ให้เช่าทาวน์เฮ้าส์ ให้เช่าทาวน์เฮ้าส์มือสอง ในประเทศไทย
4,476 ยูนิตทาวน์เฮ้าส์ให้เช่า – คู่มือเชิงลึกสำหรับผู้เช่าและนักลงทุน (พ.ศ. 2568)
ภาพรวมตลาดเช่าทาวน์เฮ้าส์ไทยปี 2567–2568
ตลาด ทาวน์เฮ้าส์ให้เช่า ในประเทศไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2567–2568 ทั้งด้านดีมานด์และระดับราคา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีแนวโน้มเลือก เช่าทาวน์เฮ้าส์ และที่อยู่อาศัยอื่นๆ แทนการซื้อบ้านมากขึ้น เนื่องจากภาระดอกเบี้ยเงินกู้ที่อยู่ในระดับสูงและเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวช้า ทำให้แนวคิด “Generation Rent” หรือ “ยุคแห่งการเช่า” เบ่งบานในไทย นักเช่าจำนวนมากมองว่าการเช่าช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงิน และหลีกเลี่ยงภาระหนี้ระยะยาวจากการซื้อบ้าน ข้อมูลจาก DDproperty ระบุว่าปริมาณความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม (ความต้องการเช่าสูงกว่าช่วงก่อนโควิดถึง 185%) ส่วนทาวน์เฮ้าส์ก็มีความต้องการเช่าสูงขึ้นราว 11% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนการแพร่ระบาด สะท้อนว่าผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยเลือกการเช่าเพื่อลดภาระในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น
อุปทาน (ซัพพลาย): ด้านซัพพลายของทาวน์เฮ้าส์ให้เช่า พบว่าผู้ประกอบการและเจ้าของบ้านรายย่อยนำบ้านแนวราบ (ทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม/ทาวน์เฮ้าส์) เข้าสู่ตลาดเช้ามากขึ้น เพื่อตอบสนองเทรนด์การอยู่อาศัยหลังโควิดที่หลายครอบครัวต้องการพื้นที่ใช้สอยมากขึ้นกว่าห้องชุดคอนโด การสำรวจประกาศออนไลน์พบว่าช่วงราคาค่าเช่าที่มีทรัพย์ในตลาดมากที่สุดคือ ระดับ 10,000–30,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเป็นช่วงราคาที่สอดคล้องกับกำลังเช่าของผู้บริโภคส่วนใหญ่ (โดยเฉพาะทาวน์เฮ้าส์และคอนโดที่ปล่อยเช่าในระดับราคานี้คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง ~35–50% ของตลาดทั้งหมด) นั่นหมายความว่าทั้งผู้เช่าและเจ้าของทรัพย์ต่างโฟกัสที่การตั้งราคาในระดับกลางที่เข้าถึงง่าย ช่วยให้ทรัพย์ปล่อยเช่าได้เร็ว
ระดับค่าเช่าและการปรับตัว: หลังสถานการณ์โรคระบาดผ่านพ้นและเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ค่าเช่าที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นในหลายพื้นที่ของไทย ในกรุงเทพฯ ดัชนีค่าเช่าที่อยู่อาศัยปรับขึ้น ~9% ตลอดปีที่ผ่านมา (YoY) ซึ่งสะท้อนถึงดีมานด์ที่ฟื้นตัวในเมืองใหญ่ที่ค่าครองชีพสูง ขณะที่ภาพรวมทั้งประเทศ ผู้เช่าส่วนใหญ่มองหาทรัพย์ราคากลางถึงราคาถูก ทำให้เซกเมนต์ทาวน์เฮ้าส์ราคาไม่เกิน 20,000 บาทยังคงได้รับความนิยม (ผู้เช่าประมาณ 60% มองหาค่าเช่าไม่เกินสองหมื่นบาทต่อเดือน) ด้านซัพพลายใหม่ ผู้พัฒนาอสังหาฯ รายใหญ่หลายรายได้เปิดตัว โครงการทาวน์โฮม ใหม่ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เน้นจับกลุ่มลูกค้าระดับกลางทั้งที่อยู่อาศัยเองและนักลงทุน ส่งผลให้มีทาวน์เฮ้าส์ใหม่บางส่วนเข้าสู่ตลาดเช่าด้วย (เช่น โครงการในชานเมืองกรุงเทพฯ และปริมณฑล หรือเมืองท่องเที่ยวต่างจังหวัด) อย่างไรก็ตาม ในบางย่านใจกลางเมืองหรือแหล่งท่องเที่ยวสำคัญยังเกิดภาวะ “ทรัพย์มีน้อย ผู้เช่ามีมาก” เป็นระยะ เนื่องจากบ้านเช่าคุณภาพดีราคาสมเหตุสมผลมักถูกจับจองอย่างรวดเร็ว
ผลตอบแทนและแนวโน้ม 5 ปีข้างหน้า: ในมุมมองนักลงทุนที่ซื้อทาวน์เฮ้าส์เพื่อปล่อยเช่า ผลตอบแทนจากการเช่า (Rental Yield) ของทาวน์เฮ้าส์อยู่ในเกณฑ์น่าพอใจเมื่อเทียบกับอสังหาฯ ประเภทอื่น โดยทั่วไปอยู่ราว 5–6% ต่อปี ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ (เช่น เชียงใหม่) และอาจสูงถึง ~8% ในทำเลศักยภาพอย่างภูเก็ตซึ่งมีดีมานด์ต่างชาติสูง ระดับผลตอบแทนนี้ถือว่าใกล้เคียงกับคอนโดมิเนียมปล่อยเช่า แต่ทาวน์เฮ้าส์มีข้อได้เปรียบที่ได้กลุ่มผู้เช่าครอบครัวหรือกลุ่มที่อยู่อาศัยระยะยาวซึ่งมักรักษาทรัพย์สินดีและเช่านานกว่า เมื่อมองไปข้างหน้า แนวโน้ม 5 ปี (2569–2573) คาดว่าตลาดเช่าทาวน์เฮ้าส์จะยังทรงตัวหรือเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป ปัจจัยสนับสนุนได้แก่การขยายตัวของเมืองและโครงสร้างพื้นฐาน (เช่น รถไฟฟ้าสายใหม่, มอเตอร์เวย์เชื่อมภูมิภาค, รถไฟความเร็วสูงในอนาคต) ที่จะทำให้ชานเมืองน่าอยู่อาศัยขึ้นและเพิ่มดีมานด์บ้านเช่าในทำเลใหม่ๆ อีกทั้งนโยบายภาครัฐที่ดึงดูดชาวต่างชาติที่มีกำลังซื้อ (โครงการวีซ่าระยะยาว LTR ฯลฯ) จะช่วยเพิ่มกลุ่มผู้เช่าระยะยาวจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยว ตลอดจนภาวะดอกเบี้ยที่คาดว่าจะทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่องอีกระยะหนึ่ง ยังคงจูงใจให้คนไทยบางส่วนเลือกเช่าก่อนซื้อบ้าน อย่างไรก็ตาม ฝั่งซัพพลายก็อาจเพิ่มขึ้นจากโครงการทาวน์โฮมใหม่ๆ และบ้านมือสองที่ทยอยเข้าสู่ตลาด ซึ่งจะสร้างการแข่งขันให้ผู้ปล่อยเช่าต้องรักษาคุณภาพบ้านและกำหนดราคาค่าเช้าอย่างสมเหตุสมผลเพื่อดึงดูดผู้เช่า
ทาวน์เฮ้าส์ vs ทาวน์โฮม – ความหมายและความแตกต่าง
คำว่า “ทาวน์เฮ้าส์” และ “ทาวน์โฮม” มักถูกใช้อย่างสับสนในตลาดไทย แท้จริงแล้วทั้งสองคำหมายถึงที่อยู่อาศัยประเภทบ้านแถวหรือบ้านผนังติดกันหลายคูหา มีลักษณะเป็นบ้านแนวราบ 2–3 ชั้นขึ้นไป ทว่ามีการใช้คำที่ต่างกันตามบริบททางการตลาดและยุคสมัย:
- ทาวน์เฮ้าส์ – เป็นคำดั้งเดิมที่ใช้เรียกบ้านแถวทั่วไปที่ปลูกติดกันเป็นแนวยาวหลายยูนิต แต่ละยูนิตมีผนังด้านข้างใช้ร่วมกับบ้านข้างเคียง (ยกเว้นหลังริมสุด) โดยมากทาวน์เฮ้าส์ดั้งเดิมมักอยู่ในโครงการบ้านจัดสรรรุ่นเก่าหรือในชุมชนเมืองที่ปลูกสร้างเอง รายละเอียดอาจเรียบง่าย ไม่มีพื้นที่ส่วนกลางมากนัก
- ทาวน์โฮม – ได้รับความนิยมใช้ในวงการอสังหาฯ ช่วงหลัง โดยมักใช้เรียกโครงการบ้านแถวรุ่นใหม่ที่พัฒนาขึ้นมาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกและการออกแบบที่ทันสมัยกว่าเดิม “ทาวน์โฮม” มักมีฟังก์ชันใกล้เคียงบ้านเดี่ยว เช่น พื้นที่ใช้สอยกว้างขวางขึ้น เพดานสูง โปร่ง มีที่จอดรถในตัวบ้าน 1-2 คัน บางโครงการมีส่วนกลางให้ (สวน สระว่ายน้ำ ฟิตเนส) ทำให้ภาพลักษณ์ดูพรีเมียมขึ้น คำนี้จึงเป็นการสร้างภาพลักษณ์ทางการตลาดให้บ้านแถวดูน่าอยู่และทันสมัย
สรุป: โดยเนื้อแท้แล้ว ทาวน์โฮมก็คือทาวน์เฮ้าส์ประเภทหนึ่ง แต่ปรับปรุงการออกแบบและสิ่งอำนวยความสะดวกให้ตอบโจทย์การอยู่อาศัยยุคใหม่มากขึ้น ในบทความนี้เราจะใช้คำว่า “ทาวน์เฮ้าส์” เป็นหลัก แต่ผู้อ่านสามารถเข้าใจได้ว่าครอบคลุมถึงทาวน์โฮมด้วย เมื่อกล่าวถึงการ “เช่าทาวน์เฮ้าส์” ในบริบทปัจจุบัน หลายโครงการที่ปล่อยเช่าก็เป็นทาวน์โฮมรุ่นใหม่ที่มีฟังก์ชันครบครัน เพียงแต่อยู่ในรูปแบบสัญญาเช่าแทนการซื้ออยู่เอง
ข้อดีของการเช่าทาวน์เฮ้าส์ (เทียบกับคอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยว)
สำหรับผู้ที่ยังลังเลระหว่างการ เช่าทาวน์เฮ้าส์ กับที่อยู่อาศัยรูปแบบอื่น เช่น คอนโดมิเนียมหรือบ้านเดี่ยว การเช่าทาวน์เฮ้าส์มีข้อดีเด่นหลายประการที่น่าพิจารณา ดังนี้:
- พื้นที่ใช้สอยกว้างขวางคุ้มค่าเงินกว่า: ทาวน์เฮ้าส์ทั่วไปมีพื้นที่ใช้สอยหลายสิบจนถึงกว่า 100 ตร.ม. มีหลายชั้น (ส่วนใหญ่ 2–3 ชั้น) และแบ่งเป็น 2–4 ห้องนอน ซึ่งในงบประมาณค่าเช่าเท่ากัน ทาวน์เฮ้าส์มักให้พื้นที่และจำนวนห้องมากกว่าคอนโดฯ อย่างชัดเจน เช่น งบประมาณ 15,000 บาท/เดือน หากเช่าทาวน์เฮ้าส์ ผู้เช่าจะได้ “บ้านทั้งหลัง” ที่มีหลายห้องนอนและห้องนั่งเล่น ครัว ที่จอดรถส่วนตัว ขณะที่งบใกล้เคียงกันอาจเช่าคอนโดฯ ได้เพียงห้องชุด 1–2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 30–60 ตร.ม. เท่านั้น ดังนั้นในเชิง พื้นที่ต่อต้นทุน ทาวน์เฮ้าส์ให้ความคุ้มค่ามากกว่า เหมาะสำหรับครอบครัวที่ต้องการพื้นที่หรือผู้ที่ต้องการห้องทำงานแยกเป็นสัดส่วน
- ความเป็นส่วนตัวและบรรยากาศ “บ้าน” มากกว่า: การอยู่อาศัยในทาวน์เฮ้าส์ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากการอยู่บ้านส่วนตัว (บ้านแนวราบ) มากกว่าการอยู่คอนโดฯ ผู้เช่าจะมีทางเข้า-ออกและบริเวณบ้านของตนเอง ไม่มีพื้นที่หรือผนังด้านบน/ด้านล่างที่ต้องใช้ร่วมกับคนอื่น (มีเพียงผนังด้านข้างที่ติดกับบ้านข้างเคียง) ลดปัญหาเสียงรบกวนจากเพื่อนบ้านลงได้มาก อีกทั้งโครงการทาวน์เฮ้าส์มักตั้งอยู่ในซอยหรือชุมชนที่ไม่พลุกพล่าน มีจำนวนหลังไม่หนาแน่นเท่าคอนโดสูง บรรยากาศเงียบสงบเป็นส่วนตัวใกล้เคียงบ้านเดี่ยว แตกต่างจากคอนโดที่มีผู้คนพลุกพล่านและส่วนกลางที่ใช้ร่วมกันหลายร้อยยูนิต
- ที่จอดรถและพื้นที่กลางแจ้งส่วนตัว: จุดเด่นสำคัญของทาวน์เฮ้าส์คือเกือบทุกหลังมีที่จอดรถส่วนตัวหน้าบ้าน 1–2 คัน ตอบโจทย์คนมีรถยนต์ส่วนตัวได้ดีกว่าคอนโดมิเนียม (ซึ่งที่จอดรถมักจำกัดและไม่ได้ประจำทุกยูนิต) นอกจากนี้บริเวณเล็กๆ หน้าบ้านหรือหลังบ้านของทาวน์เฮ้าส์ยังสามารถจัดเป็นพื้นที่กลางแจ้งส่วนตัวได้ เช่น จัดสวนเล็กๆ ปลูกต้นไม้ มุมนั่งเล่นรับอากาศภายนอก สิ่งเหล่านี้คอนโดทำไม่ได้เพราะไม่มีพื้นที่ภายนอกส่วนตัว ผู้เช่าที่ชอบทำกิจกรรมปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ หรือต้องการพื้นที่ให้เด็กวิ่งเล่น จะได้ประโยชน์จากทาวน์เฮ้าส์มากกว่า
- เหมาะกับครอบครัวและการอยู่อาศัยระยะยาว: ด้วยจำนวนห้องและพื้นที่ใช้สอยที่แบ่งสัดส่วนชัดเจน ทาวน์เฮ้าส์จึงเหมาะกับครอบครัว (เช่น คู่สามีภรรยาที่มีลูก หรือครอบครัวขยาย) มากกว่าคอนโดฯ สมาชิกแต่ละคนสามารถมีห้องส่วนตัว ลดการรบกวนกัน และยังมีพื้นที่ส่วนรวม (เช่น ห้องนั่งเล่น พื้นที่รับประทานอาหาร) สำหรับทำกิจกรรมร่วมกัน การอยู่อาศัยในบ้านแนวราบยังให้บรรยากาศผ่อนคลายกว่า การอยู่คอนโดในระยะยาวอาจรู้สึกอึดอัดได้สำหรับบางครอบครัว หลายครอบครัวไทยและต่างชาติที่วางแผนอยู่หลายปีจึงเลือกเช่าทาวน์เฮ้าส์มากกว่าคอนโด
- ยืดหยุ่นเรื่องสัตว์เลี้ยงและการตกแต่ง: คอนโดหลายแห่งในไทยมีกฎห้ามเลี้ยงสัตว์เด็ดขาด แต่การเช่าทาวน์เฮ้าส์เจ้าของหลายรายยินยอมให้เลี้ยงสัตว์ได้ (ขึ้นอยู่กับการตกลงกับเจ้าของบ้านเป็นรายกรณี) ทำให้ผู้เช่าที่มีสัตว์เลี้ยงมีทางเลือกมากกว่า นอกจากนี้ทาวน์เฮ้าส์เป็นบ้านทั้งหลัง ผู้เช้ามักสามารถปรับปรุงตกแต่งภายในได้ยืดหยุ่นกว่าคอนโด เช่น ติดตั้งจานดาวเทียม อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพิ่ม, ติดเครื่องปรับอากาศเพิ่ม, ทาสีผนังใหม่ เป็นต้น (โดยอยู่ในข้อตกลงที่เหมาะสมกับเจ้าของบ้าน) ขณะที่คอนโดมักไม่อนุญาตให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงห้องมากนัก ดังนั้นทาวน์เฮ้าส์จึงให้อิสระในการใช้ชีวิตตามไลฟ์สไตล์ของผู้เช่ามากกว่า
- ค่าเช่าถูกกว่าบ้านเดี่ยวในทำเลใกล้เคียง: สำหรับผู้ที่อยากได้ความรู้สึกอยู่ “บ้าน” (แนวราบ) แต่มีงบประมาณจำกัด ทาวน์เฮ้าส์เป็นทางเลือกที่ดีเพราะค่าเช่าต่ำกว่าบ้านเดี่ยวในทำเลเดียวกันมาก โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ บ้านเดี่ยวปล่อยเช่ามักคิดค่าเช่าสูงกว่าทาวน์เฮ้าส์ 2–3 เท่า เนื่องจากมีที่ดินและพื้นที่ใช้สอยใหญ่กว่า เช่น บ้านเดี่ยวใจกลางเมืองอาจค่าเช่าแตะหลักแสนบาทต่อเดือน แต่ทาวน์เฮ้าส์ในย่านใกล้เคียงอาจเช่าเพียง 30,000–50,000 บาท ทำให้ผู้เช่าสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากแต่ยังได้ประสบการณ์การอยู่อาศัยแบบบ้านแนวราบ มีหลายห้องหลายชั้นใกล้เคียงกัน ทาวน์เฮ้าส์จึงเป็น “จุดกึ่งกลาง” ระหว่างคอนโดกับบ้านเดี่ยว ดึงข้อดีของทั้งสองแบบมารวมกันในราคาที่เข้าถึงง่ายกว่า
หมายเหตุ: แม้การเช่าทาวน์เฮ้าส์จะมีข้อดีหลายประการดังกล่าว แต่ผู้เช่าควรชั่งน้ำหนักกับปัจจัยอื่นๆ ด้วย เช่น ทำเลของทาวน์เฮ้าส์บางแห่งอาจไกลจากรถไฟฟ้าหรือใจกลางเมืองกว่าคอนโดในงบเท่ากัน, บางโครงการไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง (สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส) เหมือนคอนโด หรืออาจต้องดูแลรักษาบ้านเองมากขึ้น (เช่น ดูแลสวน, กำจัดปลวก, บำรุงรักษาระบบต่างๆ ของบ้าน) ดังนั้นการตัดสินใจควรพิจารณาความต้องการและไลฟ์สไตล์ของตนเองร่วมด้วย
ราคาเช่าทาวน์เฮ้าส์ตามทำเลสำคัญทั่วไทย
ทำเลที่ตั้งเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดระดับค่าเช่าและความต้องการของตลาดทาวน์เฮ้าส์อย่างมาก ในประเทศไทยแต่ละพื้นที่จะมีระดับราคาเช่าทาวน์เฮ้าส์ที่แตกต่างกันตามลักษณะเศรษฐกิจและกลุ่มผู้เช่าเป้าหมาย โดยทั่วไป กรุงเทพฯ และปริมณฑลจะมีค่าเช่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือเมืองท่องเที่ยวอย่าง พัทยา และ ภูเก็ต ที่มีกลุ่มชาวต่างชาติอาศัยมาก ส่วนหัวเมืองรองและเมืองท่องเที่ยวขนาดกลางอย่าง เชียงใหม่, หัวหิน, เกาะสมุย จะมีค่าเช่าปานกลางถึงค่อนข้างสูงตามศักยภาพทำเล แต่อาจยังถูกกว่าเมืองหลวง เราได้สรุป ตารางเปรียบเทียบช่วงราคาเช่าทาวน์เฮ้าส์ ในทำเลยอดนิยมต่างๆ ไว้ดังนี้:
ทำเล |
ช่วงค่าเช่า (บาท/เดือน) |
ค่าเช่าเฉลี่ยประมาณ |
หมายเหตุ/ลักษณะเด่น |
กรุงเทพฯ |
7,000 – 100,000+ |
~25,000 – 40,000 (โซนยอดนิยม)<br/>~10,000 – 20,000 (ชานเมือง) |
เมืองหลวง ศูนย์กลางธุรกิจ ค่าครองชีพสูงสุด มีทาวน์เฮ้าส์หลากหลายตั้งแต่บ้านเก่าในชุมชน (ค่าเช่าถูกหลักพันปลายๆ) ไปจนถึงทาวน์โฮมหรูใจกลางเมือง (ค่าเช่าหลักแสน) ผู้เช่าส่วนใหญ่เป็นคนทำงานในเมืองและครอบครัวคนไทย นักการตลาดและชาวต่างชาติบางส่วนที่ประจำในไทย |
พัทยา (ชลบุรี) |
10,000 – 60,000 |
~20,000 – 30,000 |
เมืองท่องเที่ยวชายทะเลใกล้กรุง มีชาวต่างชาติและคนเกษียณอายุพักอาศัยจำนวนมาก ทาวน์เฮ้าส์ราคาปานกลาง ~15k-30k ได้รับความนิยม (ค่าเช่าเฉลี่ยราว 2.3 หมื่นบาท) หากเป็นบ้านมีสระว่ายน้ำหรือใกล้ทะเลค่าเช่าอาจสูงถึง 40k+ ทำเลยอดนิยม เช่น พัทยากลาง, โซนพรอมานาด, พัทยาตะวันออก (เงียบสงบ ราคาถูกกว่า) |
เชียงใหม่ |
8,000 – 25,000 |
~15,000 (ตัวเมืองชั้นใน)<br/>~10,000 (ชานเมือง) |
หัวเมืองใหญ่ภาคเหนือ ค่าครองชีพต่ำกว่ากรุงเทพฯ อย่างมีนัยสำคัญ ทาวน์เฮ้าส์ 2-3 ห้องนอนในตัวเมืองเฉลี่ย ~15k (บางยูนิตพิเศษอาจถึง 20k+) ส่วนชานเมือง/รอบนอก ~8k–15k บาท ดึงดูดทั้งคนท้องถิ่น ข้าราชการ และชาวต่างชาติกลุ่มดิจิทัลโนแมด/เกษียณ ผลตอบแทนการลงทุน ~5–6% ต่อปี ถือว่าน่าสนใจเมื่อเทียบกับความเสี่ยง |
ภูเก็ต |
15,000 – 60,000 |
~30,000 – 40,000 |
เกาะท่องเที่ยวระดับโลก ค่าครองชีพสูง มีชาวต่างชาติระยะยาวจำนวนมาก ค่าเช่าทาวน์เฮ้าส์สูงกว่าจังหวัดอื่นๆ (ปี 2025 ค่ากลางราว 4.7 หมื่นบาท/เดือน) ทาวน์เฮ้าส์ 2–3 ห้องนอนในโซนภูเก็ตทาวน์ ~25k-45k บาท นักเช่าต่างชาติ (ยุโรป รัสเซีย จีน เป็นต้น) ยินดีจ่ายค่าเช่าสูงเพื่อบ้านคุณภาพ – มีรายงานว่าผู้เช่าชาวอเมริกันในภูเก็ตบางส่วนตั้งงบ ~60,000 บาท/เดือนสำหรับทาวน์เฮ้าส์ที่สะดวกสบาย ทำให้บางทำเลสามารถปล่อยเช่าได้ราคาพรีเมียม ผลตอบแทนค่าเช่าค่อนข้างสูง (5–8%) |
หัวหิน (ประจวบฯ) |
7,000 – 30,000 |
~15,000 – 20,000 |
เมืองพักตากอากาศชายทะเลเงียบสงบ เป็นที่นิยมในกลุ่มผู้เกษียณและครอบครัวไทยที่ต้องการบ้านพักตากอากาศ ค่าเช่าทาวน์เฮ้าส์เฉลี่ยถูกกว่าพัทยา/ภูเก็ตมาก ค่าเช่ากลาง ~18,000 บาท/เดือนเท่านั้น (บ้านแถวบางส่วนปล่อยเช่าเพียงหลักหมื่นต้นๆ) บ้านใกล้ทะเลหรืออยู่ในโครงการหรูอาจแตะ 30k+ แต่โดยรวมตลาดยังเป็นมิตรกับผู้เช่า มีซัพพลายบ้านเช่าจำนวนหนึ่งหมุนเวียนตลอดปี |
เกาะสมุย (สุราษฎร์ฯ) |
12,000 – 50,000 |
~25,000 – 30,000 |
เกาะท่องเที่ยวระดับนานาชาติอีกแห่งที่มีทั้งชุมชนชาวต่างชาติและคนไทย ทาวน์เฮ้าส์ได้รับความนิยมในกลุ่ม expat ที่ต้องการพื้นที่มากกว่าคอนโดแต่ไม่แพงเท่าวิลล่า ค่ากลางโดยประมาณ ~2.5–3 หมื่นบาท (ขึ้นกับทำเลย่อย) ทำเล เฉวง และ บ่อผุด คึกคักสามารถปล่อยเช่า ~20k–40k บาท/เดือน ขณะที่ ละไม และ แม่น้ำ บรรยากาศสงบกว่าค่าเช่า ~15k–30k บาทต่อเดือน หากเป็นโครงการหรูย่านไฮเอนด์อย่างปลายแหลมหรือเชิงมน ค่าเช่าอาจแตะ 50k หรือสูงกว่า ผู้เช่าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติที่ทำงานทางไกลหรือกลุ่มเกษียณ ตลอดจนคนไทยที่ทำงานในธุรกิจท่องเที่ยวบนเกาะ |
จากตารางข้างต้น เราสามารถสรุปแนวโน้มที่น่าสนใจได้ดังนี้:
- กรุงเทพฯและปริมณฑล: ทำเลเมืองหลวงยังครองแชมป์ค่าเช่าแพงสุด โดยเฉพาะทาวน์เฮ้าส์ทำเล ใจกลางเมืองชั้นใน (CBD) เช่น สาทร สีลม สุขุมวิทตอนต้น ค่าเช่าอาจสูงถึง 50,000–100,000 บาท/เดือนในบางยูนิต (ทาวน์โฮมใหม่หรืออาคารพาณิชย์ดัดแปลง) เนื่องจากอยู่ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจ แหล่งงาน และระบบขนส่งมวลชน แต่ในขณะเดียวกันก็มีตัวเลือก เช่าทาวน์เฮ้าส์ราคาถูก ในกรุงเทพฯ โซนชานเมืองหรือชุมชนดั้งเดิม เช่น ย่านฝั่งธนบุรี ตอนเหนือ-ตะวันออกของกทม. ที่อาจพบค่าเช่าเพียง 8,000–15,000 บาทสำหรับทาวน์เฮ้าส์เก่า 2 ชั้น หากผู้เช้ายอมแลกกับระยะทางที่ไกลขึ้น กลุ่มผู้เช่าในกทม. มีทั้งคนทำงานวัยหนุ่มสาว ครอบครัวคนไทยระดับกลาง ตลอดจนชาวต่างชาติที่มาทำงานในไทยบางส่วน
- เมืองท่องเที่ยวและหัวเมืองใหญ่: พัทยา ภูเก็ต และเชียงใหม่ เป็นสามทำเลต่างจังหวัดที่ตลาดเช่าทาวน์เฮ้าส์คึกคัก พัทยาและภูเก็ตได้แรงหนุนจากชาวต่างชาติระยะยาว (expat, ผู้เกษียณ, Remote worker) ที่มองหาบ้านเช่าบนทำเลชายทะเล มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ และบรรยากาศน่าอยู่ ทำให้ค่าเช่าเฉลี่ยสูงกว่าจังหวัดทั่วไป โดยเฉพาะภูเก็ตที่มีดีมานด์จากต่างชาติสูงมาก ค่าเช่าเพิ่มขึ้นเร็วจนแตะระดับเฉลี่ย ~3-4 หมื่นต่อเดือน ส่วนเชียงใหม่แม้ไม่มีทะเลแต่มีจุดแข็งด้านไลฟ์สไตล์และอากาศดี ดึงดูดทั้งคนไทยภาคเหนือเองและชาวต่างชาติ (กลุ่มดิจิทัลโนแมด) ที่เข้ามาพำนักหลังยุคโควิด ค่าเช่าเฉลี่ยยังย่อมเยากว่ากรุงเทพฯ ราว 30–40% แต่ก็เริ่มปรับตัวสูงขึ้น ~5–8% ต่อปีในช่วง 2-3 ปีหลัง ย่านในเมืองเชียงใหม่อย่างนิมมานเหมินท์หรือคูเมืองมีการแข่งขันสูง ทาวน์เฮ้าส์คุณภาพดีราคาเหมาะสมมักถูกเช่าเร็ว
- เมืองตากอากาศขนาดกลาง: หัวหิน และ เกาะสมุย เป็นตัวอย่างทำเลท่องเที่ยวที่มีตลาดเช่าทาวน์เฮ้าส์ขนาดไม่ใหญ่มาก แต่มีเอกลักษณ์เฉพาะ กลุ่มผู้เช่าในหัวหินส่วนใหญ่เป็นคนไทยระดับบนที่มองหาบ้านพักผ่อนช่วงวันหยุดและผู้เกษียณอายุที่ต้องการความสงบ ทำให้บ้านเช่าหัวหินไม่เน้นหรูหราเท่าภูเก็ต/พัทยา ค่าเช่าจึงอยู่ในระดับกลางๆ (บ้านแถวทั่วไป 1-2 หมื่นบาท) และค่อนข้างทรงตัวมาหลายปี ด้านเกาะสมุย มีชาวต่างชาติทั้งระยะสั้นและยาวหมุนเวียนเข้ามาต่อเนื่อง ทาวน์เฮ้าส์จึงตอบโจทย์ expat งบกลางๆ ที่ไม่อยากเช่าวิลล่าแพง กลุ่มทำเลอย่างเฉวงและบ่อผุดบนเกาะสมุยมีความต้องการสูงเพราะใกล้หาด ร้านอาหาร แหล่งท่องเที่ยว ทำให้ค่าเช่าในโซนนี้สูงกว่าย่านอื่นเล็กน้อย
โดยสรุป แต่ละทำเลจะมี ระดับราคาค่าเช่าทาวน์เฮ้าส์ที่แตกต่างกันอย่างมาก ตั้งแต่หลักพันปลายๆ จนถึงหลักแสนบาทต่อเดือน ผู้เช่าควรสำรวจตลาดและเปรียบเทียบราคาในทำเลที่สนใจ พร้อมทั้งพิจารณาปัจจัยด้านคุณภาพชีวิต (ใกล้ที่ทำงาน, สิ่งอำนวยความสะดวก, ความปลอดภัย) ควบคู่ไปด้วย เพื่อให้ได้บ้านเช่าที่คุ้มค่าและตรงความต้องการที่สุด
เคล็ดลับการเช่าทาวน์เฮ้าส์ให้คุ้มค่า (สิ่งที่ผู้เช่าควรพิจารณา)
การ เช่าทาวน์เฮ้าส์ ให้ได้บ้านที่คุ้มค่าและตอบโจทย์ จำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยหลายด้านอย่างรอบคอบ นอกจากเรื่องทำเลและงบประมาณ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักแล้ว ยังมีรายละเอียดอื่นๆ ที่ผู้เช่ามือใหม่อาจมองข้าม ต่อไปนี้คือเคล็ดลับและข้อควรสังเกตเพื่อช่วยให้การเช่าทาวน์เฮ้าส์เป็นไปอย่างราบรื่นและคุ้มค่าที่สุด:
- ทำเลที่ตั้งและสภาพแวดล้อม: สำรวจทำเลของทาวน์เฮ้าส์ว่าตั้งอยู่ในบริเวณที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคุณหรือไม่ เช่น ระยะทางถึงที่ทำงาน/โรงเรียน, ความสะดวกในการเดินทาง (ใกล้ถนนใหญ่ รถไฟฟ้า ทางด่วน), สภาพแวดล้อมรอบข้างเงียบสงบหรือวุ่นวายเกินไป, มีร้านสะดวกซื้อ ตลาด หรือห้างใกล้เคียงหรือไม่ นอกจากนี้ควรเยี่ยมชมบริเวณจริงทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อประเมินปัจจัยเรื่องเสียงรบกวน การจราจร แสงสว่างและความปลอดภัยในย่านนั้นๆ
- ขนาดบ้านและการจัดสรรพื้นที่: ตรวจสอบว่าขนาดพื้นที่ใช้สอยของทาวน์เฮ้าส์ (ตร.ม. และจำนวนชั้น) และการแบ่งห้องต่างๆ รองรับความต้องการของผู้อยู่อาศัยทุกคนหรือไม่ เช่น มีห้องนอนเพียงพอกับจำนวนสมาชิกไหม ขนาดห้องนั่งเล่นและครัวเหมาะสมหรือไม่ ถ้ามีผู้สูงอายุอาศัยด้วย ทาวน์เฮ้าส์หลายชั้นอาจไม่สะดวก (ต้องขึ้นลงบันไดบ่อย) ในกรณีนี้อาจมองหาบ้านที่มีห้องนอนชั้นล่าง นอกจากนี้ควรตรวจสอบพื้นที่จอดรถส่วนตัวว่าพอกับจำนวนรถที่มีหรือไม่ (โดยทั่วไปทาวน์เฮ้าส์มีที่จอด 1-2 คัน) และมีพื้นที่สวนหรือระเบียงสำหรับทำกิจกรรมกลางแจ้งตามที่ต้องการหรือเปล่า
- สภาพตัวบ้านและอายุการใช้งาน: พิจารณาความใหม่-เก่าของตัวบ้าน วัสดุอุปกรณ์ และการดูแลรักษา เจ้าของบ้านบางรายอาจปรับปรุงทาสีหรือรีโนเวทบ้านใหม่ก่อนปล่อยเช่า ในขณะที่บางหลังอาจมีสภาพผ่านการใช้งานมานาน ผู้เช่าควรตรวจสอบสภาพพื้น ผนัง หลังคา ประตูหน้าต่าง ระบบไฟฟ้า ประปา เครื่องปรับอากาศ สุขภัณฑ์ ฯลฯ ว่าใช้งานได้ดี ไม่มีปัญหารั่วซึมหรือชำรุดหรือไม่ หากพบจุดไหนชำรุดควรแจ้งเจ้าของบ้านให้ซ่อมก่อนทำสัญญา หรือตกลงเงื่อนไขการซ่อมแซมกันให้ชัดเจน ทั้งนี้บ้านใหม่หรือสภาพดีอาจคิดค่าเช่าสูงกว่านิดหน่อย แต่ก็คุ้มค่ากว่าบ้านราคาถูกแต่สภาพเก่าที่อาจมีค่าซ่อมบำรุงตามมาภายหลัง
- เฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้า: สอบถามว่าบ้านที่จะเช่านั้นให้ เฟอร์นิเจอร์ และ เครื่องใช้ไฟฟ้า อะไรบ้าง บางหลังให้บ้านเปล่า (ผู้เช่าต้องนำของมาเองทั้งหมด) แต่หลายหลังในตลาดปัจจุบันมักให้ “บ้านพร้อมอยู่” มีเฟอร์นิเจอร์ครบหรือบางส่วน เช่น ชุดโซฟา โต๊ะอาหาร เตียง ตู้เสื้อผ้า รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าจำเป็น เช่น แอร์ เครื่องทำน้ำอุ่น เตาแก๊ส/เตาไฟฟ้า ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เป็นต้น หากบ้านไหนมีให้อย่างครบครันก็ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการย้ายเข้าอยู่ อย่างไรก็ตาม ผู้เช่าควรตรวจเช็กสภาพและการใช้งานของเฟอร์นิเจอร์/เครื่องใช้ต่างๆ ด้วยว่าอยู่ในสภาพดี หรือมีอะไรเสียหายตั้งแต่ก่อนเข้าอยู่ (เพื่อบันทึกเป็นหลักฐานป้องกันปัญหาวางมัดจำคืนตอนย้ายออก)
- ค่าใช้จ่ายแฝงและเงื่อนไขการเช่า: ทำความเข้าใจ ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม นอกเหนือจากค่าเช่ารายเดือน เช่น
- ค่าส่วนกลางโครงการ: หากทาวน์เฮ้าส์อยู่ในโครงการหมู่บ้านจัดสรรที่มีรปภ.หรือสิ่งอำนวยความสะดวก ส่วนนี้ใครเป็นผู้รับผิดชอบ (บางครั้งเจ้าของบ้านจะจ่ายค่าส่วนกลางเอง แต่บางกรณีอาจผลักให้ผู้เช่าจ่าย ควรตกลงให้ชัดเจน)
- ค่าน้ำ-ค่าไฟ: โดยปกติผู้เช่าชำระเองตามบิลการประปา/ไฟฟ้า อัตราปกติ (อย่าลืมสอบถามวิธีการโอนมิเตอร์หรือแจ้งชื่อผู้ใช้ไฟฟ้าชั่วคราวหากจำเป็น)
- บริการอื่นๆ: เช่น ค่าอินเทอร์เน็ตบ้าน เคเบิลทีวี หากต้องการใช้อาจต้องติดตั้งและชำระรายเดือนเอง หรือบางแห่งเจ้าของติดตั้งไว้แล้วผู้เช่าจ่ายค่าบริการต่อ
- ค่าดูแลสวน/กำจัดปลวก: บ้านบางหลังอาจมีสวนที่ต้องดูแลหรือทำสัญญากำจัดปลวกปีละครั้ง ผู้เช่าควรสอบถามว่าเจ้าของดูแลให้หรือไม่ อย่างไร
- ค่าทำความสะอาด/ปรับปรุงบ้านเมื่อย้ายออก: บางสัญญาเช่าจะระบุให้ผู้เช่าทำความสะอาดครั้งใหญ่หรือทาสีคืนสภาพเมื่อสิ้นสุดสัญญา ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ควรวางแผนไว้ล่วงหน้า
- เงื่อนไขสัญญาเช่าและเงินประกัน: อ่าน สัญญาเช่า ให้รอบคอบ ทุกประโยค สำคัญมากที่จะต้องเข้าใจเงื่อนไขต่างๆ เช่น ระยะเวลาเช่า (ส่วนใหญ่สัญญา 1 ปี และต่อปีต่อปี บางกรณีอาจต่อรองสั้นกว่านั้นได้แต่ค่าเช่าอาจสูงขึ้น), เงินประกันความเสียหาย (เงินมัดจำ) ที่ต้องวาง – โดยทั่วไปคือ 2 เดือนของค่าเช่า + จ่ายล่วงหน้า 1 เดือน (รวมต้องชำระ ~3 เดือน ณ วันทำสัญญา) เช่น ค่าเช่า 20,000 บาท จะต้องเตรียมประมาณ 60,000 บาทตอนทำสัญญา, เงื่อนไขการคืนเงินประกัน (มักคืนเต็มจำนวนหากไม่มีค่าซ่อมแซมใดๆ หัก), การบอกเลิกสัญญาก่อนกำหนด (ต้องแจ้งล่วงหน้ากี่วัน เดือน) เป็นต้น หากมีข้อใดไม่ชัดเจนควรสอบถามและทำบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรป้องกันปัญหาภายหลัง
- สิทธิในการอยู่อาศัยและข้อจำกัดอื่นๆ: ตรวจสอบนโยบายของเจ้าของบ้านหรือหมู่บ้านต่อประเด็นต่างๆ ที่อาจกระทบการอยู่อาศัย เช่น การเลี้ยงสัตว์ (อนุญาตหรือไม่), สามารถสูบบุหรี่ภายในบ้านได้หรือไม่, มีเคอร์ฟิวในการใช้พื้นที่ส่วนกลาง/ส่งเสียงดังหรือเปล่า รวมถึงสอบถามเพื่อนบ้านใกล้เคียงถึงบรรยากาศชุมชน ถ้าเป็นหมู่บ้านที่มีกฎเข้มงวด (เช่น เรื่องจอดรถหน้าบ้าน เสียงดังหลัง 4 ทุ่ม) เราจะได้รับทราบไว้ก่อน จะได้ปฏิบัติตามหรือพิจารณาว่าเหมาะกับไลฟ์สไตล์เราหรือไม่ นอกจากนี้หากผู้เช่ามีแผนจะดัดแปลงพื้นที่เล็กๆ น้อยๆ เช่น ปลูกต้นไม้ใหญ่ ติดตั้งกันสาด ทำครัวนอกบ้าน ควรแจ้งหรือขออนุญาตเจ้าของล่วงหน้าในสัญญาเช่า เพื่อป้องกันความขัดแย้งในภายหลัง
- การเลือกช่องทางเช่าและตรวจสอบความน่าเชื่อถือ: ปัจจุบันมีแพลตฟอร์มออนไลน์หลายแห่งที่รวมประกาศ เช่าทาวน์เฮ้าส์ ให้ค้นหาได้ง่าย ควรเลือกใช้เว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ มีประกาศอัปเดตและมีตัวตนของผู้ปล่อยเช่าชัดเจน (เจ้าของบ้านหรือนายหน้า) การติดต่อควรนัดดูบ้านจริงก่อนตกลงเช่า อย่าโอนเงินมัดจำก่อนได้เห็นสภาพบ้านและเอกสารสิทธิ์ (เพื่อยืนยันว่าเป็นเจ้าของหรือผู้ได้รับมอบหมายถูกต้อง) หากเช่าผ่านนายหน้า ค่านายหน้าปกติสำหรับการเช่าคือ 50% ของค่าเช่า 1 เดือน (กรณีสัญญา 1 ปี) ซึ่งมักแบ่งจากฝั่งเจ้าของบ้านเป็นผู้จ่าย แต่นายหน้าบางรายอาจคิดจากผู้เช่า ควรตกลงให้แน่ชัดก่อนใช้บริการ
การเตรียมตัวและตรวจสอบรายละเอียดต่างๆ อย่างรอบด้านตามที่กล่าวมานี้ จะช่วยให้ผู้เช่าทาวน์เฮ้าส์ได้บ้านที่ตรงใจและลดโอกาสเกิดปัญหาจุกจิกตามมาภายหลัง ไม่ว่าจะเป็นบ้านเช่าเพื่ออยู่อาศัยเองหรือบ้านเช่าลงทุนเพื่อทำธุรกิจก็ตาม
กลยุทธ์การลงทุนปล่อยเช่าทาวน์เฮ้าส์สำหรับนักลงทุน
สำหรับ นักลงทุน ที่สนใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ประเภท ทาวน์เฮ้าส์/ทาวน์โฮม เพื่อปล่อยเช่าให้เกิดรายได้ประจำ (Passive Income) การมี กลยุทธ์การปล่อยเช่าที่ดี จะช่วยเพิ่มผลตอบแทนและลดความเสี่ยงในการลงทุนได้อย่างมาก ต่อไปนี้เป็นแนวทางสำคัญที่ควรพิจารณา:
- เลือกซื้อทรัพย์ในทำเลศักยภาพ: ขั้นตอนแรกเริ่มตั้งแต่การคัดเลือกทาวน์เฮ้าส์ที่จะซื้อ ควรเน้นทำเลที่มี ดีมานด์เช่าสูง หรือกำลังเติบโต เช่น ใกล้ย่านธุรกิจ ใกล้มหาวิทยาลัย โรงงาน นิคมอุตสาหกรรม หรือย่านชุมชนที่กำลังขยายตัว (เช่น ใกล้แนวรถไฟฟ้า/รถไฟความเร็วสูงที่มีแผนในอนาคต) ทำเลที่ดีจะปล่อยเช่าง่ายกว่าและได้ราคาดีกว่า ยกตัวอย่าง ทาวน์โฮมใกล้รถไฟฟ้า ในกรุงเทพฯ มักปล่อยเช่าได้เร็วเพราะเดินทางสะดวก หรือทาวน์เฮ้าส์ในทำเลยอดนิยมของเมืองท่องเที่ยว (เช่น ใกล้ห้างและชายหาดในพัทยา) ก็มีคนหาตลอด นอกจากทำเลแล้ว ควรเลือกโครงการจากผู้พัฒนาที่น่าเชื่อถือ คุณภาพงานก่อสร้างดี เพราะบ้านใหม่สภาพดีจะลดค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงและดึงดูดผู้เช่าได้มากกว่า
- คำนวณผลตอบแทนและตั้งราคาค่าเช้าอย่างเหมาะสม: ก่อนลงทุน ควรคำนวณ อัตราผลตอบแทนเบื้องต้น (Gross Rental Yield) โดยนำค่าเช่ารายปีหารด้วยราคาที่ซื้อบ้าน แล้วคูณ 100 เพื่อตรวจสอบว่าคุ้มค่าหรือไม่ เช่น หากซื้อทาวน์เฮ้าส์ราคา 3.6 ล้านบาท แล้วปล่อยเช่าเดือนละ 18,000 บาท จะได้ผลตอบแทน = (216,000 ÷ 3,600,000)x100 ≈ 6% ต่อปี ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีเมื่อเทียบกับดอกเบี้ยเงินกู้และความเสี่ยง เมื่อได้ทรัพย์มาแล้ว การตั้ง ราคาค่าเช่า ควรทำการบ้านวิจัยตลาด เปรียบเทียบราคาบ้านเช่าระดับและทำเลใกล้เคียงกัน เพื่อกำหนดราคาที่ แข่งขันได้ ดึงดูดผู้เช่าโดยไม่ต่ำเกินไปจนอัตราผลตอบแทนไม่คุ้ม วิธีหนึ่งคือดูค่าเฉลี่ยตลาดแล้วตั้งราคาประมาณ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อย เพื่อให้ปล่อยเช่าได้เร็ว ลดช่วงว่างบ้าน (vacancy) ซึ่งเป็นต้นทุนแฝง นอกจากนี้ ควรคิดเผื่อ ผลตอบแทนสุทธิ (Net Yield) หลังหักค่าใช้จ่ายต่างๆ (ภาษี, ค่าส่วนกลาง, ค่าซ่อมบำรุง) ด้วย โดยตั้งเป้าหมายผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินกู้อย่างน้อย 2-3% จะช่วยให้การลงทุนมีความคุ้มค่ามากขึ้น
- ปรับปรุงและตกแต่งเพิ่มมูลค่า (ถ้าจำเป็น): หากซื้อทาวน์เฮ้าส์มือสองหรือตกแต่งน้อย การรีโนเวทหรือเติมเฟอร์นิเจอร์บางส่วน จะช่วยให้ปล่อยเช่าได้ง่ายและราคาดีขึ้น นักลงทุนควรตรวจสอบสภาพบ้าน ซ่อมแซมส่วนชำรุด ทาสีใหม่ให้บ้านดูสดใส ตกแต่งเฟอร์นิเจอร์พื้นฐาน ให้ครบ (เช่น เตียง ที่นอน ตู้เสื้อผ้า โซฟา โต๊ะทานอาหาร ผ้าม่าน) รวมถึงติดตั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป็น (แอร์ เครื่องทำน้ำอุ่น เตา ฯลฯ) เพื่อให้บ้าน “พร้อมอยู่ 100%” ผู้เช่าส่วนใหญ่ในตลาดปัจจุบันนิยมบ้านเช่าที่มาพร้อมเฟอร์ครบ จะช่วยตัดสินใจง่ายขึ้นและยอมจ่ายค่าเช่าในอัตราที่สูงขึ้นได้เมื่อเทียบกับบ้านเปล่าไร้เฟอร์ การลงทุนปรับปรุงเล็กน้อยเหล่านี้มักใช้เงินไม่มากเมื่อเทียบกับราคาบ้าน แต่สามารถเพิ่มเสน่ห์ให้บ้านและ เพิ่มค่าเช่าได้อีก 10-20% สบายๆ
- ประกาศหาผู้เช่าอย่างมืออาชีพ: ในยุคดิจิทัล ควรใช้ แพลตฟอร์มออนไลน์ ให้เป็นประโยชน์ในการหาผู้เช่า ลงประกาศบนเว็บไซต์อสังหาเช่าชั้นนำ (เช่น Dot Property, DDproperty) และกลุ่มโซเชียลมีเดียที่เกี่ยวข้อง รูปถ่ายบ้าน ควรจัดเตรียมอย่างมืออาชีพ ถ่ายให้ครบทุกมุมด้วยแสงสว่างเพียงพอ เน้นจุดเด่นของบ้าน เช่น “ทาวน์โฮมตกแต่งใหม่ ใกล้ MRT, มีเฟอร์ครบ หิ้วกระเป๋าเข้าอยู่ได้” การเขียนคำบรรยายก็ควรเน้นจุดขายเหล่านี้ชัดเจน นอกจากนี้ การประสานงานกับ นายหน้าอสังหาฯ ท้องถิ่น ที่เชี่ยวชาญตลาดในย่านนั้นๆ ก็ช่วยเพิ่มโอกาสได้ผู้เช่าเร็วขึ้น เพราะนายหน้ามีเครือข่ายผู้สนใจและสามารถคัดกรองผู้เช่าคุณภาพได้ในระดับหนึ่ง แม้อาจมีค่าใช้จ่ายค่านายหน้า (ทั่วไปประมาณค่าเช่า 1 เดือน สำหรับสัญญา 1 ปี) แต่นับว่าคุ้มถ้าได้ผู้เช่าที่ดีและไม่ต้องปล่อยบ้านว่างนาน
- บริหารสัญญาและความสัมพันธ์กับผู้เช่า: เมื่่อปล่อยเช่าได้แล้ว การรักษาผู้เช่าให้อยู่กับเรานานๆ นั้นสำคัญมากเพื่อลดช่วงบ้านว่างและค่าเสียโอกาสต่างๆ เจ้าของบ้านควรทำสัญญาเช่าที่ครอบคลุม ชัดเจน โปร่งใส เพื่อป้องกันปัญหาขัดแย้ง เช่น ระบุวันครบกำหนดจ่ายค่าเช่า, การซ่อมแซมสิ่งของชำรุดที่เกิดจากการใช้งานปกติใครรับผิดชอบ, เงื่อนไขการต่อสัญญา-ยกเลิกสัญญา เป็นต้น จากนั้นควร สื่อสารอย่างใกล้ชิดกับผู้เช่า มีความเป็นมิตรและพร้อมช่วยเหลือเมื่อผู้เช่าแจ้งปัญหา เช่น ไฟฟ้า น้ำประปาขัดข้อง หลังคารั่ว ฯลฯ ให้รีบดำเนินการซ่อมอย่างรวดเร็ว การแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจจะทำให้ผู้เช้าพึงพอใจและอยากเช่าต่อเนื่องในระยะยาว ซึ่งนั่นหมายถึงรายได้ที่สม่ำเสมอของเรา หากเจอผู้เช่าที่ดี จ่ายตรงเวลา ดูแลบ้านดี ควรรักษาไว้ด้วยการอำนวยความสะดวกและอาจ ไม่ปรับขึ้นค่าเช่า เมื่อครบสัญญาปีแรก หรือเสนอส่วนลดเล็กน้อยสำหรับสัญญาระยะยาว เพื่อจูงใจให้อยู่ต่อ
- บริหารความเสี่ยงและภาระภาษี: อสังหาริมทรัพย์ให้เช่าย่อมมีความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องจัดการ เช่น ความเสี่ยงด้านผู้เช่า – ควรคัดกรองประวัติผู้เช่าก่อนตกลง (ตรวจสอบเครดิต, การงาน, ทัศนคติ) เพื่อลดโอกาสเจอผู้เช่าจ่ายช้าหรือทำบ้านเสียหาย, เงินประกันความเสียหาย – ควรกำหนดเงินประกัน 1-2 เดือนตามเหมาะสม (ส่วนใหญ่ 2 เดือน) เพื่อครอบคลุมความเสียหายหรือกรณีผู้เช่าค้างจ่าย, ประกันภัยบ้านปล่อยเช่า – พิจารณาทำประกันที่ครอบคลุมเหตุไม่คาดฝัน เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม โจรกรรม หรือแม้แต่ความเสียหายที่เกิดจากผู้เช่า ซึ่งจะช่วยปกป้องเงินลงทุนในระยะยาว นอกจากนี้ อย่าลืมเรื่องภาษี – รายได้ค่าเช่าในไทยต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (หากผู้ปล่อยเช่าเป็นบุคคล) โดยสามารถหักค่าใช้จ่ายเหมาได้ 30% ของค่าเช่ารายปี ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้วางแผนภาษีถูกต้องและกันเงินส่วนนี้ไว้ เพื่อป้องกันปัญหาภาษีย้อนหลัง
เมื่อนักลงทุนวางแผนทุกขั้นตอนอย่างรอบคอบตามกลยุทธ์ข้างต้น การปล่อยเช่าทาวน์เฮ้าส์ก็สามารถเป็นการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนสม่ำเสมอและมีโอกาสได้รับ capital gain ในระยะยาวหากมูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มตลาดอสังหา ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าการลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง การศึกษาตลาดและวางแผนอย่างมีกลยุทธ์จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในฐานะนักลงทุนอสังหาฯ ปล่อยเช่า
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับการเช่าทาวน์เฮ้าส์
Q1: การเช่าทาวน์เฮ้าส์ต้องพิจารณาอะไรบ้าง?
A: ผู้เช่าควรพิจารณาหลักๆ คือ ทำเลที่ตั้ง, งบประมาณค่าเช่า, สภาพและขนาดของบ้าน, เงื่อนไขสัญญา และ ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ทำเลควรสะดวกต่อการใช้ชีวิต (ใกล้ที่ทำงาน โรงเรียน ร้านค้า) งบประมาณต้องไม่เกินกำลังและสอดคล้องกับราคาตลาด สภาพบ้านควรอยู่ในเกณฑ์ดี ไม่มีชำรุดที่เป็นปัญหาใหญ่ ขนาดและจำนวนห้องก็ต้องพอดีกับจำนวนผู้อยู่อาศัย ดูด้วยว่ามีที่จอดรถพอหรือไม่ เงื่อนไขสัญญาต้องชัดเจน เช่น ระยะเวลาขั้นต่ำ การต่อสัญญา เงินประกัน และสุดท้ายอย่าลืมถามถึง ค่าส่วนกลาง และค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ว่าใครจ่าย เพื่อจะได้คำนวณค่าใช้จ่ายรวมต่อเดือนถูกต้อง
Q2: ค่าใช้จ่ายแฝงในการเช่าทาวน์เฮ้าส์มีอะไรบ้าง?
A: นอกจากค่าเช่ารายเดือน ผู้เช่าอาจพบ ค่าใช้จ่ายแฝง/เพิ่มเติม เช่น ค่าส่วนกลางหมู่บ้าน (ถ้ามี รปภ. สวนส่วนกลาง สระว่ายน้ำ เป็นต้น), ค่าน้ำ-ค่าไฟ (จ่ายตามจริงรายเดือน), ค่าอินเทอร์เน็ต/เคเบิลทีวี (ถ้าต้องการ), ค่าดูแลสวน กำจัดปลวก (กรณีบ้านมีพื้นที่สวนหรือเจ้าของบ้านกำหนดให้ทำสัญญากำจัดปลวกปีละ 1-2 ครั้ง) และ ค่าแม่บ้านทำความสะอาด (ถ้าผู้เช่าจ้างเพิ่มเติมเอง) นอกจากนี้ตอนทำสัญญาเช่าจะมี เงินประกันความเสียหาย (ทั่วไป 2 เดือนของค่าเช่า) และค่าเช่าล่วงหน้า 1 เดือนที่ต้องชำระ การบริหารเงินให้ครอบคลุมส่วนนี้ก็สำคัญ ทั้งนี้ควรสอบถามเจ้าของบ้านล่วงหน้าว่ามีค่าใช้จ่ายอื่นใดที่ผู้เช่าต้องรับผิดชอบเพิ่มเติมหรือไม่ เพื่อป้องกันความเข้าใจผิด
Q3: ทาวน์เฮ้าส์กับทาวน์โฮมต่างกันอย่างไร?
A: โดยแก่นแล้ว ทาวน์เฮ้าส์ กับ ทาวน์โฮม คือประเภทอสังหาฯ เดียวกัน คือบ้านแถวหรือบ้านผนังติดกันหลายหลังต่อเนื่องกัน ต่างกันเล็กน้อยตรงการใช้คำเรียก “ทาวน์โฮม” มักหมายถึงโครงการบ้านแถวรุ่นใหม่ที่ออกแบบทันสมัย มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ เช่น ถนนในโครงการกว้างขึ้น มีสวนส่วนกลาง คลับเฮาส์ เป็นต้น ส่วน “ทาวน์เฮ้าส์” มักใช้เรียกบ้านแถวทั่วไป ไม่ได้เน้นภาพลักษณ์หรูหรา อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสองคำนี้ใช้แทนกันบ่อยครั้ง ผู้ประกาศให้เช่าหรือขายหลายรายก็ใช้คำว่าทาวน์โฮมเพื่อทำให้ทรัพย์ดูน่าสนใจขึ้น แต่หลักๆ แล้วผู้เช่าสามารถเข้าใจได้ว่าทั้งสองแบบคือบ้านแถวที่มีลักษณะคล้ายกัน แตกต่างจากบ้านเดี่ยวตรงที่พื้นที่ติดกับเพื่อนบ้านนั่นเอง
Q4: หากเช่าทาวน์เฮ้าส์ จำเป็นต้องทำสัญญาระยะยาวเท่านั้นหรือไม่?
A: โดยทั่วไปเจ้าของบ้านมักต้องการทำ สัญญาเช่า 1 ปี เป็นมาตรฐาน ซึ่งถือว่า “ระยะยาว” ในตลาดเช่าไทย (สัญญาที่สั้นกว่านี้ เช่น รายเดือน 3 เดือน 6 เดือน มักพบในบ้านเช่าตากอากาศหรือตลาดเช่าต่างชาติบางกรณี และค่าเช่าจะสูงกว่าสัญญาระยะยาวเพื่อชดเชยช่วงว่าง) ดังนั้นหากผู้เช่าต้องการเช่าทาวน์เฮ้าส์ รายเดือน หรือ ไม่ครบปี อาจหาได้ยากและตัวเลือกน้อยกว่า โดยเฉพาะในพื้นที่นอกเขตเมืองท่องเที่ยว อย่างไรก็ดี หากมีความจำเป็นต้องเช่าสั้นกว่า 1 ปีจริงๆ ผู้เช่าสามารถเจรจากับเจ้าของบ้านบางรายได้ โดยอาจต้องยอมรับเงื่อนไข เช่น ค่าเช่าแพงขึ้น หรือวางประกันมากขึ้น เป็นต้น ในกรณีที่วางแผนอยู่ยาวเกิน 1 ปี การทำ สัญญาเช่า 2–3 ปี เลยก็สามารถทำได้ และบางครั้งผู้เช่าอาจใช้เป็นจุดต่อรองให้เจ้าของ ตรึงราคา หรือไม่ขึ้นค่าเช่าในช่วงที่ทำสัญญาระยะยาวนั้น ทั้งนี้ไม่ว่าจะระยะสั้นหรือยาว ควรมีสัญญาเช่าเป็นลายลักษณ์อักษร ทุกครั้ง เพื่อความคุ้มครองสิทธิของทั้งผู้เช่าและผู้ให้เช่า
Q5: ผู้เช่าสามารถเลี้ยงสัตว์ในทาวน์เฮ้าส์เช่าได้หรือไม่?
A: ขึ้นอยู่กับ ข้อตกลงกับเจ้าของบ้าน และกฎของโครงการหมู่บ้านนั้นๆ เป็นสำคัญ ทาวน์เฮ้าส์หลายแห่ง (โดยเฉพาะบ้านเดี่ยว/ทาวน์โฮมในโครงการหมู่บ้าน) มักอนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้มากกว่าคอนโด เพราะไม่มีผลต่อเพื่อนบ้านมากนัก แต่ก็มีบางโครงการที่นิติบุคคลตั้งกฎห้ามเลี้ยงสัตว์เช่นกัน ผู้เช่าควรแจ้งความประสงค์ว่าจะเลี้ยงสัตว์ (สุนัข/แมว) ต่อเจ้าของตั้งแต่ก่อนทำสัญญา และระบุลงในสัญญาให้ชัดเพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย บางกรณีเจ้าของบ้านอาจกำหนดเงื่อนไข เช่น ขอเพิ่มเงินประกันความเสียหายอีกเล็กน้อย (เผื่อกรณีสัตว์เลี้ยงขีดข่วนเฟอร์นิเจอร์) หรือขอให้ดูแลเรื่องความสะอาดเป็นพิเศษ เป็นต้น หากตกลงกันเรียบร้อยผู้เช่าก็สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ตามปกติ นอกจากนี้ควรเคารพเพื่อนบ้านข้างเคียง เช่น ควบคุมเสียงเห่าของสุนัข ไม่ปล่อยสัตว์ไปสร้างความรำคาญ เพื่อรักษาบรรยากาศการอยู่อาศัยที่ดีในระยะยาว
Q6: ค่าเช่าทาวน์เฮ้าส์มีแนวโน้มขึ้นทุกปีหรือไม่?
A: โดยทั่วไปค่าเช่าบ้านรวมถึงทาวน์เฮ้าส์มักปรับขึ้นตามภาวะตลาดและเงินเฟ้อ ประมาณ 3-5% ต่อปี ในภาวะปกติ แต่ไม่ใช่กฎตายตัว ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ทำเลที่ตั้ง (ทำเลฮิตมีโอกาสปรับขึ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ย), ภาวะเศรษฐกิจ (ถ้าเศรษฐกิจซบเซาหรือคนมีกำลังเช่าน้อย เจ้าของอาจตรึงราคาหรือบางรายลดราคาเพื่อรักษาผู้เช่า), และอุปทานในตลาด (ถ้าในพื้นที่มีบ้านเช่าออกมามาก คู่แข่งเยอะ ค่าเช่าก็อาจไม่ปรับขึ้นมาก) สำหรับช่วงปี 2566–2568 ที่ผ่านมา เราเห็นค่าเช่าทาวน์เฮ้าส์ในบางทำเลปรับสูงขึ้นเร็ว เช่น เชียงใหม่ในเขตเมืองขึ้น 5-10% ต่อปีช่วงหลังโควิด เพราะดีมานด์เพิ่มขึ้นเร็ว ในขณะที่บางทำเลเช่นชานเมืองกรุงเทพฯ หรือปริมณฑลที่มีบ้านสร้างใหม่ออกมามาก ค่าเช่าอาจทรงตัวหรือขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งนี้ผู้เช่าสามารถต่อรองกับเจ้าของบ้านได้หากเช่าต่อเนื่องมานานและดูแลบ้านอย่างดี เจ้าของหลายรายยินดี “ไม่ขึ้นค่าเช่า” เพื่อรักษาผู้เช่าคุณภาพให้อยู่นานๆ แทนที่จะหาใหม่ให้บ้านว่าง
คอนโดยอดนิยมใน ไทย

Le Celeste Rama 9 - Srinakarin

ดีลักซ์ คอนโดมิเนียม

การ์เด้นคอนโด หัวหมาก