บ้านสำหรับขายในประเทศไทย บ้านมือสอง
40,754 ยูนิตภาพรวมตลาดบ้านในไทยปี 2567-2568
ตลาดบ้านในประเทศไทยช่วงปี 2567-2568 มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่เพิ่งฟื้นตัวหลังสถานการณ์โควิด-19:
- อุปสงค์ชะลอตัวในปี 2567: ตลอดปี 2567 ตลาดที่อยู่อาศัยชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปี 2566 ทั้งด้านยอดซื้อขายและซัพพลาย ผู้บริโภคหลายกลุ่มชะลอการตัดสินใจซื้อบ้านใหม่ เนื่องจากกำลังซื้อถูกกดดันโดยเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ราคาสินค้าและดอกเบี้ยเงินกู้ที่อยู่ในระดับสูง ทำให้บ้านกลายเป็นสินทรัพย์ใหญ่ที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ผู้ซื้อจำนวนไม่น้อยเลือก “รอดู” (wait-and-see) ส่งผลให้ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยช่วงต้นปี 2567 หดตัวลงอย่างชัดเจน (ไตรมาส 1 ลดลงถึง -13% YoY ทั้งด้านจำนวนหน่วยและมูลค่า)
- มาตรการกระตุ้นภาครัฐ: ในครึ่งหลังปี 2567 รัฐบาลได้ออก มาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และจดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท (จากเดิมครอบคลุมถึง 3 ล้านบาท) ซึ่งมีผลอย่างมากในการกระตุ้นการซื้อขายบ้านระดับกลางลงมา มาตรการนี้กระตุ้นให้เกิดการเร่งโอนกรรมสิทธิ์บ้านและคอนโดก่อนสิ้นปี 2567 ส่งผลให้ไตรมาส 4/2567 ยอดโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศกลับมาขยายตัว +1.3% YoY เป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 8 ไตรมาส โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียมราคาต่ำกว่า 7 ล้านบาทที่ได้รับอานิสงส์เต็มที่ ยอดโอนฯ เพิ่มขึ้นถึงประมาณ +15% แม้ว่าบ้านแนวราบโดยรวมทั้งปีจะยังมียอดโอนลดลงอยู่ก็ตาม
- สัดส่วนบ้านมือสองสูง: อีกหนึ่งเทรนด์สำคัญคือ บ้านมือสองได้รับความนิยม เนื่องจากราคาบ้านใหม่ปรับสูงขึ้นตามต้นทุนที่ดินและวัสดุก่อสร้าง ผู้ซื้อจำนวนมากหันมามองหาบ้านมือสองสภาพดีที่ราคาย่อมเยากว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 ยอดโอนบ้านแนวราบกว่า 71% เป็นบ้านมือสอง (คิดตามจำนวนหน่วย และคิดเป็น 52% ของมูลค่ารวม) สะท้อนว่าตลาดบ้านมือสองมีบทบาทมากขึ้นอย่างชัดเจน บ้านมือสองมักตั้งอยู่ในทำเลชุมชนเดิม มีสาธารณูปโภคครบ และราคาต่ำกว่าบ้านใหม่ในขนาดที่ดินใกล้เคียงกัน
- ตลาดระดับบนยังทรงตัว: แม้กลุ่มบ้านระดับกลาง-ล่างจะซบเซา แต่ตลาดบ้านระดับบนยังพอมีสัญญาณบวก บ้านเดี่ยวราคา 10 ล้านขึ้นไปมียอดขายเพิ่มขึ้น ในปี 2567 ตรงข้ามกับเซกเมนต์อื่น ๆ โดยกลุ่มผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อสูงไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจมากนัก ยอดโอนบ้านหรูระดับ >10 ล้านในไตรมาส 3/2567 เพิ่มขึ้น ~5.5% YoY สะท้อนว่าดีมานด์บ้านหรูยังแข็งแกร่งจากทั้งผู้ซื้อคนไทยฐานะดีและชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน
- ซัพพลายโครงการใหม่ลดลงเล็กน้อย: ผู้ประกอบการอสังหาฯ ชะลอการเปิดตัวโครงการบ้านจัดสรรใหม่ในปี 2567 เพื่อระบายสต็อกที่มีและรอดูสถานการณ์ตลาด ทั้งปี 2567 คาดว่ามีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลประมาณ 85,000 หน่วย (ลดลง -11% YoY) อย่างไรก็ตามหลายบริษัทปรับกลยุทธ์เปิดโครงการใหม่เป็นเฟสเล็กลง เน้นโปรโมชันกระตุ้นยอดขาย เช่น ฟรีเฟอร์นิเจอร์ ส่วนลดเงินสด เพื่อดึงดูดผู้ซื้อที่ยังลังเล
- แนวโน้มปี 2568 ฟื้นตัว: ก้าวสู่ปี 2568 ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าตลาดบ้านจะปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อน โดยมีปัจจัยหนุนสำคัญคือ
- มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ (เช่น โครงการกระตุ้นการลงทุน การท่องเที่ยว ฯลฯ) ที่จะช่วยเพิ่มกำลังซื้อในประเทศ
- การผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ชั่วคราว โดยธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงินสูงขึ้น (LTV สูงสุด 100-110%) สำหรับการซื้อบ้านหลังที่ 1-2 ช่วง 1 พ.ค. 2568 - 30 มิ.ย. 2569 ทำให้ผู้ซื้อบ้านโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่มีเงินดาวน์จำกัดสามารถกู้ได้มากขึ้น
- เศรษฐกิจและท่องเที่ยวฟื้นตัวเต็มที่: ภาคท่องเที่ยวในปี 2568 มีแนวโน้มกลับมาคึกคักเท่าก่อนโควิด นักท่องเที่ยวต่างชาติที่หลั่งไหลเข้ามาจะส่งผลดีต่อตลาดบ้านในเมืองท่องเที่ยว (เช่น ภูเก็ต พัทยา สมุย) ทั้งด้านการซื้อเพื่ออยู่อาศัยระยะยาวและการลงทุนปล่อยเช่า
ทั้งนี้ REIC (ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ) คาดการณ์ว่า ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศปี 2568 จะเพิ่มขึ้นราว +3.7% จากปี 2567 หรือประมาณ 3.63 แสนหน่วย จากปัจจัยบวกข้างต้น ขณะที่ซัพพลายเปิดใหม่ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลก็จะกลับมาเพิ่มขึ้น ~5% (ประมาณ 89,000 หน่วยในปี 2568) โดยผู้ประกอบการกลับมาเปิดโครงการใหม่มากขึ้นเมื่อเห็นสัญญาณดีมานด์เริ่มฟื้นตัว นับว่าตลาดบ้านไทยกำลังก้าวผ่านจุดต่ำสุดและเริ่มวงจรขาขึ้นอีกครั้งในช่วงปี 2568 นี้
เปรียบเทียบราคาบ้านและผลตอบแทนตามทำเล
ทำเลที่ตั้งเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดระดับราคาและผลตอบแทนการลงทุนของบ้านในไทย ด้านล่างคือการเปรียบเทียบราคาขายและอัตราผลตอบแทนการเช่า (Gross Rental Yield) ในทำเลหลัก ที่ได้รับความนิยมทั้งเพื่ออยู่อาศัยและลงทุน:
|
ทำเล |
ราคากลางบ้าน (บาท) |
ราคากลางต่อตร.ม. (บาท) |
ผลตอบแทนเช่า (ต่อปี) |
|
กรุงเทพฯ |
≈ 15.0 ล้านบาท |
≈ 58,000 บาท/ตร.ม. |
~6.8% ต่อปี |
|
พัทยา (ชลบุรี) |
≈ 9.3 ล้านบาท |
≈ 37,000 บาท/ตร.ม. |
~6.3% ต่อปี |
|
เชียงใหม่ |
≈ 5.3 ล้านบาท |
≈ 25,000 บาท/ตร.ม. |
~5.7% ต่อปี |
|
ภูเก็ต |
≈ 19.1 ล้านบาท |
≈ 61,000 บาท/ตร.ม. |
~5.9% ต่อปี |
|
หัวหิน |
≈ 7.2 ล้านบาท |
≈ 35,000 บาท/ตร.ม. |
~6.2% ต่อปี |
|
เกาะสมุย |
≈ 18.5 ล้านบาท |
≈ 57,000 บาท/ตร.ม. |
~6.9% ต่อปี |
หมายเหตุ: ตัวเลขข้างต้นเป็นราคาและผลตอบแทนเฉลี่ย/ค่ากลางของตลาดบ้านเดี่ยวแต่ละพื้นที่ (อ้างอิงข้อมูลไตรมาสล่าสุดของปี 2567-ต้นปี 2568) ระดับราคาจริงของบ้านแต่ละหลังจะขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้งเจาะจง ขนาดที่ดิน พื้นที่ใช้สอย สภาพและอายุทรัพย์สิน ฯลฯ ส่วนผลตอบแทนเช่า (Gross Yield) คำนวณจากค่าเช่ารายเดือน x 12 หารด้วยราคาบ้าน - ซึ่งอาจแตกต่างในแต่ละทรัพย์สินและประเภทการปล่อยเช่า (เช่าระยะยาว vs เช่ารายวันเพื่อการท่องเที่ยว)
จากตารางจะเห็นได้ว่า กรุงเทพฯและภูเก็ต เป็นทำเลที่ราคาบ้านเฉลี่ยสูงที่สุด (บ้านเดี่ยวส่วนใหญ่มีราคาเกินสิบล้านบาท) เนื่องจากเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวตามลำดับ ขณะที่ เชียงใหม่ มีระดับราคาบ้านย่อมเยาที่สุด (เฉลี่ยประมาณ 5-6 ล้านบาท) ส่วน หัวหินและพัทยา อยู่ในช่วงกลางประมาณ 7-10 ล้านบาทต่อหลัง
ในแง่ ผลตอบแทนการเช่า ทำเลท่องเที่ยวอย่าง เกาะสมุย และ กรุงเทพฯ ให้ผลตอบแทนสูง ~6-7% ต่อปี โดยสมุยโดดเด่นเรื่องปล่อยเช่าวิลล่ารายวันให้นักท่องเที่ยวต่างชาติทำให้ค่าเช่าเฉลี่ยต่อเดือนสูง ส่วนกรุงเทพฯมีดีมานด์เช่าจากทั้งคนไทยและต่างชาติที่มาทำงาน ทำให้ตลาดเช่าคึกคัก ผลตอบแทนอยู่ในเกณฑ์ดี พัทยาและหัวหิน ให้ yield ราว 6% ใกล้เคียงกัน เพราะเป็นเมืองท่องเที่ยวและเมืองตากอากาศยอดนิยมไม่ไกลกรุงเทพฯ ดึงดูดทั้งผู้เช่าระยะยาว (คนทำงานใน EEC และชาวต่างชาติพักเกษียณ) และปล่อยเช่ารายวัน ภูเก็ต yield เฉลี่ย ~5.9% ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง เนื่องจากฐานราคาราคาขายที่สูงมาก (บ้านวิลล่าหรูราคาแพง) แม้ค่าเช่าจะสูงแต่เมื่อเทียบกับราคาซื้อแล้วผลตอบแทนเปอร์เซ็นต์จะถูกถัวเฉลี่ยลงมา ส่วน เชียงใหม่ yield ~5-6% ต่อปี สอดคล้องกับระดับราคาบ้านที่ไม่สูงมาก ตลาดเช่าหลัก ๆ มาจากชาวต่างชาติที่มาอยู่อาศัยระยะยาวและคนไทยที่ทำงานในพื้นที่
นอกจาก 6 ทำเลหลักที่ยกมาเปรียบเทียบข้างต้น ยังมี “ทำเลรอง” อื่น ๆ ที่น่าสนใจสำหรับการซื้อบ้านทั้งอยู่อาศัยเองและลงทุน ซึ่งราคายังไม่สูงเกินไปและมีแนวโน้มเติบโตในอนาคต อาทิ:
- โซนปริมณฑลกรุงเทพฯ: จังหวัดใกล้กรุงอย่าง นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ มีโครงการบ้านจัดสรรใหม่ๆ เกิดขึ้นต่อเนื่อง ราคาถูกกว่าในกรุงเทพฯ (บ้านหลังใหญ่ราคาเริ่ม ~3-5 ล้านบาท) แต่ยังเดินทางเข้าเมืองได้สะดวก เหมาะสำหรับครอบครัวที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น โดยไม่ต้องจ่ายแพงเท่าบ้านในเมือง
- ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC): ทำเล ศรีราชา-ชลบุรี, ระยอง ได้รับแรงหนุนจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและนิคมอุตสาหกรรม ทำให้มีความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บ้านในโซนนี้ยังมีราคาถูกกว่าพัทยา สามารถซื้อไว้รองรับกลุ่มคนทำงานในอุตสาหกรรมและขยายตัวเมืองในอนาคต
- หัวเมืองใหญ่ในภูมิภาคอื่น: อย่าง นครราชสีมา (โคราช) ซึ่งเป็นศูนย์กลางอีสาน, ขอนแก่น อุดรธานี ที่เริ่มมีโครงการใหม่และดีมานด์จากคนท้องถิ่นและชาวต่างชาติที่มาทำงาน, สงขลา (หาดใหญ่) เมืองเศรษฐกิจใต้ที่มีประชากรหนาแน่น บ้านในทำเลเหล่านี้ราคาย่อมเยา (หลักล้านต้นๆ ถึง 2-3 ล้านบาท) และมีศักยภาพการเติบโตตามการพัฒนาโครงข่ายคมนาคม (เช่น รถไฟทางคู่และมอเตอร์เวย์ในภูมิภาค)
- ทำเลท่องเที่ยวรองและเมืองตากอากาศใหม่: เช่น เขาใหญ่-ปากช่อง ที่เป็นแหล่งบ้านพักตากอากาศของคนกรุง, เชียงราย ที่อากาศดีและเงียบสงบ, กาญจนบุรี ที่เริ่มบูมด้านการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ เป็นต้น พื้นที่เหล่านี้อาจไม่ได้มีประชากรมาก แต่ราคาที่ดินยังถูกและมีโอกาสพัฒนาขึ้นหากการท่องเที่ยวเติบโต
สรุปได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นทำเลหลักหรือทำเลรอง ผู้ซื้อควรศึกษาตลาดในพื้นที่นั้นๆ อย่างรอบด้าน ทั้งแนวโน้มราคา ความต้องการเช่า และแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อบ้านได้คุ้มค่าที่สุด
วิเคราะห์กลุ่มผู้ซื้อ (Buyer Persona)
การทำความเข้าใจ “ใคร” คือผู้ซื้อบ้านแต่ละกลุ่ม จะช่วยให้เราวิเคราะห์ความต้องการและปัจจัยที่พวกเขาให้ความสำคัญเมื่อตัดสินใจซื้อบ้าน ดังนี้:
- ครอบครัว (Family): กลุ่มคู่แต่งงานที่มีลูกหรืออยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ มักมองหา บ้านเดี่ยวที่มีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง มีจำนวนห้องนอนเพียงพอสำหรับสมาชิก (3-4 ห้องนอนขึ้นไป) และมีบริเวณพื้นที่สวนหรือที่จอดรถมากเป็นพิเศษ ปัจจัยสำคัญของครอบครัวคือ ทำเลที่ตั้งที่ปลอดภัยและใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับเด็ก เช่น ใกล้โรงเรียนที่มีคุณภาพ โรงพยาบาล สนามเด็กเล่น หรือห้างสรรพสินค้าสำหรับซื้อของใช้ นอกจากนี้ครอบครัวยังใส่ใจเรื่อง สิ่งแวดล้อมของโครงการ (มีรปภ. ดูแล, เพื่อนบ้านเป็นมิตร) และพื้นที่ส่วนกลางในโครงการ (สวนส่วนกลาง สระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกาย) ที่ให้ลูกๆ ได้ทำกิจกรรมนอกบ้านอย่างปลอดภัย บ้านที่ตอบโจทย์ครอบครัวมักเป็นบ้านในโครงการจัดสรรชานเมืองที่สงบ ไม่พลุกพล่าน แต่เดินทางเข้าเมืองไม่ลำบาก และงบประมาณที่ครอบครัวมองหามักอยู่ในช่วง 3-8 ล้านบาท สำหรับบ้านหลังแรก (หรือสูงกว่านั้นในครอบครัวรายได้สูง)
- คนโสดวัยทำงาน - คู่รักไม่มีบุตร (Singles/Couples): ผู้ซื้อกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นวัยทำงานยุคใหม่ที่ยังไม่มีบุตรหรือแต่งงานใหม่ๆ ความต้องการจะแตกต่างจากครอบครัว กลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับ ความสะดวกสบายและไลฟ์สไตล์ใกล้เมือง บ้านที่เลือกอาจไม่ต้องหลังใหญ่โต แต่มักเน้นทำเลที่เดินทางสะดวกใกล้ที่ทำงานหรือใกล้รถไฟฟ้า หากเป็นคนโสดมักเริ่มจากซื้อคอนโดก่อน แต่มีไม่น้อยที่ต้องการ บ้านทาวน์โฮมหรือบ้านเดี่ยวขนาดเล็ก เพื่อพื้นที่ส่วนตัวและสามารถปรับแต่งต่อเติมได้ กลุ่มนี้นิยมทำเลในเมืองหรือใกล้แหล่งไลฟ์สไตล์ (ร้านอาหาร คาเฟ่ แหล่งช้อปปิ้ง) เพราะชีวิตโสด/คู่ไม่มีลูกมีเวลาให้ความบันเทิงส่วนตัวมากกว่า บ้านที่ตอบโจทย์อาจเป็น ทาวน์โฮม 2-3 ชั้นในเมือง หรือ บ้านเดี่ยวขนาดย่อมในโครงการใกล้แหล่งงาน งบประมาณมักสอดคล้องกับรายได้วัยกลางคน เช่น ช่วง 2-5 ล้านบาทสำหรับทาวน์โฮม หรือ 5-10 ล้านบาทสำหรับบ้านเดี่ยวใกล้เมือง คนกลุ่มนี้ยังสนใจเรื่องดีไซน์และฟังก์ชันสมัยใหม่ในบ้าน เช่น สมาร์ทโฮม ระบบรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะ เป็นต้น
- นักลงทุน (Investors): กลุ่มนี้ซื้อบ้านโดยมีเป้าหมายหลักเพื่อการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นปล่อยเช่าหรือเก็งกำไรขายต่อ นักลงทุนจะโฟกัสที่ ผลตอบแทนและศักยภาพการเพิ่มมูลค่า ของทรัพย์สินเป็นหลัก มากกว่าอารมณ์ความรู้สึกเหมือนผู้ซื้ออยู่อาศัยเอง สิ่งที่นักลงทุนมองหา ได้แก่:
- ทำเลที่มีดีมานด์เช่าสูง เช่น ใกล้ย่านธุรกิจ (CBD) ในเมืองกรุง ใกล้นิคมอุตสาหกรรม (บ้านแถบ EEC) หรือในเมืองท่องเที่ยว (ภูเก็ต พัทยา สมุย) เพราะปล่อยเช่าง่ายและได้ค่าเช่าดี
- อัตราผลตอบแทนการเช่า (Rental Yield) คุ้มค่า อย่างน้อย ~5-7% ขึ้นไปต่อปี หรือมีแนวโน้มราคาขึ้นในอนาคตจากโครงการพัฒนาพื้นที่รอบข้าง (เช่น ใกล้รถไฟฟ้า/ทางด่วนที่จะเปิดใหม่)
- บ้านมือสองราคาต่ำกว่าตลาด ก็เป็นที่สนใจ เพราะซื้อมารีโนเวทแล้วขายต่อทำกำไร (flip) ได้ นักลงทุนเหล่านี้จะวิเคราะห์เปรียบเทียบราคาต่อตารางเมตร ค่าเช่าเฉลี่ยในพื้นที่ และค่าใช้จ่ายในการถือครองอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน
- งบลงทุนของนักลงทุนมีความยืดหยุ่น ขึ้นกับโอกาส บางรายเน้นทรัพย์ราคาต่ำหลักล้านปลายๆ ถึง 3 ล้านบาทเพื่อปล่อยเช่าง่าย (เช่น ทาวน์เฮาส์ให้เช่าคนทำงาน) ขณะที่นักลงทุนรายใหญ่ก็ไม่ลังเลที่จะซื้อบ้านหรูสิบกว่าล้านในภูเก็ตหรือกรุงเทพฯ หากเห็นศักยภาพปล่อยเช่ารายวันชาวต่างชาติหรือขายต่อทำกำไรใน 3-5 ปีข้างหน้า
- ผู้เกษียณอายุ (Retirees): ทั้งคนไทยวัยเกษียณและชาวต่างชาติที่มองหาบ้านพักหลังเกษียณ กลุ่มนี้ต้องการ บ้านที่อยู่อย่างสงบและสะดวกสบายในบั้นปลายชีวิต ทำเลยอดนิยมของผู้เกษียณ เช่น เมืองเงียบสงบน่าอยู่ อากาศดี ค่าครองชีพไม่สูง อย่างเชียงใหม่ เชียงราย หัวหิน หรือชานเมืองกรุงเทพฯ ที่ไม่วุ่นวาย บ้านที่มองหามักเป็น บ้านชั้นเดียวหรือสองชั้นที่ออกแบบเป็นมิตรกับผู้สูงอายุ (ไม่มีพื้นต่างระดับมาก มีห้องนอนชั้นล่าง) เพราะคำนึงถึงสุขภาพและการใช้ชีวิตในวัยที่เคลื่อนไหวไม่สะดวกเหมือนเดิม ผู้เกษียณจำนวนมากขายบ้านหลังใหญ่ในเมืองที่ลูกหลานโตแล้ว แล้วย้ายมาอยู่บ้านหลังเล็กลงท่ามกลางธรรมชาติ การเลือกบ้านจึงให้ความสำคัญกับ สิ่งแวดล้อมและชุมชนรอบข้าง เช่น อยู่ใกล้โรงพยาบาลดีๆ หรือมีเพื่อนบ้านวัยใกล้เคียงกัน มีตลาดและร้านสะดวกซื้อไม่ไกล งบประมาณของผู้เกษียณหลากหลายตามฐานะ บางส่วนใช้งบจำกัดหลักล้านต้นๆ จึงนิยมบ้านมือสองต่างจังหวัดราคาถูก ขณะที่บางส่วนมีงบมากจากเงินเกษียณ ก็เลือกซื้อบ้านรีสอร์ทหรูในหัวหินหรือภูเก็ตเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด
- ผู้ซื้อบ้านหลังที่สอง/บ้านพักตากอากาศ: กลุ่มนี้มักเป็นคนที่มีบ้านหลักอยู่แล้ว (ในเมืองหรือบ้านเกิด) และต้องการซื้อบ้านหลังที่สองไว้พักผ่อนในวันหยุดหรือไว้เป็นบ้านตากอากาศ เป็นกลุ่มที่เติบโตขึ้นมากหลังโควิดเพราะเทรนด์ Work from Home ทำให้หลายคนย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดได้ บ้านที่มองหามักอยู่ในเมืองท่องเที่ยวหรือชนบทที่สงบ เช่น บ้านพักบนเขาที่เขาใหญ่ บ้านริมทะเลหัวหิน-ชะอำ หรือวิลล่าวิวทะเลที่สมุย งบประมาณขึ้นกับทำเล ถ้าเป็นบ้านตากอากาศใกล้กรุงเทพฯ อาจใช้บ้านราคา 3-6 ล้าน แต่ถ้าเป็นวิลล่าหรูในแหล่งท่องเที่ยวอาจหลักสิบล้าน ผู้ซื้อกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับ บรรยากาศและวิวทิวทัศน์ ของบ้านเป็นหลัก เพราะซื้อเพื่อไลฟ์สไตล์และความสุขส่วนตัว ดังนั้นบ้านต้องอยู่ในโลเกชั่นที่ตอบโจทย์การพักผ่อน (เช่น วิวภูเขา ทะเล อากาศเย็นสบาย) มากกว่าความสะดวกการเดินทางแบบบ้านหลัก
โดยสรุป Buyer Persona แต่ละแบบมี Pain point และ ความต้องการ ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ผู้ที่กำลังขายบ้านหรือพัฒนาโครงการจึงควรทำการบ้านว่าเซกเมนต์ลูกค้าของตนคือใคร และเน้นจุดขายที่ตอบโจทย์กลุ่มนั้น ๆ เช่น โครงการบ้านสำหรับครอบครัวควรเน้นความปลอดภัยและส่วนกลางสำหรับเด็ก ในขณะที่บ้านสำหรับผู้สูงอายุควรออกแบบ Universal Design เป็นต้น
วิเคราะห์ประเภทบ้านและลักษณะทรัพย์สิน
ตลาดบ้านในไทยมี ประเภทของที่อยู่อาศัยแนวราบ หลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบมีจุดเด่นและข้อควรพิจารณาต่างกัน ดังนี้:
- บ้านเดี่ยว: ที่อยู่อาศัยประเภท บ้านเดี่ยว (Detached House) หมายถึงบ้านหลังหนึ่งบนที่ดินแปลงหนึ่งที่ไม่ใช้ผนังหรือโครงสร้างร่วมกับบ้านหลังอื่น บ้านเดี่ยวเป็นประเภทบ้านที่มีความเป็นส่วนตัวสูงสุด ผู้ซื้อจะได้กรรมสิทธิ์ทั้งตัวบ้านและที่ดินโดยรอบ นิยมในหมู่ครอบครัวและผู้ที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยเยอะ ข้อดีของบ้านเดี่ยวคือ มีพื้นที่รอบบ้านสามารถจัดสวนหรือขยายตัวบ้านในอนาคตได้ ไม่มีเสียงรบกวนจากบ้านติดกันเหมือนทาวน์เฮาส์ แต่ก็แลกมาด้วยราคาที่สูงกว่าบ้านประเภทอื่น เพราะที่ดินเป็นของตัวเองทั้งหมดและต้องรับผิดชอบดูแลเองทั้งหมด ปัจจุบันบ้านเดี่ยวใหม่ๆ ในโครงการจัดสรรจะมีหลายขนาดตั้งแต่ 50-60 ตร.วา ไปจนถึง 100 ตร.วาขึ้นไป ราคาก็แตกต่างตามทำเลและขนาดที่ดิน (เช่น บ้านเดี่ยวชานเมืองกรุงเทพฯ เริ่ม ~4-5 ล้านบาท ในขณะที่บ้านเดี่ยวใจกลางเมืองหรือย่านหรูอาจราคา 20-50 ล้านบาท)
- บ้านแฝด: บ้านแฝด (Twin House หรือ Semi-Detached House) คือบ้านสองหลังที่สร้างติดกันและใช้ผนังด้านหนึ่งร่วมกัน รูปลักษณ์ภายนอกมักดูคล้ายบ้านเดี่ยว แต่จริงๆ แล้วแต่ละยูนิตจะมี ผนังด้านหนึ่งเชื่อมต่อกัน เพื่อลดการใช้พื้นที่ บ้านแฝดมักจะมากับที่ดินขนาดประมาณ 35-50 ตร.วาต่อยูนิต ข้อดีคือได้ความรู้สึกคล้ายบ้านเดี่ยวแต่ราคาถูกลง เพราะผู้พัฒนาใช้ที่ดินคุ้มค่าขึ้น บ้านแฝดรุ่นใหม่หลายโครงการออกแบบให้ผนังที่ติดกันอยู่บริเวณโรงรถหรือพื้นที่เก็บของ เพื่อลดปัญหาเสียงรบกวนระหว่างบ้าน ข้อควรพิจารณาคือบ้านแฝดจะมี ความเป็นส่วนตัวน้อยกว่าบ้านเดี่ยวเล็กน้อย เนื่องจากมีผนังติดกับเพื่อนบ้านด้านหนึ่ง และพื้นที่รอบบ้านด้านติดกันนั้นอาจเป็นแค่รั้วกั้น อย่างไรก็ดี บ้านแฝดเป็นตัวเลือกยอดนิยมในกลุ่มคนที่อยากได้บ้านมีที่ดินเป็นของตัวเองแต่มีงบจำกัด เพราะราคาเริ่มต้นมักถูกกว่าบ้านเดี่ยวประมาณ 20-30%
- ทาวน์เฮาส์/ทาวน์โฮม: ที่อยู่อาศัยประเภท ทาวน์เฮาส์หรือทาวน์โฮม (Townhouse/Townhome) เป็นบ้านที่มีผนังด้านข้างติดกับบ้านอื่นทั้ง 2 ด้าน (ยกเว้นหลังริมแถวที่จะติดด้านเดียว) ลักษณะเป็นบ้านเรียงติดกันเป็นแถว ส่วนใหญ่ในไทยนิยมสร้าง 2-3 ชั้น มีพื้นที่หน้าบ้านเล็กน้อยสำหรับจอดรถ ทาวน์โฮมรุ่นใหม่ๆ มักอยู่ในโครงการที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกและระบบรักษาความปลอดภัยใกล้เคียงบ้านเดี่ยว จุดเด่นคือ ราคาจับต้องได้ เมื่อเทียบกับบ้านเดี่ยว เพราะใช้เนื้อที่ดินน้อยกว่า และเหมาะกับคนที่ต้องการอยู่อาศัยในทำเลเมือง ทาวน์โฮมหลายโครงการตั้งอยู่ใกล้รถไฟฟ้าหรือถนนสายหลัก ทำให้เดินทางสะดวก ข้อจำกัดคือ ความเป็นส่วนตัวต่ำ กว่าบ้านเดี่ยว/บ้านแฝด ผนังที่ติดกันอาจมีเสียงทะลุถึงกันได้บ้าง และโดยมากไม่มีพื้นที่สวนรอบบ้าน อย่างมากก็เป็นลานซักล้างหลังบ้านเล็กๆ ทาวน์โฮมจึงเหมาะกับครอบครัวขนาดเล็กหรือคู่สามีภรรยาที่ยังไม่มีลูก ที่ต้องการบ้านราคาประหยัดและทำเลใกล้เมือง
- บ้านมือสอง: การแบ่งประเภทบ้านอีกมุมหนึ่งคือ บ้านใหม่ vs บ้านมือสอง (บ้านที่ผ่านการครอบครองมาแล้ว) บ้านมือสองมีข้อดีหลักๆ คือ ราคามักถูกกว่าบ้านใหม่ในทำเลและขนาดใกล้เคียงกัน อย่างที่กล่าวถึงก่อนหน้าว่าในตลาดจริง การโอนกรรมสิทธิ์บ้านแนวราบกว่า 70% เป็นบ้านมือสอง เนื่องจากคนซื้อสามารถประหยัดงบประมาณได้มาก และยังได้เห็นสภาพแวดล้อมจริงของบ้าน (เช่น เพื่อนบ้าน สังคมในโครงการ) ก่อนตัดสินใจ จุดเด่นอีกอย่างของบ้านมือสองคือ ต่อรองราคาได้ ยืดหยุ่นกว่าบ้านใหม่ที่ผู้ประกอบการตั้งราคาไว้ตายตัว อย่างไรก็ตาม บ้านมือสองก็มีข้อควรระวัง ได้แก่ สภาพตัวบ้านที่อาจเก่า ต้องตรวจสอบโครงสร้าง ระบบไฟฟ้า ประปา ให้ละเอียด ค่าซ่อมแซมปรับปรุง ต้องเผื่อไว้ในงบด้วย หากเป็นบ้านที่มีอายุ 10-20 ปีขึ้นไป ผู้ซื้อมักต้องรีโนเวทใหม่บางส่วน (ทาสี เปลี่ยนสุขภัณฑ์ ซ่อมหลังคา ฯลฯ) ซึ่งเป็นต้นทุนเพิ่มเติม นอกจากนี้การซื้อบ้านมือสองต้องเช็คเอกสารสิทธิ์และภาระผูกพันต่างๆ ให้รอบคอบ เช่น โฉนดต้องไม่มีการจำนองหรือค้ำประกันใดๆ ค้างอยู่ น้ำไฟค้างชำระหรือไม่ เป็นต้น
- บ้านสร้างเอง vs บ้านโครงการ: ผู้ที่อยากมีบ้านสามารถเลือกได้ระหว่าง ซื้อบ้านในโครงการจัดสรร ที่พัฒนาโดยบริษัทอสังหาฯ หรือ ซื้อที่ดินปลูกบ้านเอง ข้อดีของบ้านโครงการคือ สะดวกและได้มาตรฐานครบวงจร ทั้งแบบบ้านที่ออกแบบมาเรียบร้อย ระบบสาธารณูปโภค (ถนน ไฟฟ้า น้ำประปา ท่อระบายน้ำ) และบางโครงการมีส่วนกลางให้ด้วย (สวน คลับเฮาส์ สระว่ายน้ำ) ผู้ซื้อเข้าอยู่ได้ทันทีหลังโอนบ้าน ลดความยุ่งยากในการบริหารงานก่อสร้างเอง แต่ก็ต้องยอมรับรูปแบบบ้านตามที่โครงการกำหนด (แก้ไขเปลี่ยนแปลงโครงสร้างยาก) และบ้านโครงการมักมี ค่าส่วนกลาง รายเดือน/ปีที่ต้องจ่ายเพื่อดูแลพื้นที่ส่วนกลาง ส่วนบ้านสร้างเองนั้น ผู้ซื้อสามารถซื้อที่ดินเปล่าแล้วจ้างสถาปนิกและผู้รับเหมามาสร้างบ้านตามใจชอบได้ ข้อดีคือได้บ้าน “สไตล์เรา” และวัสดุตามงบประมาณเรา บางครั้งต้นทุนค่าก่อสร้างต่อตารางเมตรอาจถูกกว่าบ้านโครงการ (เพราะไม่มีกำไรผู้ประกอบการ) แต่ข้อเสียคือกระบวนการยุ่งยาก ต้องจัดการเองทุกขั้นตอน ตั้งแต่หาที่ดินขอสินเชื่อกู้สร้างบ้าน ขอใบอนุญาตก่อสร้าง ดูแลงานก่อสร้าง ซึ่งใช้เวลาหลายเดือนถึงเป็นปี และมีความเสี่ยงเรื่องผู้รับเหมาทิ้งงานหรืองบบานปลาย ผู้ที่เลือกปลูกบ้านเองควรมีประสบการณ์หรือความรู้พอตัว และควรมีเวลาควบคุมงานใกล้ชิด จะช่วยลดปัญหาได้
นอกจากนี้ยังมีลักษณะอื่นๆ ที่ผู้ซื้อมองเวลาเลือกบ้าน เช่น จำนวนชั้นของบ้าน - บ้านชั้นเดียวเหมาะกับผู้สูงอายุ ไม่มีบันได เดินสะดวก แต่กินที่ดินมากกว่าบ้านสองชั้นซึ่งเหมาะกับที่ดินเล็ก, บ้านหัวมุมหรือบ้านแปลงใน - บ้านหัวมุมมักได้เนื้อที่เพิ่มและมีความเป็นส่วนตัวสูงกว่า แต่บางคนก็เลี่ยงเพราะติดถนนสองด้าน อาจมีเสียงรบกวน, ทิศทางของบ้าน - คนไทยนิยมบ้านหันทิศเหนือหรือใต้เพื่อแดดไม่ร้อน เป็นต้น ผู้ซื้อควรพิจารณาปัจจัยเหล่านี้ประกอบกับประเภทบ้านเพื่อให้ได้บ้านที่ตรงใจและตอบโจทย์การอยู่อาศัยที่สุด
เคล็ดลับการเลือกซื้อบ้าน (พร้อมข้อกฎหมาย/ค่าใช้จ่ายที่ควรรู้)
การซื้อบ้าน เป็นการตัดสินใจทางการเงินที่ใหญ่และมีรายละเอียดมาก ผู้ซื้อจึงควรเตรียมความพร้อมทั้งด้านข้อมูลและงบประมาณอย่างรอบคอบ ต่อไปนี้คือเคล็ดลับและข้อควรรู้ในการเลือกซื้อบ้านในประเทศไทย:
- กำหนดงบประมาณและวางแผนการเงินให้เหมาะสม: เริ่มแรกผู้ซื้อควรประเมินงบประมาณของตนเองอย่างรัดกุม “เราสามารถซื้อบ้านราคาเท่าไรโดยไม่ลำบากการเงิน?” กฎทั่วๆ ไปคือค่างวดผ่อนบ้านต่อเดือนควรไม่เกิน ~30-40% ของรายได้ครอบครัว เพื่อไม่ให้เป็นภาระเกินไป ดังนั้นดูรายได้และภาระหนี้ที่มี แล้วคำนวณราคาบ้านที่ผ่อนไหว ปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ในไทยมักให้กู้สินเชื่อบ้านได้ 80-100% ของราคาประเมิน (บ้านหลังแรกอาจกู้ได้ 100% ตามเกณฑ์ LTV ที่ผ่อนปรนชั่วคราว) แต่ผู้ซื้อควรมีเงินดาวน์อย่างน้อย 10-20% เพื่อให้ผ่อนต่อเดือนสบายขึ้น นอกจากนี้อย่าลืมเตรียมงบค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์ และเงินสำรองเผื่อกรณีฉุกเฉินหลังย้ายเข้าบ้าน
- ตรวจสอบเครดิตและเปรียบเทียบสินเชื่อ: หากต้องกู้ซื้อบ้าน ควรเช็คเครดิตบูโรของตนเองว่ามีประวัติค้างชำระหรือไม่ เพราะจะมีผลต่อการอนุมัติสินเชื่อ เปรียบเทียบข้อเสนอสินเชื่อบ้าน จากหลายธนาคาร ทั้งอัตราดอกเบี้ย (โปรโมชั่นดอกเบี้ยปีแรก ๆ และ MRR หลังหมดโปร) ระยะเวลาผ่อน (สูงสุด 30-40 ปี) และเงื่อนไขอื่น เช่น ค่าประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA) วงเงินกู้สูงสุด ผู้ซื้ออาจยื่นกู้พร้อมกันหลายธนาคารเพื่อเลือกอัตราดอกเบี้ยที่ดีที่สุด ธนาคารของรัฐอย่าง ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) มักมีโครงการปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับผู้มีรายได้น้อยเป็นช่วงๆ ซึ่งควรติดตามไว้ด้วย
- เลือกทำเลและสำรวจพื้นที่โดยรอบ: Location, Location, Location สุภาษิตนี้ยังจริงเสมอ ทำเลส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและมูลค่าทรัพย์สินในอนาคต เลือกทำเลที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคุณ เช่น ใกล้ที่ทำงานหรือติดทางด่วน/รถไฟฟ้าหากต้องเดินทางบ่อย ใกล้โรงเรียนลูก ใกล้บ้านญาติ ฯลฯ ควรสำรวจพื้นที่รอบๆ บ้านที่สนใจในช่วงเวลาต่างๆ (เช้า เย็น กลางคืน) เพื่อดูสภาพแวดล้อมจริง เช่น ตอนเช้ารถติดมากไหม มีเสียงดังหรือแสงไฟรบกวนตอนกลางคืนหรือไม่ น้ำท่วมขังเวลาฝนตกหรือเปล่า ย่านนั้นปลอดภัยน่าอยู่ไหม (ลองเดินสำรวจในซอยตอนค่ำๆ เพื่อดูความปลอดภัย) ถ้าเป็นบ้านโครงการ ควรดูประวัติผู้พัฒนาว่ามีชื่อเสียงดีไหม โครงการก่อนๆ มีปัญหาหรือเปล่า และเช็ค แผนผังโครงการ (Master Plan) ว่าบ้านหลังที่สนใจอยู่ตำแหน่งไหนในโครงการ (ใกล้ป้อมยาม สวน หรือถังขยะโครงการหรือไม่)
- ตรวจสภาพบ้านอย่างละเอียด: ไม่ว่าจะเป็นบ้านใหม่หรือมือสอง การตรวจบ้าน (Home Inspection) เป็นขั้นตอนสำคัญมาก ก่อนโอนรับบ้านผู้ซื้อควรตรวจสอบตัวบ้านทุกจุด หรือจ้างวิศวกร/ช่างมืออาชีพช่วยตรวจ เพื่อมั่นใจว่าได้บ้านที่มีคุณภาพ ไม่มีปัญหาใหญ่แอบแฝง รายการที่ต้องตรวจ เช่น โครงสร้างบ้าน (มีรอยร้าวหรือไม่), พื้น-ผนัง-ฝ้า (ได้มาตรฐาน เรียบ ไม่มีรอยน้ำรั่วซึม), ระบบไฟฟ้า (ปลั๊ก ไฟ สวิตช์ ใช้งานได้ครบ), ระบบประปา (ลองเปิดน้ำทุกก๊อก เช็คแรงดันน้ำ การระบายน้ำทิ้ง ท่อน้ำไม่รั่ว), หลังคาและรางน้ำฝน (ไม่มีรอยรั่วหรือครอบหลังคาเปิด), ประตู-หน้าต่าง-ลูกบิด (เปิดปิดคล่อง ไม่ติดขัด ไม่มีช่องแสงหรือรอยรั่วลม), สุขภัณฑ์ห้องน้ำ (กดชักโครกไหลดี น้ำไม่ซึมตามขอบ), ถังบำบัด/บ่อเกรอะ (ถ้ามี ควรสอบถามตำแหน่งและวิธีดูแล) เป็นต้น หากพบปัญหาในบ้านใหม่ ควรแจ้งให้ผู้ประกอบการแก้ไขก่อนเซ็นรับมอบ ส่วนบ้านมือสอง หากพบจุดต้องซ่อม ควรประเมินค่าใช้จ่ายและเจรจาต่อรองราคากับผู้ขายตามความเหมาะสม
- ศึกษาข้อกฎหมายและเอกสารสิทธิ์: การซื้อบ้านเกี่ยวข้องกับเอกสารทางกฎหมายหลายอย่าง ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจหรือขอคำปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เอกสารสำคัญได้แก่:
- โฉนดที่ดิน (น.ส.4 จดทะเบียน) ของแปลงที่ตั้งบ้าน - ควรเป็นโฉนดแบบมีเลขที่ชัดเจน ตรวจสอบชื่อเจ้าของตรงกับผู้ขาย และดูผังแปลงว่าไม่มีภาระจำยอมหรือเวนคืนใดๆ แนบอยู่ (ดูด้านหลังโฉนด)
- ใบอนุญาตก่อสร้าง (ถ้ามี) - สำหรับบ้านสร้างเอง ควรขอดูว่าเจ้าของเดิมขออนุญาตถูกต้องจากเทศบาล/อบต. หรือไม่
- ทะเบียนบ้าน - หลังซื้อขายต้องย้ายชื่อเจ้าของใหม่เข้าทะเบียนบ้าน ของเดิมผู้ขายควรย้ายออก
- สัญญาจะซื้อจะขาย - หากมีการวางมัดจำ ควรทำสัญญาลงลายลักษณ์อักษร ชัดเจนเรื่องราคาซื้อขายและเงื่อนไข (เช่น วันโอน ภาระภาษีใครจ่าย มัดจำไม่คืนกรณีใดบ้าง)
- สัญญากู้ยืมและจำนอง - ถ้ากู้ธนาคาร ผู้ซื้อจะมีสัญญากู้เงินและสัญญาจำนองบ้านต่อธนาคาร ณ วันที่โอน ควรอ่านให้เข้าใจถึงดอกเบี้ยและบทลงโทษกรณีผิดนัดชำระ
- หนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (ทด.13) - เอกสารที่ใช้ ณ วันโอนที่กรมที่ดิน ซึ่งระบุราคาซื้อขาย ใช้คำนวณภาษีอากร
- กรณีซื้อบ้านพร้อมที่ดินจากโครงการ - จะมีสัญญาจะซื้อจะขายและสัญญาแนบท้ายต่างๆ เช่น สัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน, สัญญาจะซื้อจะขายสิ่งปลูกสร้าง แยกกัน (เนื่องจากกฎหมายกำหนด) ผู้ซื้อควรอ่านและทำความเข้าใจทุกหน้า และเก็บสำเนาไว้
- คำนวณค่าใช้จ่ายวันโอนและภาษีที่เกี่ยวข้อง: การโอนกรรมสิทธิ์บ้านที่กรมที่ดินจะมี ค่าใช้จ่ายหลักๆ ดังนี้:
- ค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ อัตรา 2% ของราคาประเมินที่ดิน+สิ่งปลูกสร้าง (แต่ในปี 2565-2566 รัฐลดเหลือ 0.01% สำหรับบ้าน/คอนโดราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท และขยายเป็นราคา ≤7 ล้านบาทในปี 2567) กรณีไม่ได้อยู่ในช่วงลดค่าธรรมเนียม ผู้ซื้อขายมักต่อรองแบ่งจ่ายคนละครึ่ง (คนละครึ่งของ 2% คือคนละ 1%)
- ค่าจดจำนอง (กรณีกู้ธนาคาร) อัตรา 1% ของวงเงินกู้ธนาคาร ผู้กู้ต้องเป็นคนจ่าย ค่าใช้จ่ายส่วนนี้
- ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย อัตราก้าวหน้า (ประมาณ 0.5-3% ขึ้นกับราคาขายและจำนวนปีที่ถือครอง) ผู้ขาย เป็นผู้รับภาระ
- ภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% (กรณีผู้ขายถือครอง <5 ปีและไม่ได้อยู่ในทะเบียนบ้านเกิน 1 ปี) หรืออากรแสตมป์ 0.5% (ถ้าขายพ้นเกณฑ์ธุรกิจเฉพาะ) ผู้ขายก็เป็นผู้จ่ายเช่นกัน
- นอกจากนี้มี ค่ามัดจำมิเตอร์ไฟฟ้า/ประปา ที่ต้องเปลี่ยนชื่อ (ไม่กี่ร้อยบาท) และ ค่าส่วนกลางค้างจ่าย (ถ้ามี) ของหมู่บ้านที่ผู้ขายยังไม่ได้ชำระ ซึ่งตามธรรมเนียมผู้ขายควรจ่ายให้ครบจนถึงวันโอน
ผู้ซื้อควรตกลงกับผู้ขายล่วงหน้าว่า “ใครรับผิดชอบค่าใช้จ่ายอะไรบ้างวันโอน” เพื่อไม่มีปัญหาทีหลัง ส่วนใหญ่ผู้ซื้อจะเตรียมเงินมาจ่ายค่าธรรมเนียมโอนฝั่งตนเอง + ค่าจดจำนอง ส่วนผู้ขายรับผิดชอบภาษีต่างๆ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเจรจา ในตลาดบ้านมือสองบางครั้งผู้ขายใจดีอาจรับออกค่าธรรมเนียมโอนทั้งหมดให้ หรือในทางกลับกันผู้ซื้ออาจยอมจ่ายภาษีให้ผู้ขายเพื่อเร่งการปิดดีล เป็นต้น ดังนั้น เขียนระบุในสัญญาจะซื้อจะขายให้ชัดเจน จะดีที่สุด
- เช็คค่าใช้จ่ายหลังซื้อบ้าน: นอกจากค่าใช้จ่ายวันโอนแล้ว หลังเราเป็นเจ้าของบ้านแล้วยังมีค่าใช้จ่ายต่อเนื่องที่ต้องบริหารจัดการ:
- ค่าส่วนกลางหมู่บ้าน: หากบ้านอยู่ในโครงการจัดสรร จะมีค่าบริการส่วนกลางรายเดือน/ปี เพื่อดูแลรักษาพื้นที่ส่วนกลาง ความสะอาด รปภ. และสิ่งอำนวยความสะดวก ค่าใช้จ่ายนี้คิดตามขนาดที่ดินหรือบ้าน (เช่น ตารางวาละ XX บาทต่อเดือน) ผู้ซื้อควรถามนิติบุคคลหมู่บ้านถึงอัตราค่าส่วนกลางและประวัติการขึ้นค่าส่วนกลางที่ผ่านมา เพื่อวางแผนค่าใช้จ่าย
- ค่าซ่อมบำรุงและตกแต่ง: บ้านทุกหลังมีการสึกหรอตามเวลา ควรเตรียมงบประมาณสำหรับการซ่อมแซมเล็กๆ น้อยๆ รายปี (เช่น ทาสีใหม่ทุก 5-10 ปี, ซ่อมแซมหลังคาและรางน้ำ, บำรุงรักษาแอร์) หากซื้อบ้านใหม่จากโครงการ มักมีการรับประกันโครงสร้าง 5-10 ปี และประกันตัวบ้าน 1-2 ปีแรก ผู้ซื้อควรใช้สิทธิตรวจพบปัญหาและแจ้งซ่อมก่อนประกันหมด
- ค่าประกันภัยบ้าน: แนะนำให้ทำ ประกันภัยที่อยู่อาศัย ไว้ เช่น ประกันอัคคีภัย (ไฟไหม้) ซึ่งธนาคารมักบังคับทำเมื่อกู้บ้าน แต่ผู้ซื้อควรพิจารณาประกันที่ครอบคลุมภัยอื่นๆ ด้วย เช่น น้ำท่วม ลมพายุ โจรกรรม เป็นต้น เบี้ยประกันบ้านมักไม่สูงมากเมื่อเทียบกับความคุ้มครอง ช่วยบริหารความเสี่ยงเหตุไม่คาดฝันได้ดี
- ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง: กฎหมายใหม่กำหนดให้บ้านอยู่อาศัยทุกหลัง (รวมคอนโด) ต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างรายปี แต่มี ยกเว้น/ลดหย่อน สำหรับบ้านหลังหลัก - มูลค่าประเมินไม่เกิน 50 ล้านบาทจะได้รับยกเว้นภาษี 100% ดังนั้นโดยมากบ้านทั่วไปที่เราอยู่อาศัยเองจะยังไม่ต้องเสียภาษีนี้ (ยกเว้นบ้านหรูมากๆ) แต่ถ้ามีบ้านหลายหลัง หลังที่ 2 เป็นต้นไปจะต้องเสียภาษีตามอัตราที่เทศบาล/อบต. กำหนด (ประมาณ 0.02% ของราคาประเมินต่อปีสำหรับบ้านอยู่อาศัย) ซึ่งผู้ซื้อหลายรายไม่ทราบมาก่อน ควรสอบถามเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นหลังโอนบ้านเพื่อทราบยอดภาษี (ถ้ามี) และชำระให้ตรงเวลา
- กฎหมายและข้อจำกัดอื่นๆ:
- ชาวต่างชาติซื้อบ้านในไทย: ตามกฎหมายไทย คนต่างชาติไม่สามารถถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินได้ (ยกเว้นกรณีลงทุนใหญ่ 40 ล้านบาทขึ้นไปและได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ) ดังนั้นชาวต่างชาติซื้อบ้านเดี่ยว/ทาวน์โฮมไม่ได้ในนามตนเอง วิธีที่ทำได้คือ ให้คู่สมรสชาวไทยซื้อในชื่อของคู่สมรส (กรณีแต่งงานกับคนไทย) หรือ ซื้อผ่านนิติบุคคลจดทะเบียนไทย (คนต่างชาติถือหุ้นไม่เกิน 49%) หรือ ซื้อสิทธิการเช่าระยะยาว (Leasehold) 30 ปี ซึ่งต่ออายุได้ ทั้งนี้หากคุณเป็นชาวต่างชาติ แนะนำปรึกษาทนายด้านอสังหาฯ เพื่อวางโครงสร้างการถือครองอย่างถูกกฎหมาย สำหรับคนไทยที่ซื้อบ้านเองไม่มีข้อห้ามเป็นพิเศษ ยกเว้นบางโซนที่ดินในเขตความมั่นคง (เช่น พื้นที่ใกล้ชายแดนบางแห่ง) จะซื้อขายกับคนต่างจังหวัดต้องได้รับอนุญาตกระทรวงกลาโหมก่อน เป็นต้น (กรณีนี้พบไม่บ่อย)
- ข้อกำหนดผังเมือง: ถ้าคุณซื้อที่ดินเปล่าเพื่อปลูกบ้านเอง ควรตรวจสอบ สีผังเมืองของแปลงที่ดินนั้น ว่าเป็นสีอะไร แต่ละสีบ่งบอกการใช้ประโยชน์ที่ดิน ผังเมืองสีเหลือง (ที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย) สีส้ม (หนาแน่นปานกลาง) ฯลฯ สามารถปลูกบ้านได้ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นสีเขียว (ชนบทเกษตรกรรม) หรือสีม่วง (อุตสาหกรรม) อาจมีข้อจำกัดหรือสภาพแวดล้อมในอนาคตเปลี่ยนแปลงได้ นอกจากนี้ควรดู ข้อบังคับการก่อสร้าง เช่น เว้นระยะร่นจากเขตที่ดิน เทียบขนาดที่ดินกับแบบบ้านที่จะสร้างว่าผ่านเกณฑ์กฎหมายควบคุมอาคารไหม เป็นต้น
- ระวังมิจฉาชีพและ MOU ที่ไม่เป็นธรรม: ในการซื้อขายบ้านมือสอง ควรระวัง กลโกง เช่น ผู้แอบอ้างเป็นเจ้าของบ้านมาหลอกขาย (วิธีป้องกันคือตรวจโฉนดและขอดูบัตรประชาชนเทียบชื่อทุกครั้ง) หรือสัญญาจะซื้อจะขายที่มีเงื่อนไขไม่เป็นธรรม (เช่น ยึดเงินมัดจำทั้งหมดแม้ผู้ขายผิดสัญญา) ควรอ่านสัญญาทุกบรรทัด ถ้าไม่เข้าใจควรสอบถามหรือขอปรึกษาผู้รู้ อย่ารีบลงนามเพราะเกรงใจ นอกจากนี้ควรทำธุรกรรมการเงินผ่านบัญชีธนาคารที่มีหลักฐาน เช่น แคชเชียร์เช็คในวันโอนหรือโอนผ่านบัญชี อย่าส่งมอบเงินสดก้อนใหญ่โดยไม่มีหลักฐาน
- ใช้บริการมืออาชีพเมื่อจำเป็น: หากคุณไม่มีเวลาศึกษาทุกขั้นตอนละเอียด หรือซื้อบ้านมูลค่าสูงมากๆ การจ้างมืออาชีพช่วยดูแลสามารถลดความเสี่ยงได้ เช่น นายหน้าอสังหาฯ (Real Estate Agent) ที่มีใบอนุญาตและเชี่ยวชาญพื้นที่ จะช่วยคัดกรองบ้านตรงตามต้องการและต่อรองราคาแทนคุณ (โดยทั่วไปผู้ขายเป็นคนจ่ายค่านายหน้า 3% อยู่แล้ว ผู้ซื้อจึงได้บริการฟรี) หรือการปรึกษา ทนายความ/ที่ปรึกษากฎหมาย เพื่อตรวจร่างสัญญา ช่วยทำให้มั่นใจว่าไม่มีข้อเสียเปรียบทางกฎหมาย รวมถึง บริษัทตรวจบ้าน ก่อนโอนก็มีให้บริการหลายเจ้า ซึ่งคิดค่าบริการหลักพันแต่ช่วยชี้จุดแก้ไขในบ้านได้ละเอียด อย่างไรก็ตาม ผู้ซื้อส่วนใหญ่สามารถดำเนินการเองได้ในขั้นตอนมาตรฐาน เพียงแต่ต้องรอบคอบและไม่รีบร้อนเกินไป
สุดท้ายนี้ การซื้อบ้านเป็นเรื่อง “หัวใจนำสมอง” เช่นกัน นอกจากเหตุผลด้านการเงิน ทำเล กฎหมายต่างๆ ที่ต้องคิดอย่างเป็นระบบแล้ว “ความรู้สึก” ก็สำคัญเพราะบ้านจะเป็นที่อยู่อาศัยของเราในระยะยาว ลองถามใจตัวเอง ว่าชอบบ้านหลังนั้นจริงไหม รู้สึกได้เห็นตัวเองและครอบครัวมีความสุขที่นั่นหรือเปล่า บรรยากาศและสังคมตรงกับที่เราฝันไว้ไหม หากทุกอย่างลงตัวทั้งเหตุผลและความรู้สึก ก็มั่นใจได้มากขึ้นในการตัดสินใจซื้อบ้านหลังนั้นครับ
คำถามพบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับการซื้อบ้าน
Q: ควรซื้อบ้านใหม่จากโครงการหรือบ้านมือสองดี?
A: ขึ้นอยู่กับความต้องการและงบประมาณของคุณ บ้านใหม่ ข้อดีคือได้บ้านสภาพสดใหม่ เทคโนโลยีการก่อสร้างและวัสดุทันสมัย ไม่มีใครเคยอยู่อาศัยมาก่อน และมักมีการรับประกันจากผู้ประกอบการ อีกทั้งได้เลือกแปลง/แบบบ้านตามต้องการตั้งแต่ต้น ข้อเสียคือราคาสูงกว่าและสภาพแวดล้อมโครงการอาจยังไม่เต็มร้อย (ต้นไม้ยังไม่โต เพื่อนบ้านยังไม่มาก) ส่วน บ้านมือสอง ข้อดีคือราคาถูกลง สามารถต่อรองได้ และเห็นสภาพแวดล้อมจริง (เพื่อนบ้าน ระบบนิติฯ) บ้านบางหลังตกแต่งพร้อมอยู่ คุ้มค่ากว่า แต่ข้อเสียคือตัวบ้านอาจมีเสื่อมสภาพ ต้องเผื่องบซ่อมบำรุง และขั้นตอนโอนจะยุ่งยากกว่าบ้านโครงการเล็กน้อย (เพราะต้องตรวจเอกสารสิทธิ์ เช็คมิเตอร์น้ำไฟ ค้างค่าส่วนกลาง ฯลฯ) โดยสรุป ถ้ามีงบถึงและอยากได้ความสบายใจ บ้านใหม่ ก็ตอบโจทย์ แต่ถ้างบน้อยหรืออยากได้ทำเลที่บ้านใหม่ราคาเอื้อมไม่ถึง บ้านมือสอง เป็นทางเลือกที่ดี แนะนำให้ตรวจสภาพบ้านมือสองให้ละเอียดหรือจ้างผู้เชี่ยวชาญช่วยสำรวจ จะช่วยให้มั่นใจยิ่งขึ้น
Q: มีเงินเดือนประมาณ 30,000 บาท ซื้อบ้านราคาเท่าไรได้? ต้องดาวน์กี่เปอร์เซ็นต์?
A: โดยทั่วไปธนาคารจะประเมินความสามารถในการผ่อนของผู้กู้จากรายได้และภาระหนี้ ดังสูตรคร่าวๆ ที่ใช้คือ รายได้ต่อเดือน x 40% = จำนวนเงินที่ผ่อนบ้านต่อเดือนได้สูงสุด สมมติเงินเดือน 30,000 ไม่มีหนี้อื่น 40% ของ 30,000 = 12,000 บาท/เดือน อัตราดอกเบี้ยกู้บ้านปัจจุบัน ~6-7% ต่อปี ผ่อน 30 ปี เงินงวด 12,000 บาท จะกู้ได้ประมาณ 1.5 - 1.8 ล้านบาท (ขึ้นกับดอกเบี้ยที่ได้) ดังนั้นบ้านที่เหมาะสมจะราคา ~1.7 - 2 ล้านบาท (ดาวน์สัก 10% = 170,000 และกู้ที่เหลือ) แต่ถ้ามีรายได้อื่นเพิ่มหรือกู้ร่วมกับคู่สมรส รายได้รวมสูงขึ้นก็ซื้อบ้านราคาแพงขึ้นได้ ทั้งนี้ ธนาคารบางแห่งมีสูตรคำนวณต่างกัน และพิจารณาเคสรายบุคคล เช่น ประวัติเครดิต คนมีหนี้บัตรเครดิต/รถยนต์อยู่จะกู้ได้น้อยลง หรืออาชีพฟรีแลนซ์/ค้าขายที่รายได้ไม่แน่นอนธนาคารอาจพิจารณาเข้มงวดกว่า ควรลองปรึกษาเจ้าหน้าที่สินเชื่อของธนาคารเพื่อประเมินวงเงินอย่างแม่นยำอีกครั้ง สำหรับเงินดาวน์ ปกติธนาคารอยากให้มีเงินดาวน์อย่างน้อย 10-20% ของราคาบ้าน (ยิ่งดาวน์เยอะ ดอกเบี้ยยิ่งดีและยอดผ่อนยิ่งน้อย) บางกรณีถ้าผู้กู้ประวัติดีและเป็นบ้านหลังแรก อาจกู้ 100% ได้ (ดาวน์ 0%) แต่จะเหลือภาระค่าจดจำนอง 1% และค่าโอนที่ต้องจ่ายเอง กรณีรายได้ค่อนข้างต่ำแนะนำให้มีเงินดาวน์ 10% เป็นอย่างน้อยเพื่อให้กู้ง่ายขึ้น
Q: ซื้อบ้านมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง?
A: สรุปขั้นตอนหลักๆ ในการซื้อบ้านมีดังนี้:
- ค้นหาบ้านที่ถูกใจ - ผ่านทางออนไลน์ นายหน้า ป้ายประกาศ ฯลฯ คัดเลือกทำเลและงบที่เหมาะสม
- นัดชมบ้านและเปรียบเทียบ - ไปดูสถานที่จริง เปรียบเทียบหลายๆ หลังในโซนเดียวกัน
- วางมัดจำ/ทำสัญญาจะซื้อจะขาย - เมื่อตัดสินใจเลือกบ้าน ให้วางเงินมัดจำตามตกลง (ทั่วไป 5-10% ของราคาบ้าน) และทำสัญญาจะซื้อจะขายระบุราคาซื้อขาย ชื่อผู้ซื้อผู้ขาย กำหนดโอน ภาระภาษีผู้ขาย/ผู้ซื้อ ฯลฯ
- ยื่นกู้สินเชื่อ (ถ้าต้องการ) - นำสัญญาจะซื้อจะขายหรือใบจองไปยื่นกู้ธนาคาร พร้อมเอกสารรายได้ เครดิต ฯลฯ ธนาคารจะประเมินราคาบ้านและอนุมัติวงเงินให้ (ขั้นตอนนี้ใช้เวลา ~2-4 สัปดาห์)
- ตรวจบ้าน (สำหรับบ้านใหม่) - โครงการจะนัดตรวจรับมอบบ้าน แก้ไขงานให้เรียบร้อยก่อนโอน
- นัดวันโอนกรรมสิทธิ์ที่กรมที่ดิน - ผู้ซื้อผู้ขาย (และตัวแทนธนาคารกรณีกู้) ไปสำนักงานที่ดินจังหวัด/เขต โอนกรรมสิทธิ์ เปลี่ยนชื่อในโฉนด ชำระค่าธรรมเนียม/ภาษี/ค่าจดจำนองต่างๆ เรียบร้อย
- รับมอบกุญแจบ้านและขึ้นบ้านใหม่ - หลังโอนเสร็จ บ้านเป็นของผู้ซื้อโดยสมบูรณ์ ก็รับโอนกุญแจจากเจ้าของเดิม (หรือตัวแทนโครงการ) เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอน
ในกรณีซื้อบ้านโครงการใหม่ ขั้นตอนจะง่ายขึ้นเล็กน้อยเพราะทางโครงการจัดการให้หลายเรื่อง เช่น ประสานธนาคาร นัดหมายกรมที่ดิน แต่สาระคือคล้ายกัน
Q: คนต่างชาติสามารถซื้อบ้าน/ที่ดินในไทยได้หรือไม่?
A: โดยกฎหมายไทย คนต่างชาติ (ชาวต่างประเทศ 100%) ไม่สามารถถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดิน หรือบ้านที่ติดที่ดินแบบมีกรรมสิทธิ์สมบูรณ์ได้ ยกเว้นบางกรณีเช่น ซื้อในนิคมอุตสาหกรรมหรือมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่ให้สิทธิ์พิเศษ แต่ในทางปฏิบัติทั่วไปต่างชาติซื้อบ้านเดี่ยวหรือทาวน์โฮมในชื่อของตนเอง ไม่ได้ ต่างชาติสามารถซื้อได้เฉพาะ คอนโดมิเนียม (ตามโควต้าต่างชาติ 49% ของโครงการ) อย่างถูกกฎหมาย อย่างไรก็ตาม มีวิธีที่ชาวต่างชาติหลายคนใช้คือ
- แต่งงานกับคนไทย - แล้วจดทะเบียนสมรสและซื้อในชื่อคู่สมรสคนไทย (ทั้งนี้ตอนจดทะเบียนที่ดิน คู่สมรสต่างชาติต้องเซ็นเอกสารยินยอมว่าเงินที่ซื้อเป็นสินสมรสยกให้ฝ่ายไทย)
- เช่าระยะยาว (Leasehold) - ต่างชาติสามารถทำสัญญาเช่าที่ดิน/บ้านจากเจ้าของคนไทยได้ นานสูงสุด 30 ปี และต่อสัญญาได้ (เช่าระยะยาวถือว่าถูกกฎหมายและสามารถจดทะเบียนในโฉนด)
- ถือผ่านบริษัทจดทะเบียนไทย - ตั้งบริษัทขึ้นมาโดยให้ตนเองถือหุ้นไม่เกิน 49% และหุ้นส่วนคนไทยถือ 51% (ซึ่งมักเป็น nominee) แล้วให้บริษัทนั้นซื้อบ้าน ครอบครองที่ดินแทน
ทั้งหมดนี้มีข้อจำกัดและความเสี่ยงทางกฎหมายอยู่บ้าง ดังนั้น แนะนำปรึกษาทนาย หากชาวต่างชาติจริงจังจะซื้อบ้านในไทย สำหรับคู่สมรสชาวต่างชาติที่แต่งกับคนไทย หากจะซื้อบ้านเป็นชื่อสองคน (ใส่ชื่อทั้งคนไทยและต่างชาติบนโฉนด) ก็ทำไม่ได้ ต้องเป็นชื่อคนไทยเท่านั้น ต่างชาติเป็นเจ้าของร่วมที่ดินไม่ได้ แต่ถ้าเป็นชื่อคนไทยคนเดียว ต่างชาติสามารถทำ สัญญา Usage/Usufruct ให้ตนเองมีสิทธิ์ใช้อยู่อาศัยในบ้านตลอดชีวิตเพิ่มเติมได้ (ป้องกันความเสี่ยงกรณีเลิกราหรือคู่สมรสถึงแก่กรรม) ส่วนการโอนเงินจากต่างประเทศมาซื้อบ้าน ต้องระวังเอกสารหลักฐานการโอนเงินให้ถูกต้องเพื่อเวลาเอาเงินออกนอกประเทศ จะได้ไม่ติดขัด
Q: ค่าใช้จ่ายวันโอนบ้านมีอะไรบ้าง ใครเป็นคนจ่าย?
A: ค่าใช้จ่ายวันโอนกรรมสิทธิ์ที่สำนักงานที่ดิน มีหลักๆ ดังนี้:
- ค่าธรรมเนียมการโอน 2% ของราคาประเมินที่ดิน+บ้าน - ตามธรรมเนียมมักแบ่งจ่ายคนละครึ่ง ระหว่างผู้ซื้อ-ผู้ขาย (ตกคนละ 1%) แต่บางครั้งต่อรองให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งออกทั้งหมดได้ ขึ้นกับที่ตกลงกันในสัญญาจะซื้อจะขาย
- ค่าจดจำนอง 1% ของวงเงินกู้ธนาคาร - ผู้ซื้อ/ผู้กู้ชำระ (กรณีกู้เงิน หากไม่กู้ไม่มีค่านี้)
- ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย - คำนวณตามราคาประเมินและปีที่ถือครอง ผู้ขายชำระ (เป็นภาษีรายได้จากการขายอสังหาฯ ซึ่งเก็บ ณ วันโอนเลย ผู้ซื้อไม่ต้องเสีย)
- ภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% - ผู้ขายชำระ กรณีถือครอง <5 ปีและชื่อในทะเบียนบ้าน <1 ปี ถ้าไม่เข้าเกณฑ์นี้จะเสียเป็นอากรแสตมป์ 0.5% แทน
- ค่าอากรแสตมป์ 0.5% - ผู้ขายชำระ (กรณีไม่เสียธุรกิจเฉพาะ ก็จะเสียอากรตัวนี้)
โดยสรุปผู้ขายรับผิดชอบภาระภาษีต่างๆ เป็นหลัก ผู้ซื้อมีหลักๆ คือค่าธรรมเนียมโอนฝั่งตนกับค่าจำนอง แต่ทั้งนี้ทุกอย่าง ต่อรองได้ ก่อนวันโอน ควรเขียนระบุในสัญญาจะซื้อจะขายชัดเจน เช่น “ผู้ขายออกค่าธรรมเนียมโอนทั้งหมด ผู้ซื้อออกค่าจำนองของตนเอง ผู้ขายออกภาษีเงินได้-ธุรกิจฯ” เป็นต้น
Q: ซื้อบ้านเพื่อปล่อยเช่าคุ้มไหม ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่าไร?
A: หากมองการปล่อยเช่าอย่างเดียว บ้านมีผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 4-6% ต่อปี ของมูลค่าบ้าน (กรณีปล่อยเช่าระยะยาว) ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปานกลางเมื่อเทียบกับการลงทุนประเภทอื่น ผลตอบแทนจะสูงหรือต่ำขึ้นกับทำเลและประเภทบ้าน เช่น บ้านทาวน์โฮมในนิคมฯ ปล่อยเช่าวันละ 8,000 บาท/เดือน บ้านราคาซื้อ 1.5 ล้านบาท Yield จะสูงถึง ~6.4% แต่ถ้าเป็นบ้านเดี่ยวในกรุงราคา 10 ล้าน ค่าเช่าอาจ ~25,000 บาท Yield เพียง 3% กว่า อย่างไรก็ดี การลงทุนบ้านปล่อยเช่ามีข้อดี คือมีสินทรัพย์ที่มูลค่าขึ้นตามกาลเวลา (Capital Gain) ด้วย นอกจากค่าเช่า ยังมีโอกาสกำไรจากราคาบ้านที่สูงขึ้นเมื่อขายในอนาคต เฉลี่ยแล้วราคาบ้านในไทยเติบโตราว 3-5% ต่อปีในระยะยาว (ขึ้นกับทำเล) ดังนั้นถ้าถือลงทุนระยะยาว 10-20 ปี ผลตอบแทนรวม (ค่าเช่า+กำไรขาย) อาจสูงกว่า 8-10% ต่อปีได้ ซึ่ง “คุ้ม” หรือไม่ขึ้นกับความคาดหวังของผู้ลงทุน หากเทียบกับฝากเงินหรือบอนด์ 6% ก็ถือว่าคุ้ม แต่ถ้าเทียบกับลงทุนหุ้นที่หวังผลตอบแทนสองหลัก อสังหาฯ ก็อาจดูไม่หวือหวา ทั้งนี้บ้านให้เช่ายังมีเรื่อง ความสม่ำเสมอของรายได้ (บ้านอาจว่างผู้เช่า 1-2 เดือนระหว่างเปลี่ยนผู้เช่า หรือผู้เช่าค้างค่าเช่า) และ ค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุง ภาษี ที่ต้องหักออกมาคิดด้วย แนะนำว่าถ้าจะลงทุนปล่อยเช่า ควรเลือกทำเลที่มีคนเช่าต่อเนื่อง (ใกล้แหล่งงาน มหาวิทยาลัย) และบริหารจัดการดูแลผู้เช่าให้ดี จะช่วยเพิ่มความคุ้มค่าได้
Q: โครงการบ้านจัดสรรคืออะไร? ต่างจากซื้อที่ดินปลูกบ้านเองอย่างไร?
A: บ้านจัดสรร หมายถึงบ้านที่อยู่ในโครงการหมู่บ้านที่ผู้ประกอบการพัฒนา ที่ดินแปลงใหญ่ถูกแบ่งเป็นแปลงย่อย พร้อมตัดถนน สาธารณูปโภค แล้วสร้างบ้านขายเป็นหลังๆ ให้ลูกค้า ผู้ซื้อจะได้ทั้งตัวบ้านและที่ดินเหมือนบ้านทั่วไป แต่ต้องอยู่ภายใต้ข้อบังคับชุมชนหมู่บ้านนั้นๆ (เช่น สีรั้วต้องเป็นไปตามกำหนด ต่อเติมภายนอกต้องขออนุญาตนิติบุคคล) และมีค่าส่วนกลางที่ต้องจ่ายเพื่อดูแลความเรียบร้อยของโครงการ บ้านจัดสรรมีข้อดีคือ สะดวกและมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ มีระบบความปลอดภัย ประตูทางเข้าออกหมู่บ้านเดียว เพื่อนบ้านได้รับการคัดเลือกในระดับหนึ่ง (เพราะต้องซื้อบ้านราคาใกล้เคียงกัน) เหมาะกับคนเมืองสมัยใหม่ ส่วน ซื้อที่ดินปลูกบ้านเอง ก็คือการซื้อที่ดินเปล่าในชุมชนทั่วไปแล้วจ้างสร้างบ้านเอง ข้อดีคือ อิสระในการออกแบบ ไม่ต้องขึ้นกับกฎหมู่บ้านจัดสรร (อยากเลี้ยงสัตว์ หลายโครงการหมู่บ้านไม่ให้เลี้ยง เป็นต้น) และไม่ต้องเสียค่าส่วนกลางรายปี แต่ข้อที่ต้องแลกมาคือคุณต้อง จัดการทุกอย่างเอง ดังที่กล่าวในหัวข้อก่อน ทั้งการหาที่ดิน ออกแบบบ้าน ขอก่อสร้าง ซ่อมบำรุงดูแลเอง ไม่มีนิติบุคคลมาช่วยจัดเก็บขยะ ดูแลความปลอดภัย หรือตัดต้นไม้ส่วนกลางอะไรให้ ดังนั้นถ้าชอบความง่ายและมีสังคมพร้อมอยู่ บ้านจัดสรรก็ตอบโจทย์ แต่ถ้าอยากได้ความเป็นส่วนตัวสูงสุดและไม่ชอบกฎระเบียบชุมชน การมีที่ดินและปลูกบ้านเองก็จะเหมาะสมกว่า
Q: ทำไมช่วงนี้โฆษณาบ้านใหม่ลดค่าโอน-จดจำนองเหลือ 0% หมดเขตสิ้นปี เป็นจริงไหม?
A: เป็นจริงส่วนหนึ่งครับ เนื่องจากภาครัฐได้มีมติ ลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนองเหลือ 0.01% ตั้งแต่ช่วงปี 2564 เป็นต้นมาเพื่อกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ซึ่งมาตรการนี้ต่ออายุมาหลายครั้ง ล่าสุดครอบคลุมบ้านใหม่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท (และปลายปี 2566 ขยายเพดานถึง 7 ล้านบาท) หมายความว่าหากซื้อบ้านในช่วงที่มาตรการมีผลและเข้าเกณฑ์ราคา ค่าธรรมเนียม 2% และค่าจดจำนอง 1% จะลดเหลืออย่างละ 0.01% ซึ่งเกือบเป็น 0 บาทเลย (เช่น ซื้อบ้าน 3 ล้านบาท แต่ละค่าเหลือ 300 บาท) ดังนั้นโครงการบ้านจึงโฆษณาว่า “ค่าโอน 0%” เพื่อจูงใจผู้ซื้อรีบตัดสินใจก่อนหมดเขตมาตรการนั่นเอง อย่างไรก็ดี มาตรการนี้มีระยะเวลาจำกัดตามประกาศรัฐบาล (เช่น ปี 2565-2566) หากท่านซื้อบ้านหลังหมดมาตรการแล้วก็ต้องกลับไปเสียอัตราปกติ 2%+1% อยู่ดี นอกจากนี้เพดานราคาที่ลดค่าธรรมเนียมยังจำกัดอยู่ ถ้าบ้านราคาสูงกว่ากำหนดก็ไม่ได้ลด (เช่น บ้าน 10 ล้าน ยังต้องเสียเต็ม) ดังนั้นตรวจสอบเงื่อนไขมาตรการล่าสุดก่อนเชื่อโฆษณา ส่วนใหญ่แล้วโครงการจะโฆษณาไม่ผิด แต่ “หมดเขตสิ้นปี” หมายถึงหมดเขตตามนโยบายรัฐ ไม่ใช่กลยุทธ์ของโครงการเอง
คอนโดยอดนิยมใน ไทย

ลุมพินี วิลล์ รามคำแหง 26

ป่าตอง ทาวเวอร์ ซีวิว คอนโด

เนเชอรัล พาร์ค พาวิลเลียน