นลายลักษณ์อักษร (เช่น จดหมายหรือข้อความแชทที่มีหลักฐาน) หากยังนิ่งเฉย ผู้เช่าอาจแจ้งความประสงค์ที่จะหาช่างมาซ่อมเองแล้วหักค่าใช้จ่ายจากค่าเช่า แต่ต้องระวังทำอย่างถูกต้องและแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ในกรณีร้ายแรง เช่น เจ้าของละเมิดความเป็นส่วนตัวบ่อยครั้ง ไม่ยอมแก้ไขปัญหาหนัก หรือผิดสัญญารุนแรง ผู้เช่าสามารถใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาได้เช่นกัน (อ้างเหตุว่าผู้ให้เช่าไม่ปฏิบัติตามสัญญา) และเรียกร้องเงินประกันคืน ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมก็อาจต้องพึ่งหน่วยงานภาครัฐช่วยไกล่เกลี่ย เช่น สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคจังหวัด หรือในท้ายที่สุดฟ้องร้องทางศาล ทั้งนี้ ควรพยายามเจรจาประนีประนอมกับผู้ให้เช่าก่อน เพราะหลายกรณีสามารถตกลงกันได้โดยไม่ต้องถึงขั้นกฎหมาย

  • ถาม: สามารถลองอยู่สั้น ๆ ก่อนแล้วค่อยเซ็นยาวได้ไหม?
    ตอบ: บางแห่งโดยเฉพาะคอนโดหรือบ้านเช่าอาจไม่ยอมวิธีนี้ แต่หากเป็นอพาร์ทเม้นท์ของคนไทยทั่วไป ผู้เช่าบางคนจะเช่าแบบเดือนต่อเดือนก่อน 1-2 เดือน เพื่อดูความพึงพอใจ หากดีจึงค่อยตกลงทำสัญญาระยะยาวต่อ ซึ่งจะปลอดภัยสำหรับผู้เช่าเพราะถ้าไม่ถูกใจก็ย้ายได้เลย อย่างไรก็ตาม ก็ต้องแลกกับค่าเช่าอาจแพงกว่าสัญญารายปีเล็กน้อย และบางที่ไม่มีนโยบายนี้ หากผู้ให้เช่าไม่สะดวก เช่น ห้องเป็นที่ต้องการสูง เขาอาจอยากได้สัญญานานทันที ผู้เช่าต้องชั่งน้ำหนักดู ทั้งนี้อีกแนวทางคือขอเช่าระยะสั้น 3 เดือนก่อน โดยบอกว่าจะพิจารณาต่อสัญญา สิ่งสำคัญคือสื่อสารตรง ๆ กับเจ้าของ หลายรายก็เข้าใจความกังวลของผู้เช่าและยินดีให้ลองอยู่ก่อน

  • ถาม: การเช่าที่พักในภูเก็ตต้องแจ้งทะเบียนบ้านหรือแจ้งตำรวจไหม?
    ตอบ: กรณีผู้เช่าเป็น คนไทย ไม่จำเป็นต้องย้ายทะเบียนบ้านตามที่พักชั่วคราว เว้นแต่ต้องการเอง (ส่วนใหญ่คนเช่าไม่เปลี่ยนทะเบียนบ้านเพราะยุ่งยาก) เพียงแต่ถ้าพักเกิน 90 วันในที่อยู่นอกทะเบียนบ้านตัวเอง กฎหมายระบุว่าควรไปลงทะเบียนเป็นผู้อาศัยชั่วคราวที่อำเภอ แต่ในทางปฏิบัติไม่ได้เข้มงวด อย่างมากก็มีผลเวลาใช้สิทธิบัตรทองหรือเลือกตั้งที่จะยึดตามทะเบียนบ้านเดิม ส่วนกรณี ผู้เช่าเป็นชาวต่างชาติ เจ้าของที่พักหรือผู้ให้เช่ามีหน้าที่แจ้งที่พักอาศัยของต่างด้าว (ตามกฎหมาย ตม. เรียกว่าแจ้ง ตม.30 หรือ TM30) ต่อสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองภายใน 24 ชม. ที่ต่างชาติย้ายเข้าพัก ผู้เช่าไม่ต้องไปแจ้งเอง แต่ควรถามให้แน่ใจว่าเจ้าของจะดำเนินการให้ถูกต้อง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเวลาชาวต่างชาติไปต่อวีซ่า

  • ถาม: ปัญหาที่พบได้บ่อยในการเช่าห้องในภูเก็ตมีอะไรบ้าง?
    ตอบ: จากประสบการณ์ของผู้เช่าทั่วไป ปัญหาหลัก ๆ ที่เจอบ่อย เช่น
    ผู้ให้เช่าไม่คืนเงินมัดจำโดยอ้างเหตุจุกจิก – แก้โดยทำบันทึกสภาพห้องตอนย้ายเข้า-ออกชัดเจน และทวงถามตามสิทธิ
    ห้องจริงไม่เหมือนโฆษณา – แก้โดยเข้าดูห้องจริงทุกครั้งก่อนตกลง
    ค่าไฟค่าไฟแพงเกิน – แก้โดยเลือกที่คิดอัตรามาตรฐาน หรือถ้าเลี่ยงไม่ได้ให้ใช้อย่างประหยัด (ปิดแอร์/ไฟเมื่อไม่ใช้)
    เพื่อนบ้านเสียงดังหรือไม่น่าร่วมพักด้วย – แนะนำพูดคุยดี ๆ ก่อน หากไม่ปรับปรุงแจ้งผู้ดูแลอาคารช่วยจัดการ หรือถ้าหนักมากอาจต้องพิจารณาย้ายที่ใหม่
    สภาพอากาศร้อนและฝนชุก – ภูเก็ตร้อนชื้น บางคนเจอปัญหาเช่น เชื้อราในห้อง (จากความชื้น) ให้หมั่นเปิดหน้าต่างระบายอากาศหรือใช้เครื่องลดความชื้นช่วย
    จราจรและการเดินทาง – รถติดบางช่วง, ค่ารถแพง วิธีแก้คือวางแผนเวลาเดินทางและค่าเดินทางดี ๆ หรือพยายามหาที่อยู่ใกล้ที่ทำงาน
    โดยรวมแล้วหากเลือกที่พักเหมาะสม ปัญหาจะน้อยลงและแก้ไขได้ง่ายขึ้น

  • ถาม: สามารถติดต่อหน่วยงานไหนขอคำปรึกษาหรือร้องเรียนเรื่องเช่าได้บ้าง?
    ตอบ: หากมีปัญหาที่เจรจาไม่ลงตัว ผู้เช่าสามารถติดต่อ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) สายด่วน 1166 หรือสำนักงานในจังหวัด เพื่อปรึกษาเรื่องสัญญาเช่าอยู่อาศัย (กรณีผู้ให้เช่าเป็นผู้ประกอบธุรกิจ) นอกจากนี้ ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดภูเก็ต ก็รับเรื่องร้องทุกข์ทั่วไป หรือหากเป็นข้อพิพาททางแพ่งรุนแรง ผู้เช่าสามารถยื่นฟ้องต่อ ศาลแขวง/ศาลจังหวัดภูเก็ต ได้ โดยอาจขอคำแนะนำจากทนายความก่อน สำหรับกรณีถูกข่มขู่ คุกคาม หรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เช่น ผู้ให้เช่าบุกเข้าห้อง ใช้กำลัง สามารถแจ้งความกับ สถานีตำรวจท้องที่ เพื่อดำเนินคดีอาญาได้ทันที

สรุป

    การเช่าอพาร์ทเม้นท์ในจังหวัดภูเก็ตปี 2568 เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนไทยที่ต้องการเข้ามาทำงานหรือใช้ชีวิตในเมืองท่องเที่ยวแห่งนี้ กุญแจสู่ความสำเร็จในการเช่าอยู่ คือการเตรียมตัวที่ดี มีความรู้ความเข้าใจทั้งเรื่องตลาดที่พัก ทำเล ค่าใช้จ่าย ตลอดจนสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายของตน ผู้เช่าควรเริ่มจากกำหนดงบประมาณและความต้องการของตัวเองให้ชัดเจน จากนั้นสรรหาที่พักผ่านหลากหลายช่องทาง เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของแต่ละแห่ง เข้าชมห้องจริงอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะตัดสินใจทำสัญญา ในระหว่างพักอาศัยก็ต้องรักษากฎระเบียบและสื่อสารกับผู้ให้เช่าอย่างสร้างสรรค์ หากพบปัญหาใด ๆ ควรรีบแก้ไขหรือตกลงกันด้วยดี

    หวังว่าคู่มือฉบับนี้จะช่วยให้ผู้อ่านที่เป็นว่าที่ผู้เช่าในภูเก็ต มีความพร้อมและความมั่นใจในการหาที่พักที่เหมาะสม ปลอดภัย และสบายใจที่สุด ไม่ว่าจะเลือกอยู่โซนใดของเกาะ ท้ายที่สุดแล้วการได้อยู่อาศัยในที่ที่ตอบโจทย์ จะช่วยให้การใช้ชีวิตและการทำงานในภูเก็ตเป็นไปอย่างราบรื่น สนุกสนาน และเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำในช่วงเวลาที่ได้มาเยือนไข่มุกแห่งอันดามันแห่งนี้

มี 125 อพาร์ทเมนท์ สำหรับrent ในPhuket บันทึกการค้นหานี้ เพื่อรับอีเมลเมื่อมีอพาร์ทเมนท์สำหรับrentใหม่ลงประกาศในPhuket ราคาประกาศขายเฉลี่ยในPhuket คือ ฿ 77,073 ณ วันที่ 1 May 2023 ขนาดเฉลี่ยคือ 62.9 ตารางเมตร พร้อมห้องนอน 1.4 ห้อง ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรสำหรับอพาร์ทเมนท์ ในPhuket คือ ฿ 114,946 หากคุณไม่พบอสังหาริมทรัพย์สำหรับเช่าที่ตรงตามความต้องการของคุณ ลองค้นหาอพาร์ทเมนท์ที่มีให้ขายในPhuketของเรา Dot Property ยังมีคู่มือที่เป็นประโยชน์ บล็อก และข่าวสารล่าสุดเพื่อช่วยผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในการค้นหา
สมัครรับอีเมลอัพเดทข่าว

อพาร์ตเมนต์ ในทำเลใกล้ ภูเก็ต