ตัวกรอง
16,516 ผลลัพธ์
บันทึกการค้นหา
แผนที่

ขายทาวน์เฮ้าส์ในประเทศไทย โครงการใหม่และโครงการมือสอง

Slider image 1
Slider image 2
Slider image 3
Slider image 4
Slider image 5
Slider image 6
Slider image 7
Slider image 8
Slider image 9
Slider image 10
Slider image 11
Slider image 12
Slider image 13
Slider image 14
Slider image 15
Slider image 16
Slider image 17
Slider image 18
Slider image 19
Slider image 20
1 / 20
฿4,900,000
ประกาศล่าสุด
3 ห้องนอน200 ตรม.ทาวน์เฮ้าส์
คลองจั่น, บางกะปิ, กรุงเทพมหานคร
ขายทาวน์เฮ้าส์ 3 ห้องนอน ใน คลองจั่น, กรุงเทพมหานคร
คุณ สุภัตรา พลอยแดง (แพร) เบอร์ติดต่อ : ----- Office : ----- สอบถามทางไลน์ ----- ----- รหัสอสังหาริมทรัพย...
Slider image 1
Slider image 2
Slider image 3
Slider image 4
Slider image 5
Slider image 6
Slider image 7
Slider image 8
Slider image 9
Slider image 10
Slider image 11
Slider image 12
Slider image 13
Slider image 14
Slider image 15
Slider image 16
Slider image 17
Slider image 18
Slider image 19
Slider image 20
Slider image 21
1 / 21
฿5,590,000
2 ห้องนอนทาวน์เฮ้าส์
ดินแดง, ดินแดง, กรุงเทพมหานคร
ขายทาวน์เฮ้าส์ 2 ห้องนอน ใน ดินแดง, กรุงเทพมหานคร
คุณ วนิดา แสนทวีสุข (นิ) เบอร์ติดต่อ : ----- Office : ----- สอบถามทางไลน์ ----- ----- รหัสอสังหาริมทรัพย์...
Slider image 1
Slider image 2
Slider image 3
Slider image 4
Slider image 5
Slider image 6
Slider image 7
Slider image 8
Slider image 9
Slider image 10
Slider image 11
Slider image 12
Slider image 13
Slider image 14
Slider image 15
Slider image 16
Slider image 17
Slider image 18
Slider image 19
1 / 19
฿2,650,000
3 ห้องนอนทาวน์เฮ้าส์
บางแก้ว, บางพลี, สมุทรปราการ
ขายทาวน์เฮ้าส์ 3 ห้องนอน ใน บางแก้ว, สมุทรปราการ
คุณ สิทธิวัตร์ นนทธิ (โอม) เบอร์ติดต่อ : ----- Office : ----- สอบถามทางไลน์ ----- ----- รหัสอสังหาริมทรัพ...
แสดงผลลัพธ์ 1 - 30, หน้า 1 จากทั้งหมด 333 หน้า

ทาวน์เฮ้าส์สำหรับขาย: คู่มือเจาะลึกปี 2568 สำหรับผู้ซื้อ

ทาวน์เฮ้าส์ถือเป็นหนึ่งในประเภทที่อยู่อาศัยที่ได้รับความสนใจจากผู้ซื้อชาวไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มครอบครัวที่ต้องการขยับขยายพื้นที่อยู่อาศัย หรือผู้ลงทุนที่มองหาอสังหาริมทรัพย์ราคาจับต้องได้ บ้านทาวน์เฮ้าส์ (หรือที่มักเรียกว่าทาวน์โฮมในบางโครงการ) มีจุดเด่นเรื่องราคาเมื่อเทียบกับบ้านเดี่ยว และมีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าคอนโดมิเนียม จึงตอบโจทย์ทั้งด้านความคุ้มค่าและไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัย บทความนี้จะพาผู้อ่านเจาะลึก แนวโน้มตลาดทาวน์เฮ้าส์ปี 2567–2568 ปัจจัยสำคัญที่ควรรู้ก่อนซื้อ ความคุ้มค่าในการลงทุน ทำเลเด่นทั่วไทย เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียกับบ้านเดี่ยวและคอนโด ตลอดจนข้อมูลด้านภาษีค่าใช้จ่าย และแนวโน้มอีก 5 ปีข้างหน้า พร้อมเคล็ดลับการเลือกซื้อทาวน์เฮ้าส์ให้ได้บ้านที่ตอบโจทย์ที่สุด

อ่านจบแล้วคุณจะมีข้อมูลรอบด้านในการตัดสินใจซื้อทาวน์เฮ้าส์ในประเทศไทยอย่างมั่นใจ ทั้งเพื่ออยู่อาศัยเองหรือเพื่อการลงทุนในอนาคต

แนวโน้มตลาดทาวน์เฮ้าส์ปี 2567–2568

ช่วงปี 2567–2568 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยอยู่ระหว่างการปรับตัวหลังผ่านภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ผู้พัฒนาอสังหาฯ และผู้บริโภคทยอยปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับกำลังซื้อที่ยังฟื้นตัวช้า สำหรับ ตลาดทาวน์เฮ้าส์ ก็เช่นเดียวกัน แม้โดยรวมยังไม่กลับมาคึกคักเต็มที่ แต่เริ่มมีสัญญาณบวกบางประการที่บ่งชี้ว่าความต้องการและความเชื่อมั่นกำลังฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในหัวข้อนี้เราจะสำรวจแนวโน้มด้านอุปสงค์ อุปทาน ระดับราคา และปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อตลาดทาวน์เฮ้าส์ในปัจจุบัน

อุปสงค์ฟื้นตัวและความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น

ผลการสำรวจผู้บริโภคปลายปี 2567 พบว่าคนไทยจำนวนมากยังมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยอยู่ต่อเนื่อง แม้ภาระหนี้ครัวเรือนและเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดจะทำให้หลายคนชะลอการตัดสินใจซื้อบ้านใหม่ แนวโน้มในปี 2568 แสดงให้เห็นว่าความสนใจซื้อที่อยู่อาศัยทุกประเภทปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยเฉพาะกลุ่มคอนโดมิเนียมได้รับความสนใจสูงสุด อย่างไรก็ตาม บ้านแนวราบ อย่างบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ก็มีดีมานด์เพิ่มขึ้นเช่นกัน (ประมาณการเพิ่มขึ้นราว 6–10% เมื่อเทียบปีต่อปี) สะท้อนว่าหลังยุคโควิด ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับพื้นที่ใช้สอยและความเป็นส่วนตัวมากขึ้น การทำงานจากบ้านและไลฟ์สไตล์ใหม่ส่งผลให้หลายครอบครัวที่เคยอยู่คอนโดเริ่มมองหาทาวน์เฮ้าส์เป็นตัวเลือกเพื่ออัปเกรดพื้นที่อยู่อาศัยของตน

ช่วงราคายอดนิยมและกำลังซื้อผู้บริโภค

สำหรับทาวน์เฮ้าส์ที่เปิดขายในตลาด ช่วงราคาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปี 2567–2568 อยู่ที่ประมาณ 2–3 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับราคาที่ผู้ซื้อกลุ่มใหญ่สามารถเข้าถึงได้และสอดคล้องกับกำลังซื้อเฉลี่ยของครอบครัวชนชั้นกลาง ราคานี้ถือว่าใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า สะท้อนว่า developer ส่วนใหญ่พยายามพัฒนาโครงการให้ราคาขายอยู่ในโซนที่จับต้องได้เพื่อให้ขายได้ง่าย ในขณะเดียวกัน ทาวน์เฮ้าส์ระดับราคา 5–6 ล้านบาท ซึ่งเป็นเซ็กเมนต์กลาง-บนก็เริ่มเห็นสัญญาณว่าความต้องการเพิ่มขึ้นเร็วขึ้นกว่าช่วงก่อน ส่วนหนึ่งเพราะโครงการใหม่หลายแห่งในช่วงราคานี้มีการออกแบบฟังก์ชันและทำเลที่ดีกว่าเดิม เจาะกลุ่มผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อสูงขึ้นและนักลงทุนที่มองหาบ้านปล่อยเช่าหรือเก็งกำไรระยะยาว ส่งผลให้ตลาดทาวน์เฮ้าส์ระดับกลางบนเริ่มคึกคักขึ้นตามลำดับ

อีกด้านหนึ่ง แม้ว่าความต้องการซื้อจะมีอยู่ แต่กำลังซื้อจริงของผู้บริโภคยังถูกกดดันจากปัจจัยเศรษฐกิจ เช่น ดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ที่อยู่ในช่วงขาขึ้นในปี 2566 ทำให้ค่างวดผ่อนบ้านสูงขึ้น และ หนี้ครัวเรือน เฉลี่ยที่อยู่ในระดับสูง ทำให้ผู้ซื้อบางส่วนต้องชะลอการตัดสินใจ ในตลาดทาวน์เฮ้าส์ระดับล่าง (เช่น ราคาต่ำกว่า ~2 ล้านบาท) ผู้ซื้อกลุ่มรายได้ปานกลางค่อนข้างเปราะบาง ผู้ประกอบการจึงประสบความท้าทายในการปิดการขาย ต้องอาศัยแคมเปญกระตุ้นการขาย เช่น ฟรีค่าโอน ฟรีเฟอร์นิเจอร์ หรือผ่อนดาวน์ 0% เพื่อดึงดูดลูกค้าในกลุ่มนี้

ซัพพลายใหม่และการเปิดตัวโครงการอย่างระมัดระวัง

ด้าน อุปทาน (Supply) ผู้พัฒนาโครงการยังคงเปิดตัว ทาวน์โฮม/ทาวน์เฮ้าส์ ใหม่อย่างระมัดระวังในช่วงปี 2567–2568 จำนวนหน่วยเปิดขายใหม่ในตลาดทั่วประเทศปรับลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากต้นทุนพัฒนาที่สูงขึ้น (ทั้งราคาที่ดิน วัสดุก่อสร้าง และค่าแรงที่ปรับตัวเพิ่ม) ประกอบกับสภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นที่ทำให้ต้นทุนการเงินของผู้ประกอบการสูงขึ้น ผู้พัฒนาหลายรายจึงเลือกที่จะ โฟกัสการขายสต็อกบ้านสร้างเสร็จพร้อมอยู่ที่เหลือขายจากปีก่อน มากกว่าจะเปิดโครงการใหม่จำนวนมากในคราวเดียว

อย่างไรก็ดี โครงการใหม่ที่เปิดตัวในช่วงนี้มักเป็นโครงการที่ผ่านการศึกษาตลาดมาอย่างดี เน้นทำเลที่มีศักยภาพสูง เช่น พื้นที่ชานเมืองที่มีรถไฟฟ้าใหม่ผ่าน พื้นที่ใกล้นิคมอุตสาหกรรมหรือเขตเศรษฐกิจพิเศษ ตลอดจนทำเลหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัดที่ยังมีดีมานด์รองรับ และที่สำคัญคืออยู่ใน ระดับราคาที่ตลาดต้องการ (เช่น ราคาเริ่มต้น 2–3 ล้านบาทตามที่กล่าวข้างต้น) เพื่อตอบโจทย์กลุ่ม First-time homebuyers และครอบครัวคนรุ่นใหม่ที่ต้องการพื้นที่มากขึ้น ผู้ประกอบการบางรายปรับแผนจากการพัฒนาคอนโดมิเนียมราคาประมาณ 2–3 ล้านบาทในเมือง หันมาพัฒนาโครงการบ้านแนวราบในโซนชานเมืองแทน เพราะมองว่าในภาวะปัจจุบันผู้บริโภคอยากได้พื้นที่ใช้สอยและยอมเดินทางไกลขึ้นเล็กน้อยหากได้บ้านตอบโจทย์

ภาพรวมของตลาด ณ ปี 2568 จึงอยู่ในภาวะที่ใกล้เคียง จุดสมดุล มากขึ้นเมื่อเทียบกับ 2–3 ปีก่อน อุปทานใหม่เพิ่มขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ล้นตลาดจนเกินไป ขณะที่อุปสงค์ก็ทยอยฟื้นตัวตามลำดับ ผู้ซื้อมีทางเลือกมากขึ้นแต่ผู้ขายก็ยังแข่งขันกันในด้านโปรโมชั่นและคุณภาพโครงการเพื่อจูงใจลูกค้า

เทรนด์การออกแบบและสิ่งอำนวยความสะดวกยุคใหม่

โครงการทาวน์เฮ้าส์รุ่นใหม่ที่เปิดตัวในช่วงปี 2567–2568 มีการปรับตัวด้านการออกแบบและสิ่งอำนวยความสะดวกให้ตอบรับวิถีชีวิตยุคใหม่หลังโควิด หลายโครงการชูจุดขายเรื่อง พื้นที่ใช้สอยที่ยืดหยุ่น สามารถปรับเป็นมุมทำงานที่บ้าน (Work from Home) หรือห้องอเนกประสงค์เพิ่มเติมได้เพื่อรองรับการใช้ชีวิตที่บ้านมากขึ้น การออกแบบภายในบ้านเน้นโปร่งโล่ง มีแสงธรรมชาติและการระบายอากาศที่ดี เพื่อตอบโจทย์สุขอนามัยและความอยู่สบาย

นอกจากตัวบ้านเองแล้ว โครงการทาวน์โฮมสมัยใหม่ยังให้ความสำคัญกับ สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง มากขึ้น (แตกต่างจากอดีตที่มีคอนโดเท่านั้นที่เน้นส่วนกลาง) โครงการระดับมาตรฐานยุคนี้มักมี สวนหย่อม สระว่ายน้ำ ฟิตเนส และสนามเด็กเล่นไว้รองรับผู้อยู่อาศัยในชุมชน ยกระดับคุณภาพชีวิตใกล้เคียงโครงการบ้านเดี่ยว นอกจากนี้ ระบบรักษาความปลอดภัย ก็ได้รับการยกระดับเป็นจุดขาย ไม่ว่าจะเป็นระบบประตูโครงการแบบ Keycard Access, เจ้าหน้าที่รปภ. 24 ชม., กล้องวงจรปิดรอบโครงการ รวมถึงการติดตั้งสัญญาณกันขโมยภายในตัวบ้านแต่ละหลังเพื่อเพิ่มความอุ่นใจให้ผู้อยู่อาศัย

เทคโนโลยีบ้านอัจฉริยะ (Smart Home) ก็กลายเป็นมาตรฐานใหม่ในทาวน์เฮ้าส์หลายแห่ง เช่น ระบบไฟและเครื่องปรับอากาศที่ควบคุมผ่านแอปพลิเคชัน ระบบประตูดิจิทัลล็อค และอุปกรณ์ IoT อื่น ๆ ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัย ผู้พัฒนาเล็งเห็นว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่ให้ความสนใจสิ่งเหล่านี้ จึงนำมาเป็นจุดขายแข่งขันกันในตลาดมากขึ้น

โดยสรุป ด้านเทรนด์สินค้า ทาวน์เฮ้าส์ยุคใหม่กำลังปรับภาพลักษณ์จากบ้านแถวธรรมดา ๆ ให้กลายเป็น “บ้านรุ่นใหม่” ที่ครบครันทั้งดีไซน์ทันสมัย ฟังก์ชันการใช้งานหลากหลาย และส่วนกลางที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ ทำให้ทาวน์เฮ้าส์กลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจยิ่งขึ้นสำหรับผู้ซื้อบ้านยุคปัจจุบัน

ปัจจัยภาครัฐและเศรษฐกิจที่ส่งผลบวกต่อตลาด

ในปี 2568 ภาครัฐมีมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นผลดีโดยตรงต่อผู้ซื้อบ้านทาวน์เฮ้าส์ มาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและการจดจำนองเหลือเพียง 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยราคาซื้อขายไม่เกิน 7 ล้านบาท ซึ่งครอบคลุมทาวน์เฮ้าส์ส่วนใหญ่ในตลาดระดับมาตรฐาน (เพราะราคาทาวน์เฮ้าส์ส่วนมากอยู่ในช่วง 2–5 ล้านบาท) มาตรการนี้ช่วยลดค่าใช้จ่ายวันโอนกรรมสิทธิ์ลงอย่างมาก จากเดิมที่ผู้ซื้อบ้านราคา 3 ล้านบาทต้องจ่ายค่าธรรมเนียมโอน 2% คือ 60,000 บาท ลดเหลือเพียง 300 บาทเท่านั้น ถือเป็น แรงจูงใจ ให้ผู้ที่ชั่งใจซื้อสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้นและมีเงินเหลือสำหรับตกแต่งบ้านมากขึ้น นอกจากนี้ ในช่วงปลายปี 2568–2569 แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อาจปรับลดลงเล็กน้อยตามภาวะเงินเฟ้อที่ทรงตัวและการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้กู้ซื้อบ้านเพราะภาระดอกเบี้ยผ่อนบ้านรายเดือนจะผ่อนคลายลง

ปัจจัยด้านมหภาคอื่น ๆ ก็ช่วยสร้างบรรยากาศบวก เช่น การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ที่หนุนเศรษฐกิจโดยรวมให้ขยายตัวในอัตรา ~3% ต่อปี ทำให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคดีขึ้น และมีกลุ่มนักลงทุนจากต่างประเทศสนใจเข้ามาซื้ออสังหาฯ ในไทยมากขึ้น (แม้ต่างชาติจะซื้อทาวน์เฮ้าส์โดยตรงไม่ได้เพราะติดเรื่องการถือครองที่ดิน แต่บางรายเข้ามาซื้อผ่านบริษัทหรือให้คู่สมรสคนไทยซื้อในชื่อ เป็นต้น) ประกอบกับนโยบายรัฐบาลใหม่ที่มุ่งกระตุ้นการลงทุนและโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟฟ้าสายใหม่ ๆ การพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) สิ่งเหล่านี้ล้วนเพิ่มศักยภาพทำเลและเพิ่มดีมานด์ที่อยู่อาศัยในพื้นที่ที่โครงการผ่าน กลายเป็นโอกาสสำหรับตลาดบ้านแนวราบรวมถึงทาวน์เฮ้าส์ในระยะถัดไป

ภาพรวมปี 2567–2568 จึงอาจกล่าวได้ว่า แม้ตลาดทาวน์เฮ้าส์ยังไม่กลับมาบูมสุดขีดเหมือนช่วงก่อนปี 2563 แต่ก็เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวในทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ยังคงมีอยู่และทยอยกลับเข้าสู่ตลาดเพราะต้องการพื้นที่อยู่อาศัยที่ใหญ่ขึ้นและตอบโจทย์ชีวิตหลังโควิด ส่วนกลุ่มนักลงทุนเองก็หันมาจับตาทาวน์เฮ้าส์มากขึ้นเพราะมองเห็นโอกาสทั้งในการปล่อยเช่าระยะยาวให้ครอบครัวที่อยากได้บ้าน และโอกาสในการเพิ่มมูลค่า (Capital Gain) ในอนาคตเมื่อเศรษฐกิจกลับมาเติบโต การเลือกซื้อทาวน์เฮ้าส์ในช่วงนี้จึงยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการมีบ้านเป็นของตัวเองในเขตเมืองหรือชานเมือง ด้วยระดับราคาที่จับต้องได้และคุณสมบัติการใช้งานที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตยุคใหม่

ปัจจัยสำคัญที่ควรรู้ก่อนซื้อทาวน์เฮ้าส์

การจะซื้อทาวน์เฮ้าส์สักหลังมีรายละเอียดหลายด้านที่ผู้ซื้อต้องพิจารณาให้รอบคอบ เพื่อให้ได้บ้านที่คุ้มค่าและไม่มีปัญหาภายหลัง สิ่งสำคัญที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจซื้อทาวน์เฮ้าส์ มีดังนี้:

งบประมาณและความพร้อมทางการเงิน

ก่อนอื่นผู้ซื้อควรประเมินงบประมาณของตนเองอย่างรอบคอบ รวมถึงความสามารถในการกู้สินเชื่อบ้าน ธนาคารส่วนใหญ่จะพิจารณาปล่อยกู้โดยให้ค่างวดผ่อนต่อเดือนไม่เกิน ~40% ของรายได้ครัวเรือน เพราะฉะนั้นลองคำนวณดูว่ารายได้ของคุณสามารถผ่อนบ้านราคาที่ต้องการได้สบาย ๆ หรือไม่ (อย่าลืมเผื่อเงินสำหรับค่าใช้จ่ายหลังการโอน เช่น ค่าตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ ค่าซ่อมแซมเล็ก ๆ น้อย ๆ) นอกจากนี้ควรเตรียมเงินดาวน์อย่างน้อย 10–20% ของราคาบ้าน เผื่อเลือกบ้านราคาสูงหน่อยจะได้กู้ผ่านง่ายขึ้น

การขอสินเชื่อบ้าน ปัจจุบันมีหลายธนาคารที่เสนอโครงการสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรกหรือบ้านประหยัดพลังงาน ลองศึกษาเปรียบเทียบเงื่อนไขจากหลายสถาบันการเงิน ดูวงเงินกู้สูงสุดที่ได้และอัตราดอกเบี้ยที่เสนอตลอดอายุสัญญา การได้รับอนุมัติวงเงินกู้ล่วงหน้า (pre-approve) จะช่วยให้คุณรู้งบประมาณชัดเจนและสามารถต่อรองกับผู้ขายได้อย่างมั่นใจมากขึ้น

ทำเลที่ตั้งและสภาพแวดล้อม

ทำเลของทาวน์เฮ้าส์ เป็นปัจจัยชี้ขาดสำคัญทั้งในแง่ความสะดวกในการอยู่อาศัยและมูลค่าในอนาคต ควรเลือกทำเลที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคุณ เช่น ใกล้ที่ทำงานของสมาชิกครอบครัว ใกล้โรงเรียนของลูก หรือเดินทางเข้าเมืองสะดวกผ่านทางด่วน/รถไฟฟ้า นอกจากนี้ต้องพิจารณาสภาพแวดล้อมรอบโครงการด้วย ลองขับรถหรือเดินสำรวจพื้นที่ละแวกนั้น ในช่วงเวลาต่าง ๆ ทั้งตอนกลางวันและกลางคืน ดูว่าบรรยากาศเงียบสงบหรือพลุกพล่านเพียงใด มีแหล่งอำนวยความสะดวกใกล้เคียงครบครันไหม (ร้านค้า ตลาดสด ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล สวนสาธารณะ ฯลฯ) รวมถึงสำรวจสภาพการจราจรช่วงเวลาเร่งด่วนว่ารถติดมากน้อยแค่ไหน

อย่าลืมตรวจสอบเรื่อง ผังเมืองและโครงการในอนาคต ของบริเวณนั้น เพราะสิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและราคาบ้านของคุณในระยะยาว เช่น หากมีโครงการรถไฟฟ้าสายใหม่หรือห้างใหญ่จะมาลงใกล้ ๆ ทำเลนั้นก็ถือเป็นผลบวก แต่หากใกล้ที่ตั้งโรงงานหรือจุดที่จะสร้างถนนตัดใหม่ที่อาจมีมลภาวะเสียง/ฝุ่น ก็ควรทราบล่วงหน้า นอกจากนี้ลองสอบถามเพื่อนบ้านละแวกนั้นถึง ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ เช่น น้ำท่วมขังเวลาฝนตกหนักหรือไม่ มีอาชญากรรมหรือเหตุโจรกรรมเกิดขึ้นบ่อยหรือเปล่า ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ตัดสินใจได้รอบด้านยิ่งขึ้น

คุณภาพโครงการและวัสดุก่อสร้าง

ตรวจสอบ คุณภาพงานก่อสร้างและวัสดุที่ใช้ ในบ้านอย่างละเอียด อย่าเกรงใจที่จะขอชมบ้านตัวอย่างหลาย ๆ รอบ หรือให้วิศวกร/ช่างผู้ชำนาญไปช่วยตรวจบ้านก่อนโอน หากเป็นบ้านสร้างเสร็จใหม่ ควรเช็คดูงานระบบต่าง ๆ ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐาน (รอยร้าวบนผนัง การทรุดตัว) งานระบบไฟฟ้า-ประปา (เปิดสวิตช์ไฟ เช็คแรงดันน้ำ กดชักโครก ระบายน้ำทิ้ง) รวมไปถึงวัสดุตกแต่ง (กระเบื้อง พื้น ประตู หน้าต่าง) ว่ามีตำหนิที่ต้องแก้ไขหรือไม่

ผู้ซื้อควรศึกษาชื่อเสียงของ ผู้พัฒนาโครงการ ด้วยว่าเคยมีผลงานมากน้อยแค่ไหน มีรีวิวด้านบวกหรือลบจากลูกบ้านโครงการก่อน ๆ อย่างไร บริษัทใหญ่ที่มีชื่อเสียงอาจมีความน่าเชื่อถือเรื่องมาตรฐานการก่อสร้างและบริการหลังการขายมากกว่าโครงการรายเล็ก แต่ทั้งนี้ก็มีผู้ประกอบการรายเล็กหลายรายที่สร้างผลงานดี มีคุณภาพเกินราคา จึงควรหาข้อมูลทั้งจากอินเทอร์เน็ตและการสอบถามคนในพื้นที่

สำหรับบ้านทาวน์เฮ้าส์มือสอง (รีเซล) ที่อาจมีอายุหลายปีขึ้นไป ยิ่งต้องตรวจเช็คโครงสร้างและสภาพบ้านให้ถี่ถ้วน เช่น ดูว่ามีรอยร้าวขนาดใหญ่ตามคานหรือพื้นไหม มีปัญหาน้ำรั่วซึม คราบเชื้อราตามผนัง ฝ้าเพดาน หรือร่องรอยปลวก/แมลงกัดกินโครงสร้างหรือไม่ หากพบปัญหาบางอย่างที่ซ่อมได้ก็อาจใช้เพื่อเจรจาต่อรองราคาลงได้ แต่หากเจอปัญหาใหญ่เช่น รากฐานทรุดหนัก อาจพิจารณาข้ามไปหาหลังอื่นแทนเพื่อความสบายใจในระยะยาว

สิ่งอำนวยความสะดวกและระบบความปลอดภัย

ทาวน์เฮ้าส์ยุคใหม่หลายโครงการมี สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง ให้ลูกบ้าน เช่น สวนสาธารณะ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส หรือคลับเฮาส์พื้นที่ส่วนกลางต่าง ๆ หากโครงการที่คุณสนใจมีส่วนกลางเหล่านี้ ควรประเมินว่ามีความจำเป็นและได้ใช้งานจริงตามไลฟ์สไตล์ของคุณหรือไม่ เพราะอย่าลืมว่ายิ่งส่วนกลางเยอะ ค่าส่วนกลางที่ต้องจ่ายรายเดือน/ปี (ค่าส่วนกลางหมู่บ้าน) ก็จะสูงตามไปด้วย อีกทั้งตรวจสอบ ความเพียงพอของสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น หากมีบ้าน 200 หลัง แต่สระว่ายน้ำเล็กหรือฟิตเนสมีเครื่องเล่นน้อยก็อาจแออัด ไม่เพียงพอต่อการใช้งานจริง

นอกจากนี้ ให้ความสำคัญกับ ระบบความปลอดภัยในโครงการ ดูว่ามีรปภ.ตลอด 24 ชั่วโมงไหม มีกล้อง CCTV ครอบคลุมพื้นที่ส่วนไหนบ้าง ระบบเข้า-ออกโครงการเป็นอย่างไร (ไม้กั้นอัตโนมัติ, คีย์การ์ด, สติ๊กเกอร์รถ) และการรักษาความปลอดภัยภายในบ้านแต่ละหลัง เช่น มีการติดตั้งสัญญาณกันขโมย เซ็นเซอร์ตรวจจับการงัดแงะหรือไม่ หากโครงการไม่มีให้ ผู้ซื้อต้องเตรียมงบประมาณเพื่อติดตั้งเองเพิ่มเติม เรื่องความปลอดภัยเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ เพราะส่งผลต่อทั้งทรัพย์สินและชีวิตของครอบครัวในระยะยาว

ขนาดที่ดิน พื้นที่ใช้สอย และการออกแบบหน้าบ้าน

สำหรับทาวน์เฮ้าส์ ขนาดที่ดินและพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านจะแตกต่างกันไปตามรูปแบบโครงการ สิ่งที่ควรพิจารณา ได้แก่:

  • หน้ากว้างและความลึกของตัวบ้าน: หน้ากว้างมาตรฐานทาวน์เฮ้าส์ทั่วไปอยู่ที่ 5–6 เมตร ถ้าหน้ากว้างมาก (เช่น 7–8 เมตร) จะจอดรถและจัดวางเฟอร์นิเจอร์ได้สะดวกกว่า บ้านมุมจะได้เปรียบเรื่องพื้นที่ด้านข้างเพิ่มเติม ส่วนความลึกบ้านส่งผลต่อพื้นที่หลังบ้าน ถ้าลึกมากอาจมีพื้นที่ซักล้าง/สวนหลังบ้านเยอะขึ้น
  • จำนวนชั้นและผังห้อง: ส่วนใหญ่ทาวน์เฮ้าส์มี 2 ชั้น แต่ปัจจุบันมีแบบ 3–4 ชั้น (มักเรียกทาวน์โฮม) ที่ให้พื้นที่ใช้สอยเพิ่ม เหมาะกับครอบครัวขยายหรือใช้ทำโฮมออฟฟิศ ตรวจสอบว่าผังห้องนอน ห้องน้ำ เพียงพอกับสมาชิกครอบครัวหรือไม่ และมีห้องชั้นล่างที่ปรับเป็นห้องนอนผู้สูงอายุได้หรือเปล่า
  • พื้นที่จอดรถ: ดูว่าบริเวณหน้าบ้านจอดรถได้กี่คัน (ปกติมาตรฐานคือ 1–2 คัน) ถนนในโครงการกว้างพอให้จอดรถข้างบ้านหรือสวนกันสะดวกหรือไม่ ประเด็นนี้สำคัญสำหรับครอบครัวที่มีรถหลายคัน
  • พื้นที่ว่างและส่วนต่อเติม: หากคุณมีแผนจะต่อเติมครัวไทยหลังบ้าน หรือต่อเติมหลังคาที่จอดรถ ควรดูว่าโครงสร้างบ้านรองรับได้ไหม (บางโครงการตอกเสาเข็มหลังบ้านมาให้พร้อมต่อเติม) และตรวจสอบข้อกำหนดนิติบุคคลหมู่บ้านว่าการต่อเติมลักษณะใดบ้างที่ทำได้หรือไม่ได้ เพื่อป้องกันปัญหาขัดแย้งภายหลัง

ข้อกำหนดนิติบุคคลและค่าใช้จ่ายส่วนกลาง

เมื่อซื้อบ้านในโครงการจัดสรร คุณจะเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่มี นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร ดูแล ดังนั้นควรทราบ ระเบียบข้อบังคับ ของหมู่บ้าน เช่น กฎการเลี้ยงสัตว์เลี้ยง กฎการต่อเติมบ้าน (บางที่ห้ามเปลี่ยนสีบ้านหรือทำหลังคาหน้าบ้านที่ผิดแบบ) เวลาการใช้สถานที่ส่วนกลาง ฯลฯ เพื่อให้การอยู่อาศัยราบรื่น นอกจากนี้ถามถึง ค่าส่วนกลาง ที่ต้องจ่ายว่าอยู่ที่เดือนละ/ปีละเท่าไร และครอบคลุมบริการอะไรบ้าง เช่น การรักษาความสะอาด เก็บขยะ ดูแลสวนส่วนกลาง ค่าบำรุงสระว่ายน้ำไฟส่วนกลาง เป็นต้น ตรวจสอบงบประมาณของนิติบุคคลว่ามีเงินสำรองเพียงพอไหม เพราะหากการเงินนิติไม่ดี อาจมีเรียกเก็บเงินพิเศษภายหลังได้

ตรวจสอบเอกสารสิทธิและข้อกฎหมาย

สุดท้าย อย่ามองข้ามเรื่องเอกสารสิทธิและกฎหมาย ที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบให้แน่ใจว่าทรัพย์ที่จะซื้อมีเอกสารโฉนดที่ดินหรือเอกสาร น.ส.3 ก ถูกต้อง ไม่มีภาระผูกพันจำนองหรือค้ำประกันที่ทำให้โอนกรรมสิทธิ์ไม่ได้ ในกรณีบ้านใหม่จากโครงการ ผู้ซื้อควรได้รับสำเนาใบอนุญาตจัดสรรที่ดินของโครงการนั้น ๆ (เพื่อยืนยันว่าโครงการได้จัดสรรถูกต้อง) และสำเนาใบอนุญาตก่อสร้างบ้านเลขที่ ตรวจสอบชื่อผู้ขายหรือบริษัทที่ขายว่ามีสิทธิ์ขายทรัพย์นั้นจริง

หากเป็นบ้านมือสอง ทำสัญญาจะซื้อจะขาย เป็นลายลักษณ์อักษรก่อนวางมัดจำทุกครั้ง ระบุเงื่อนไขราคาซื้อขาย เวลาและวิธีการโอนกรรมสิทธิ์ให้ชัดเจน เพื่อลดปัญหาในภายหลัง นอกจากนี้การซื้อบ้านควรคำนึงถึงภาษีและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง (ซึ่งเราจะกล่าวถึงในหัวข้อถัดไป) เพื่อจัดเตรียมงบประมาณไว้ล่วงหน้าให้ครบถ้วน

เมื่อพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ข้างต้นอย่างรอบด้าน คุณก็จะสามารถคัดเลือกทาวน์เฮ้าส์ที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณของตนเองได้มากที่สุด ลดโอกาสเกิดปัญหาหรือค่าใช้จ่ายบานปลายในภายหลัง

ความคุ้มค่าในการซื้อทาวน์เฮ้าส์

ทาวน์เฮ้าส์ ถูกมองว่าเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าคุ้มราคาเมื่อเทียบกับที่อยู่อาศัยประเภทอื่น ๆ ด้วยปัจจัยหลายประการดังนี้:

  • ราคาจับต้องได้เมื่อเทียบกับบ้านเดี่ยว: ทาวน์เฮ้าส์โดยทั่วไปมีราคาต่อตารางเมตรที่ถูกกว่าบ้านเดี่ยวในทำเลเดียวกันค่อนข้างมาก เนื่องจากมีขนาดที่ดินน้อยกว่าและแชร์ผนังกับบ้านข้างเคียง บ่อยครั้งผู้ซื้อสามารถได้บ้าน 2 ชั้น 3 ห้องนอนในราคาที่เท่ากับคอนโดขนาด 1–2 ห้องนอนใจกลางเมือง หรือถูกกว่าบ้านเดี่ยวชานเมืองอย่างมาก ทำให้คนที่มีงบประมาณจำกัดสามารถเป็นเจ้าของบ้านแนวราบได้ผ่านการเลือกซื้อทาวน์เฮ้าส์
  • พื้นที่ใช้สอยมากกว่าคอนโด: แม้ทาวน์เฮ้าส์จะมีขนาดที่ดินไม่มาก แต่การออกแบบบ้าน 2–3 ชั้นทำให้มีพื้นที่ใช้สอยรวมหลายสิบถึงกว่าร้อยตารางเมตร ซึ่งมากกว่าพื้นที่ในคอนโดมิเนียมทั่วไปหลายเท่าตัว ผู้อยู่อาศัยจึงมีพื้นที่ทำกิจกรรมต่าง ๆ ในบ้านได้เต็มที่ ทั้งมุมพักผ่อน ห้องทำงาน ห้องนอนสำหรับสมาชิกครอบครัว และยังมีที่จอดรถส่วนตัวหน้าบ้าน ความรู้สึก “มีบ้านเป็นของตัวเอง” และมีพื้นที่มากขึ้นนี้เป็นคุณค่าทางใจที่คอนโดไม่สามารถทดแทนได้
  • ตอบโจทย์การอยู่อาศัยของครอบครัว: สำหรับคู่แต่งงานที่เริ่มมีลูกหรืออยู่กันเป็นครอบครัวหลายคน ทาวน์เฮ้าส์มักเป็นคำตอบที่ลงตัว เพราะมีจำนวนห้องนอนหลายห้อง มีพื้นที่ให้เด็ก ๆ วิ่งเล่น หรือสามารถต่อเติมทำครัวไทยนอกบ้านเพื่อให้เหมาะกับการทำอาหารหนักของครอบครัวคนไทย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำได้ยากในคอนโด พูดง่าย ๆ คือทาวน์เฮ้าส์ให้ คุณภาพชีวิต ในการอยู่อาศัยที่ใกล้เคียงบ้านเดี่ยว ในขณะที่ใช้งบประมาณน้อยกว่ามาก
  • ค่าบำรุงรักษาและดูแลจัดการไม่สูงเกินไป: เนื่องจากทาวน์เฮ้าส์มีขนาดเล็กกว่าบ้านเดี่ยวและมีพื้นที่รอบบ้านน้อย ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาก็จะต่ำกว่า เช่น ค่าสวนหรือจัดการสนามหญ้าแทบไม่มี (เพราะพื้นที่สวนมีน้อย) ค่าทำความสะอาดหรือซ่อมบำรุงก็พอ ๆ กับคอนโด หรืออาจทำเองได้ไม่ยุ่งยาก นอกจากนี้ค่าส่วนกลางต่าง ๆ (ถ้ามี) ก็มักถูกกว่าคอนโด เพราะไม่มีลิฟต์หรือระบบซับซ้อนให้ดูแล และจำนวนลูกบ้านในโครงการไม่มากเท่าคอนโดสูง ทำให้การบริหารจัดการง่ายกว่า
  • ศักยภาพการปล่อยเช่าและลงทุนระยะยาว: สำหรับผู้ที่มองหาลงทุนอสังหาฯ ปล่อยเช่า ทาวน์เฮ้าส์ถือเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะทาวน์เฮ้าส์ทำเลเมืองหรือใกล้แหล่งงาน สามารถปล่อยเช่าให้ครอบครัวหรือพนักงานบริษัทที่อยากได้พื้นที่มากกว่าคอนโด แต่จ่ายค่าเช่าถูกกว่าบ้านเดี่ยว ผลตอบแทนค่าเช่า (Rental Yield) ของทาวน์เฮ้าส์ในบางทำเลอยู่ในเกณฑ์ดี ~4-6% ต่อปี ซึ่งใกล้เคียงคอนโด และเมื่อถือครองในระยะยาว มูลค่าที่ดิน ที่มากับทาวน์เฮ้าส์ก็มีแนวโน้มปรับตัวขึ้น ช่วยเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินในอนาคต (ต่างจากคอนโดที่เป็นอาคารและมูลค่าเสื่อมลงตามอายุสิ่งปลูกสร้าง) กล่าวคือทาวน์เฮ้าส์มีลักษณะของการลงทุนใน “ที่ดิน” อยู่ส่วนหนึ่ง ทำให้มีโอกาสรับกำไรส่วนต่างราคาหากขายต่อเมื่อที่ดินบริเวณนั้นมีราคาสูงขึ้น
  • ปรับปรุงต่อเติมได้อิสระกว่า: การเป็นเจ้าของทาวน์เฮ้าส์หมายถึงการมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและตัวบ้านของตัวเอง ทำให้ผู้ซื้อมืออาชีพสามารถ รีโนเวท ปรับปรุง หรือต่อเติมบ้านได้ตามต้องการ (ภายใต้ข้อบังคับของหมู่บ้าน) เช่น ตกแต่งใหม่ให้ทันสมัยเพื่อเพิ่มมูลค่า ทำเป็นโฮมออฟฟิศ เปิดหน้าร้านธุรกิจเล็ก ๆ หรือแบ่งห้องเพิ่มเพื่อปล่อยเช่าบางส่วน การปรับปรุงเหล่านี้ช่วยเพิ่มมูลค่าบ้านได้ในอนาคต แตกต่างจากคอนโดที่การปรับปรุงทำได้จำกัดและไม่สามารถต่อเติมพื้นที่ใด ๆ ได้เลย

แม้ทาวน์เฮ้าส์จะมีข้อดีเรื่องความคุ้มค่า แต่ก็ต้องยอมรับว่ามี ข้อจำกัดบางประการ เช่น ผนังที่ใช้ร่วมกับเพื่อนบ้านทำให้อาจมีเสียงรบกวนกันได้ พื้นที่จอดรถหรือพื้นที่สวนที่จำกัดกว่า และความเป็นส่วนตัวที่น้อยกว่าบ้านเดี่ยว แต่สำหรับหลายครอบครัวแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นข้อแลกเปลี่ยนที่ยอมรับได้เมื่อเทียบกับ เม็ดเงินที่ประหยัดไปหลายล้านบาท การเลือกซื้อทาวน์เฮ้าส์จึงเป็นศิลปะของการหาจุดสมดุลระหว่างราคาที่เอื้อมถึงกับคุณภาพชีวิตที่ดีนั่นเอง

โดยสรุป หากพิจารณาในแง่ความคุ้มค่า (Value for Money) ทาวน์เฮ้าส์นับว่าเป็นตัวเลือกที่ให้ “พื้นที่ความสุข” ได้มากต่อบาทของเงินที่จ่ายไป คุณได้ทั้งหลังคาคุ้มแดดฝนเป็นของตัวเอง มีพื้นที่ส่วนตัวหลายชั้น ได้สัมผัสประสบการณ์การอยู่อาศัยแบบบ้าน ในขณะที่ใช้เงินน้อยกว่าการซื้อบ้านเดี่ยวไปมาก นี่คือเหตุผลว่าทำไมทาวน์เฮ้าส์ยังคงได้รับความนิยมและอยู่คู่ตลาดบ้านไทยตลอดมา

ทำเลเด่นสำหรับซื้อทาวน์เฮ้าส์ในประเทศไทย

ตลาดทาวน์เฮ้าส์ในประเทศไทยกระจายตัวอยู่ในหลายจังหวัดและภูมิภาค โดยแต่ละพื้นที่มีลักษณะเฉพาะและปัจจัยหนุนที่แตกต่างกันไป ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจภาพรวมตลาดและระดับราคาของทำเลหลัก ๆ ก่อนตัดสินใจเลือกพื้นที่ที่สนใจ เราจะพาไปรู้จัก ทำเลเด่น ที่คนนิยมซื้อทาวน์เฮ้าส์ พร้อมทั้งลักษณะเฉพาะของแต่ละตลาด ดังนี้:

กรุงเทพฯ และปริมณฑล

กรุงเทพมหานครและเขตปริมณฑล (เช่น นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ) เป็นตลาดใหญ่ที่สุดสำหรับทาวน์เฮ้าส์ เนื่องจากเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่มีประชากรหนาแน่นและที่ดินมีราคาแพง ทำให้ที่อยู่อาศัยแนวราบประเภททาวน์เฮ้าส์เป็นทางเลือกยอดนิยมของคนเมืองที่อยากมีบ้านใกล้เมืองในงบประมาณจำกัด พื้นที่ที่มีทาวน์เฮ้าส์มากในกรุงเทพฯ มักเป็นเขตรอบนอกหรือชานเมืองที่การเดินทางยังสะดวก เช่น โซนบางนา, รามอินทรา, มีนบุรี, สุขาภิบาล 5, รังสิต, พระราม 2, วัชรพล, ลาดกระบัง เป็นต้น พื้นที่เหล่านี้มักอยู่ใกล้ทางด่วนหรือแนวรถไฟฟ้าสายใหม่ มีห้างสรรพสินค้าและสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ทำให้ดึงดูดกลุ่มคนทำงานและครอบครัวรุ่นใหม่

ราคาทาวน์เฮ้าส์ในกรุงเทพฯ มีความหลากหลายตามทำเล โครงการระดับราคา 2–3 ล้านบาท จะกระจายอยู่รอบนอกเมืองหรือปริมณฑล เน้นจับตลาด First-time buyer ขณะที่ ทาวน์โฮมระดับกลาง 4–6 ล้านบาท มักพบในทำเลศักยภาพสูงขึ้นมา เช่น ใกล้แนวรถไฟฟ้าสายปัจจุบัน (บางนา, ลาดพร้าว, ดอนเมืองโทลล์เวย์) หรือย่านชุมชนที่เจริญแล้ว สำหรับ ทาวน์โฮมหรูระดับ 10 ล้านขึ้นไป จะอยู่ในทำเลใจกลางเมืองหรือย่านธุรกิจ เช่น ทองหล่อ เอกมัย หรือย่าน CBD อื่น ๆ ซึ่งเจาะกลุ่มผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อสูงหรือนักลงทุนที่มองหาทรัพย์สินใจกลางเมือง (โดยเซกเมนต์นี้จะจำนวนโครงการค่อนข้างน้อยและแข่งขันกับคอนโดลักชัวรี)

ภาพรวมตลาดกรุงเทพฯ ปี 2568 แม้จะยังไม่เฟื่องฟูเต็มที่ แต่ก็เริ่ม ปรับตัวดีขึ้น หลังจากชะลอตัวไปช่วงโควิด ความต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบยังมีอย่างต่อเนื่องจากคนไทยที่อยากได้พื้นที่และความเป็นส่วนตัว โดยเฉพาะครอบครัวที่ขยายขนาดและต้องการย้ายจากคอนโดมาอยู่บ้าน ตลอดจนชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานและพำนักระยะยาวในไทยก็เริ่มสนใจเช่าซื้อทาวน์เฮ้าส์มากขึ้น หากมองในแง่การลงทุน กรุงเทพฯ และปริมณฑลยังเป็น ทำเลทอง สำหรับการซื้อทาวน์เฮ้าส์ปล่อยเช่าและเก็งกำไร เพราะแนวโน้มระยะยาวราคาที่ดินมีแต่จะเพิ่มขึ้นตามความเจริญของเมือง

เชียงใหม่

เชียงใหม่เป็นจังหวัดใหญ่ของภาคเหนือที่มีเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมและภูมิอากาศที่เย็นสบาย จึงเป็นทั้งเมืองท่องเที่ยวและเมืองศูนย์กลางธุรกิจของภูมิภาค ส่งผลให้ ตลาดอสังหาฯเชียงใหม่ ได้รับความสนใจจากทั้งผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองและนักลงทุน ทาวน์เฮ้าส์ในเชียงใหม่พบได้ทั้งในตัวเมืองชั้นใน (อำเภอเมือง บริเวณคูเมือง, นิมมานฯ) และเขตรอบนอกที่กำลังขยายตัวอย่าง สารภี, สันทราย, หางดง, สันกำแพง เป็นต้น

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเชียงใหม่มีภาวะตลาดชะลอตัวจากเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ถดถอย ทำให้ซัพพลายบ้านสร้างใหม่ออกสู่ตลาดน้อยลง Developer หลายรายชะลอเปิดโครงการใหม่ในช่วงปี 2565–2566 แล้วหันมาเคลียร์สต็อกบ้านที่สร้างเสร็จค้างอยู่ก่อน ผลคือในปี 2567–2568 อุปทานทาวน์เฮ้าส์ใหม่ในเชียงใหม่มีไม่มากนัก ผู้ซื้อจึงถือไพ่เหนือกว่า ในการต่อรองราคา ผู้ขายและโครงการต่าง ๆ ยอมให้ส่วนลดหรือโปรโมชั่นพิเศษเพื่อจูงใจลูกค้า ยกตัวอย่างเช่น ฟรีแอร์ ฟรีเฟอร์นิเจอร์ หรือผ่อนให้ 6 เดือนแรก ฯลฯ ทำให้คนซื้อได้ประโยชน์เต็มที่

แนวโน้มตลาดในปี 2568 เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ปัจจัยหนุนหลักมาจาก การท่องเที่ยวเชียงใหม่ที่กลับมาคึกคัก นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติหลั่งไหลเข้ามา ส่งผลบวกทางอ้อมให้เศรษฐกิจท้องถิ่นฟื้นตัว ความต้องการที่อยู่อาศัยจากคนท้องถิ่นขยับขึ้น ผู้ประกอบการอสังหาฯบางรายเริ่มวางแผนเปิดโครงการใหม่ในทำเลศักยภาพของเชียงใหม่ เช่น ใกล้มหาวิทยาลัย หรือตามแนววงแหวนรอบนอกที่การคมนาคมสะดวก เพื่อรองรับดีมานด์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น

ราคาทาวน์เฮ้าส์ในเชียงใหม่โดยภาพรวมยังถือว่า ทรงตัว เมื่อเทียบปีต่อปี กลุ่มบ้านระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทยังขายได้เรื่อย ๆ เพราะเป็นกลุ่ม Real Demand ที่ต้องการบ้านอยู่อาศัยจริง อย่างไรก็ตาม ผู้ซื้อกลุ่มนี้บางส่วนประสบปัญหากู้ไม่ผ่านจากนโยบายปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวด ทำให้ยอดขายไม่หวือหวามากนัก ส่วนบ้านทาวน์โฮมใหม่ระดับราคา 3–5 ล้านบาทในทำเลเมืองเริ่มได้รับความสนใจจากคนทำงานวัยกลางคนที่มีกำลังซื้อและต้องการบ้านที่คุณภาพชีวิตดีกว่าคอนโด เรียกได้ว่าตลาดเชียงใหม่กำลังอยู่ในช่วงค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น แต่ อำนาจต่อรองยังอยู่ในมือผู้ซื้อ ในหลายพื้นที่ เนื่องจากผู้ขายยินดีมอบเงื่อนไขพิเศษเพื่อปิดการขาย

ภูเก็ต

ภูเก็ตเป็นตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีความคึกคักอันดับต้น ๆ ของประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มอสังหาฯเพื่อการพักผ่อน (บ้านพักตากอากาศ คอนโดริมหาด วิลล่าหรู) อย่างไรก็ดี ตลาดที่อยู่อาศัยสำหรับคนท้องถิ่น ในภูเก็ตเองก็เติบโตไม่น้อย และทาวน์เฮ้าส์ถือเป็นตัวเลือกยอดนิยมทั้งในกลุ่มคนไทยและชาวต่างชาติที่พำนักระยะยาว เนื่องจากราคาที่ถูกกว่าบ้านเดี่ยวมาก แต่ยังได้อยู่ในทำเลที่ไม่ไกลชายหาดหรือแหล่งงาน

หลังวิกฤติโควิดผ่านพ้น ภูเก็ตฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคัก ภายในปี 2566 ภูเก็ตต้อนรับนักท่องเที่ยวกว่า 8 ล้านคน (เพิ่มขึ้นกว่า 150% จากปีก่อน) ส่งผลให้เศรษฐกิจท้องถิ่นกระเตื้อง และความต้องการที่อยู่อาศัยทั้งจากชาวไทยและต่างชาติสูงขึ้น ตลาดบ้านแนวราบในภูเก็ตปี 2567–2568 ขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากดีมานด์ของคนไทยที่อาศัยในพื้นที่ซึ่งได้รับอานิสงส์จากธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว เช่น ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร บริการต่าง ๆ เมื่อรายได้ดีขึ้น หลายครอบครัวก็ขยับขยายซื้อบ้านหลังใหม่หรือบ้านหลังแรกกันมากขึ้น

ทำเลยอดนิยมในภูเก็ตสำหรับซื้อทาวน์เฮ้าส์จะกระจายตามเขตเมืองสำคัญ 3 โซน ได้แก่ อำเภอเมืองภูเก็ต (ใกล้ตัวเมืองและย่านธุรกิจ), อำเภอกะทู้ (เช่น ป่าตอง กะทู้ กมลา เป็นแหล่งท่องเที่ยวและที่พักของแรงงานบริการ) และ อำเภอถลาง (โซนสนามบินและพื้นที่เติบโตใหม่ทางตอนเหนือของเกาะ) โดยอำเภอถลางถือเป็นพื้นที่ที่มีโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่มากที่สุดในช่วงหลัง เพราะที่ดินยังพอมีและรัฐบาลสนับสนุนให้เป็น New Urban Area ของภูเก็ต

ราคาทาวน์เฮ้าส์ในภูเก็ตเฉลี่ยจะสูงกว่าจังหวัดอื่นในภูมิภาคเดียวกันเล็กน้อย เนื่องจากค่าที่ดินและต้นทุนการก่อสร้างบนเกาะสูงกว่า ทาวน์เฮ้าส์ใหม่มาตรฐาน ในภูเก็ตมักเริ่มที่ราว 2–3 ล้านบาทขึ้นไปสำหรับทำเลรอบนอกเมือง ส่วนทาวน์เฮ้าส์ในทำเลใกล้หาดหรือใจกลางเมืองอาจอยู่ในช่วง 4–6 ล้านบาท และมีบางโครงการระดับไฮเอนด์ที่พัฒนาทาวน์โฮมหรู 3–4 ชั้น ราคา 8–10 ล้านบาทขึ้นไป เจาะกลุ่มต่างชาติและคนไทยฐานะดี (แม้ต่างชาติจะซื้อในชื่อคนไทยหรือบริษัท) อย่างไรก็ดี แม้จะมีสินค้าราคาแพง แต่สัดส่วนใหญ่ของตลาดทาวน์เฮ้าส์ภูเก็ตยังเป็นกลุ่มราคาเข้าถึงง่ายสำหรับคนพื้นที่เป็นหลัก

สิ่งที่น่าสนใจคือ นักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะรัสเซีย จีน ยุโรป เริ่มมองภูเก็ตเป็นเป้าหมายลงทุนอสังหาฯ มากขึ้น เห็นได้จากโครงการคอนโดและวิลล่าหรูที่ขายดี แต่สำหรับทาวน์เฮ้าส์ แม้ต่างชาติจะซื้อโดยตรงไม่ได้ แต่ก็มีหลายรายใช้วิธีเข้ามาเช่าระยะยาวหรือซื้อผ่านบริษัท รวมถึงมีคนไทยที่ทำงานต่างประเทศนำเงินมาลงทุนซื้อทาวน์โฮมปล่อยเช่าในภูเก็ต เพราะเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโต (ค่าเช่าบ้านในภูเก็ตค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับจังหวัดอื่น) ทำให้ตลาดนี้มีเม็ดเงินการลงทุนใหม่ ๆ หมุนเวียนเข้ามา

โดยสรุป ภูเก็ตยังคงเป็นตลาดที่สดใสสำหรับทาวน์เฮ้าส์ ในปีปัจจุบันและอนาคต เนื่องจากปัจจัยหนุนด้านการท่องเที่ยวระดับโลกและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน (เช่น โครงการเมืองสนามบินภูเก็ต เฟสใหม่) ผู้ประกอบการอสังหาฯ รายใหญ่ระดับประเทศหลายรายก็เข้ามาลงทุนโครงการบ้านในภูเก็ตมากขึ้น ซึ่งจะยิ่งยกระดับมาตรฐานโครงการและสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ซื้อเพิ่มขึ้นไปอีก

พัทยา (ชลบุรี)

พัทยาและพื้นที่ใกล้เคียงในจังหวัดชลบุรีเป็นทำเลท่องเที่ยวชายทะเลยอดนิยมและอยู่ในเขตเศรษฐกิจ EEC ที่ภาครัฐลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่หลายโครงการ ตลาดอสังหาฯพัทยาในช่วงปี 2566–2567 มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญหลังการท่องเที่ยวฟื้นตัว นักลงทุนทั้งไทยและเทศกลับมาซื้อทรัพย์สินในเมืองท่องเที่ยวแห่งนี้อย่างคึกคัก ทำให้คอนโดมิเนียมเกิดใหม่และยอดขายพุ่งสูง

สำหรับ ตลาดบ้านแนวราบในพัทยา (รวมถึงทาวน์เฮ้าส์และบ้านเดี่ยว) แม้จะมีขนาดเล็กกว่าตลาดคอนโด แต่ก็มีบทบาทรองรับกลุ่มผู้ซื้อที่ต้องการอยู่อาศัยเองระยะยาวหรือใช้เป็นบ้านพักตากอากาศ สัดส่วนการขายบ้านแนวราบคิดเป็นประมาณ 10% ของการซื้อขายอสังหาฯ ทั้งหมดในพื้นที่ (ข้อมูลปี 2566) ผู้ซื้อหลักยังคงเป็นคนไทยหรือชาวต่างชาติที่แต่งงานกับคนไทยที่สามารถถือครองบ้านได้ โดยกลุ่มต่างชาติส่วนใหญ่ยังจำกัดอยู่ในตลาดคอนโดเพราะกฎหมายที่ดินไม่เอื้อ

โซนที่นิยมซื้อทาวน์เฮ้าส์ในพัทยา ได้แก่ โซนพัทยากลาง-พัทยาใต้, โซนจอมเทียน, และพื้นที่รอบนอกเช่นหนองปรือ, ห้วยใหญ่ ซึ่งราคาที่ดินยังพอจับต้องได้และมีชุมชนท้องถิ่นอาศัยอยู่ หน่วยทาวน์เฮ้าส์มือสองในเขตพัทยาเองมีไม่น้อย เนื่องจากพัทยาเติบโตมานาน มีหมู่บ้านจัดสรรดั้งเดิมอยู่หลายแห่ง ทำให้ตลาด รีเซล (บ้านมือสอง) คึกคัก คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 90% ของการซื้อขายทั้งหมด บ่งชี้ว่าคนไทยยังสนใจซื้ออสังหาฯในพัทยาเพื่ออยู่อาศัยหรือสะสมทรัพย์สินระยะยาว มากกว่าที่จะมีแต่ต่างชาติเข้ามาซื้อ

ราคาทาวน์เฮ้าส์ในพัทยามีตั้งแต่ระดับ 1–2 ล้านบาท สำหรับหลังมือสองสภาพเก่าในชุมชนเดิม ไปจนถึง 4–6 ล้านบาท สำหรับทาวน์โฮมโครงการใหม่ที่ได้ทำเลดีหรือมีฟังก์ชันพิเศษ เช่น ใกล้ทะเลหรือมีพื้นที่กว้างขวาง โครงการใหม่บางแห่งเน้นเจาะกลุ่มคนกรุงเทพฯที่ต้องการบ้านพักตากอากาศใกล้ทะเล จึงออกแบบสวยงามสไตล์รีสอร์ตและขายในราคาที่สูงขึ้น กลยุทธ์การขายมักเน้นว่า “คุ้มค่ากว่าซื้อคอนโดในราคาเดียวกันเพราะได้ทั้งหลัง” ซึ่งก็ได้รับความสนใจพอสมควร

แรงผลักดันสำคัญที่ทำให้พัทยาน่าจับตามองในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าคือ เมกะโปรเจ็กต์คมนาคม อย่างโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมกรุงเทพฯ-พัทยา-ระยอง (คาดว่าเปิดใช้ปี 2572) ที่จะทำให้การเดินทางจากกรุงเทพฯมาพัทยาเหลือเพียง ~1 ชั่วโมง และการขยายสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา (35 กม. จากพัทยา) ให้รองรับผู้โดยสารได้หลายสิบล้านคน เมื่อโครงการเหล่านี้เสร็จสมบูรณ์ พัทยาจะยิ่งดึงดูดทั้งนักลงทุนและผู้ต้องการพักอาศัยเพิ่มขึ้น ราคาที่ดินและบ้านมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นไปอีก ดังนั้นช่วงนี้จึงเป็นจังหวะที่หลายคนเริ่มเข้ามาลงทุน “ตุน” อสังหาฯ ไว้ล่วงหน้า

อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น ตลาดทาวน์เฮ้าส์พัทยายังมีปัจจัยท้าทาย เช่น ดอกเบี้ยบ้านที่อยู่ในช่วงขาขึ้นและหนี้ครัวเรือนที่สูง ส่งผลให้ผู้ซื้อบางส่วนชะลอการซื้อหันไปเช่าแทนชั่วคราว ปี 2567 ยอดขายบ้านแนวราบอาจชะลอบ้างเล็กน้อย แต่โดยรวมยังคาดว่าจะเติบโตราว 5-10% เพราะมีแรงหนุนพื้นฐานจากการท่องเที่ยวและเมกะโปรเจ็กต์รัฐอยู่

หัวหิน (ประจวบคีรีขันธ์)

หัวหินเป็นเมืองตากอากาศชายทะเลยอดนิยมที่มีบรรยากาศเงียบสงบและสิ่งอำนวยความสะดวกเพียบพร้อม จึงดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวและผู้เกษียณอายุที่ต้องการบ้านพักตากอากาศหรือบ้านหลังที่สองที่นี่ ตลาดทาวน์เฮ้าส์หัวหิน มีขนาดไม่ใหญ่มากเมื่อเทียบกับทำเลอื่น ๆ เพราะหัวหินพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบในรูปแบบบ้านเดี่ยวและวิลล่าหรูเป็นหลัก กลุ่มคอนโดมิเนียมติดทะเลก็ได้รับความนิยมสูงสำหรับนักลงทุน

อย่างไรก็ตาม ทาวน์เฮ้าส์ในหัวหินยังพอมีให้เห็น โดยเฉพาะในย่านชุมชนเมืองหัวหินดั้งเดิม และบริเวณรอบนอกที่เชื่อมต่อไปยังเขตชะอำหรือปราณบุรี ตัวอย่างทำเลเช่น ซอยหัวหิน 94, ซอยหัวหิน 102–112, โซนเขาตะเกียบ, โซนบ่อฝ้าย เหล่านี้จะพบโครงการทาวน์โฮมขนาดเล็กที่เน้นจับกลุ่มคนท้องถิ่นหรือคนกรุงเทพฯที่ซื้อไว้เป็นบ้านพักตากอากาศสุดสัปดาห์

ราคาทาวน์เฮ้าส์ในหัวหินเริ่มต้นประมาณ 1–2 ล้านบาท สำหรับบ้านมือสองชั้นเดียวหรือสองชั้นขนาดเล็กในเมือง และไต่ระดับขึ้นไป 3–5 ล้านบาท สำหรับทาวน์โฮมใหม่สไตล์โมเดิร์นที่มีพื้นที่ใช้สอยเยอะหรืออยู่ใกล้ทะเลเป็นพิเศษ เนื่องจากที่ดินติดทะเลในหัวหินมีจำกัดและมีราคาแพงมาก สินค้าทาวน์โฮมติดทะเลจึงแทบไม่มี (จะเป็นวิลล่าหรูราคาแพงไปเลย) ทาวน์เฮ้าส์ส่วนใหญ่จะอยู่ห่างชายหาดเข้าไปในเมืองหรือโซนชานเมือง

หัวหินยังเป็นที่สนใจของชาวต่างชาติสูงอายุที่มาใช้ชีวิตบั้นปลาย หลายคนมองหาบ้านเช่าระยะยาวมากกว่าซื้อขาด ทำให้ตลาดเช่าทาวน์เฮ้าส์หัวหินมีแนวโน้มไปได้ด้วยดี ผู้ซื้อบางรายจึงซื้อทาวน์โฮมที่นี่ไว้ปล่อยเช่าให้ชาวต่างชาติหรือชาวกรุงที่มาทำงานระยะสั้น ผลตอบแทนเช่าปานกลาง ~4% แต่ถือว่าความเสี่ยงต่ำเพราะหัวหินเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมสม่ำเสมอ

แนวโน้มตลาดหัวหินในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า คาดว่าจะทรงตัวและเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่หวือหวาเหมือนภูเก็ตหรือพัทยา ปัจจัยสนับสนุนคือโครงการรถไฟทางคู่และมอเตอร์เวย์บางปะอิน-หัวหินที่จะทำให้การเดินทางสะดวกขึ้น รวมถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่หัวหินมีศักยภาพอยู่แล้ว ดังนั้นสำหรับผู้ที่รักความสงบและมองหาบ้านตากอากาศ ทาวน์เฮ้าส์ในหัวหินก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเพราะราคาไม่แรงเกินไป และยังได้บรรยากาศการอยู่อาศัยที่ดีตลอดปี

เกาะสมุย (สุราษฎร์ธานี)

เกาะสมุยเป็นเกาะท่องเที่ยวระดับโลกอีกแห่งที่กำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในแง่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ช่วงก่อนโควิดสมุยอาจดูเงียบ ๆ เมื่อเทียบกับภูเก็ตหรือพัทยา แต่ หลังจากปี 2565 เป็นต้นมา ตลาดสมุยมีสัญญาณก้าวสู่ระยะเติบโตใหม่ นักลงทุนเริ่มมองว่าสมุยยังมีราคาที่ดินและอสังหาฯถูกกว่า ภูเก็ตประมาณ 30-40% ในสินทรัพย์ระดับใกล้เคียงกัน ทำให้เห็นโอกาสในการเข้ามาลงทุนก่อนที่ราคาจะขึ้นไปเท่าภูเก็ต

อสังหาฯในสมุยที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดยังคงเป็น วิลล่าหรูและคอนโดมิเนียมตากอากาศ สำหรับกลุ่มต่างชาติฐานะดี อย่างไรก็ดี ที่อยู่อาศัยสำหรับคนท้องถิ่นและชาวต่างชาติที่อาศัยระยะยาวก็เติบโตตามไปด้วย ทาวน์เฮ้าส์ในสมุยมีไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นการพัฒนาภายในชุมชนท้องถิ่นหรือโครงการเล็ก ๆ ที่กลุ่มทุนท้องถิ่นทำเอง ทำเลที่พบเช่น ย่านหน้าทอน, แม่น้ำ, บ่อผุด, ละไม ซึ่งเป็นจุดที่มีชุมชนและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับชีวิตประจำวันครบ

ราคาทาวน์เฮ้าส์หรือบ้านแฝดในสมุยเฉลี่ยอยู่ที่ ประมาณ 2–5 ล้านบาท สำหรับหลังมาตรฐาน 2–3 ห้องนอน ไม่ไกลจากทะเลมากนัก ถ้าเป็นโครงการใหม่ที่ชูจุดขายเยอะหรือบ้านขนาดใหญ่ขึ้นอาจอยู่ในช่วง 5–7 ล้านบาท ส่วนอสังหาฯที่ราคาสูงกว่านี้ส่วนมากจะเป็นบ้านเดี่ยวหรือวิลล่ามีสระว่ายน้ำส่วนตัวไปเลย (ซึ่งอาจไต่ไปถึงหลักหลายสิบล้านบาทในทำเลหาดสวย) ดังนั้นในเซกเมนต์ทาวน์เฮ้าส์ สมุยยังถือว่ามีราคาค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับศักยภาพการเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก

การเติบโตของตลาดสมุยมาจากดีมานด์ต่างชาติที่ทะลักเข้ามาบางส่วนแทนที่ภูเก็ต เช่น กลุ่มนักลงทุนยุโรป อเมริกา รวมถึงเอเชียบางประเทศ (สิงคโปร์ ฮ่องกง) ที่มองหาบ้านพักตากอากาศราคาสมเหตุสมผล ในขณะเดียวกันกลุ่มคนไทยฐานะดีและบริษัทพัฒนาอสังหาฯใหญ่ ๆ ก็เข้ามาลงทุนโครงการในสมุยเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดความเชื่อมั่นและดึงดูดให้เกิด “ชุมชนคุณภาพ” รองรับการอยู่อาศัยระยะยาวมากขึ้น (ไม่ใช่มีแต่แหล่งท่องเที่ยวชั่วครั้งชั่วคราว)

แนวโน้มในปี 2568 ตลาดสมุยอยู่ในภาวะ สมดุล มากขึ้น กล่าวคือมีทั้งดีมานด์และซัพพลายใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น แต่ยังไม่ถึงขั้นฟองสบู่ เนื่องจากการเติบโตจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปตามข้อจำกัดของเกาะ เช่น พื้นที่ดินที่มีจำกัด ระบบสาธารณูปโภคที่ต้องขยายตาม และข้อจำกัดเรื่องเอกสารสิทธิ์ที่ดิน (บางส่วนเป็น น.ส.3 หรือ สค.1 ที่ต้องจัดให้ถูกต้องก่อนพัฒนา) ทำให้นักลงทุนที่เข้ามาสมุยมองกันยาว ๆ 3-5 ปีขึ้นไป ไม่ได้หวังซื้อปีนี้ขายปีหน้าเก็งกำไรก้อนโต แต่หวังผลตอบแทนระยะกลางจากค่าเช่าที่ต่อเนื่องและการเพิ่มมูลค่าของทรัพย์สินเมื่อเวลาผ่านไป

โดยสรุป สมุยเป็นทำเลที่ น่าจับตามองในฐานะ “เพชรเม็ดงาม” ที่อาจกลายเป็นเป้าหมายหลักของตลาดต่างชาติในอนาคต เมื่อภูเก็ตมีต้นทุนแพงขึ้น คนก็จะหันมาสมุยมากขึ้น และ ณ ตอนนี้ราคายังอยู่ในจุดที่สมเหตุสมผล ทำให้เป็นโอกาสสำหรับผู้ที่สนใจอสังหาฯในเมืองท่องเที่ยวที่จะเข้าซื้อก่อนที่มูลค่าจะขยับสูงไปอีกขั้น

จากภาพรวมทำเลต่าง ๆ ข้างต้น จะเห็นได้ว่าการเลือกทำเลซื้อทาวน์เฮ้าส์ควรพิจารณา เป้าหมายการซื้อ ของเราด้วย หากต้องการอยู่อาศัยเองระยะยาวและทำงานในจังหวัดนั้น ๆ ก็ควรเลือกทำเลที่สะดวกกับชีวิตประจำวันของเรา แต่หากซื้อเพื่อการลงทุน ปล่อยเช่า หรือเก็งกำไร ก็ควรมองหาทำเลที่มีแนวโน้มเติบโต มีโครงการภาครัฐหนุน และมีดีมานด์ต่อเนื่อง การศึกษาตลาดเฉพาะพื้นที่ก่อนตัดสินใจจะช่วยให้การลงทุนนั้นคุ้มค่ามากที่สุด

เปรียบเทียบทาวน์เฮ้าส์กับบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียม

ผู้ซื้อบ้านหลายคนอาจลังเลระหว่างการเลือก ทาวน์เฮ้าส์ vs บ้านเดี่ยว vs คอนโดมิเนียม เนื่องจากแต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียต่างกัน การทำความเข้าใจความแตกต่างจะช่วยให้ตัดสินใจได้ตรงกับความต้องการของตัวเองยิ่งขึ้น

ทาวน์เฮ้าส์ vs บ้านเดี่ยว

ราคาและความคุ้มค่า: โดยทั่วไปทาวน์เฮ้าส์มีราคาถูกกว่าบ้านเดี่ยวในทำเลเดียวกันอย่างมาก ด้วยงบประมาณเท่ากันที่ซื้อได้แค่บ้านเดี่ยวชานเมือง คุณอาจซื้อทาวน์เฮ้าส์ได้ใกล้เมืองกว่า หรือถ้างบเท่ากับคอนโดใจกลางเมือง ก็อาจได้ทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้นพร้อมที่จอดรถในเขตรอบนอก แง่นี้ทาวน์เฮ้าส์จึงคุ้มค่าเรื่องพื้นที่ต่อราคา ส่วนบ้านเดี่ยวแม้แพงกว่าแต่ก็มีที่ดินเป็นของตัวเองมากกว่า ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในระยะยาว

พื้นที่และความเป็นส่วนตัว: บ้านเดี่ยวให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวสูงสุด ไม่มีผนังติดกับใคร มีพื้นที่รอบบ้านทั้ง 4 ด้าน สามารถจัดสวน ปลูกต้นไม้ใหญ่ หรือเลี้ยงสัตว์ได้เต็มที่ เสียงรบกวนจากบ้านข้างเคียงก็น้อยกว่า ต่างจากทาวน์เฮ้าส์ที่แชร์ผนังกับเพื่อนบ้าน 1-2 ด้าน เสียงดังทะลุถึงกันได้บ้าง และมีพื้นที่ด้านข้างจำกัด อย่างไรก็ตาม บ้านเดี่ยวก็มาพร้อมภาระดูแลที่มากกว่า ทั้งการดูแลสวน การทำความสะอาดพื้นที่ภายนอก และค่าใช้จ่ายบำรุงรักษาที่สูงกว่า

ขนาดครอบครัวและการใช้งาน: บ้านเดี่ยวเหมาะกับครอบครัวใหญ่หรือผู้ที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยมาก ๆ และให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ฐานะเพราะบ้านเดี่ยวมักดูภูมิฐานกว่า ส่วนทาวน์เฮ้าส์เหมาะกับครอบครัวขนาดเล็กถึงกลาง ที่ต้องการประโยชน์ใช้สอยครบแต่ไม่ต้องการพื้นที่รอบบ้านเยอะ การอยู่อาศัยในทาวน์เฮ้าส์อาจต้องมีกฎกติกาเล็กน้อยร่วมกับเพื่อนบ้านเพื่อรักษาสัมพันธภาพที่ดี (เช่น ไม่ส่งเสียงดังตอนดึก ไม่จอดรถขวางหน้าบ้านคนอื่น) ขณะที่บ้านเดี่ยวมีอิสระเต็มที่กว่า

ศักยภาพการปรับปรุงต่อเติม: บ้านเดี่ยวสามารถต่อเติมหรือดัดแปลงได้ง่ายกว่าและหลากหลายกว่า (เช่น สร้างสระว่ายน้ำ ขยายห้อง เพิ่มชั้น) โดยมักไม่กระทบเพื่อนบ้าน ส่วนทาวน์เฮ้าส์การต่อเติมต้องทำอย่างระมัดระวังเพราะโครงสร้างบ้านเชื่อมโยงกัน และการเปลี่ยนแปลงบางอย่างอาจรบกวนบ้านติดกัน นอกจากนี้หมู่บ้านจัดสรรบางแห่งมีข้อห้ามต่อเติมหน้าบ้านหรือหลังบ้านเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ดังนั้นถ้าคิดจะซื้อทาวน์เฮ้าส์แล้วต่อเติมเยอะ ๆ อาจไม่สะดวกเท่าบ้านเดี่ยว

โดยสรุป ถ้างบประมาณไม่ใช่ปัญหาและต้องการพื้นที่/ความเป็นส่วนตัวสูง บ้านเดี่ยวคือคำตอบ แต่ถ้างบจำกัดและยังอยากได้บ้านที่มีฟังก์ชันการอยู่อาศัยครบ ทาวน์เฮ้าส์ก็เป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลและคุ้มค่า

ทาวน์เฮ้าส์ vs คอนโดมิเนียม

ทำเลที่ตั้ง: คอนโดมิเนียมมีจุดแข็งเรื่องทำเลเพราะส่วนใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง หรือใกล้รถไฟฟ้า ห้าง และแหล่งงาน การอยู่คอนโดจึงสะดวกมากในแง่เดินทางและเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกเมือง ขณะที่ทาวน์เฮ้าส์มักอยู่ในซอยหรือชานเมืองมากกว่า (ในเมืองแทบไม่มีเพราะที่ดินแพง) ดังนั้นคนที่ต้องการอยู่ใจกลางเมืองจริง ๆ หรือไม่มีรถยนต์ส่วนตัวอาจเอนเอียงไปทางคอนโด อย่างไรก็ดี ทุกวันนี้มีทาวน์โฮมหลายโครงการที่ตั้งในทำเลไม่ไกลรถไฟฟ้าสายใหม่ ๆ เพียง 5–10 นาทีถึงสถานี ซึ่งเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่อยากได้บ้านและยังทำงานในเมือง

พื้นที่ใช้สอยและจำนวนห้อง: นี่คือจุดที่ทาวน์เฮ้าส์ได้เปรียบคอนโดชัดเจน พื้นที่ใช้สอยของคอนโดโดยเฉลี่ยสำหรับห้อง 2 ห้องนอนอยู่ที่ราว 50–70 ตร.ม. เท่านั้น ขณะที่ทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้นจะมีพื้นที่ใช้สอย 100–150 ตร.ม. ขึ้นไป แถมมีห้องแยกเป็นสัดส่วนหลายห้อง คนละชั้นกันได้ ความเป็นสัดส่วนในทาวน์เฮ้าส์เหมาะกับครอบครัวหรือการทำงานที่ต้องการความเงียบส่วนตัว ขณะที่คอนโดพื้นที่จำกัด การจะจัดห้องทำงานหรือห้องนอนเพิ่มทำได้ยาก การมีหลายชั้นยังทำให้คนละวัยแยกโซนกันได้ (เช่น ลูกวัยรุ่นอยู่ชั้นบน พ่อแม่อยู่ชั้นล่าง) ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านจริง ๆ มากกว่าอยู่แฟลต

การดูแลรักษาและค่าใช้จ่ายรายเดือน: คอนโดมีข้อดีคือผู้พักอาศัยดูแลเฉพาะภายในห้องของตัวเองเท่านั้น ส่วนภายนอกอาคารและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มีนิติบุคคลดูแลให้ตามค่าส่วนกลางที่เราจ่ายทุกเดือน การอยู่คอนโดจึงสะดวกสบายไม่ต้องกังวลเรื่องสวน เรื่องหลังคารั่ว ฯลฯ ในขณะที่ทาวน์เฮ้าส์ผู้ซื้อต้องดูแลทั้งตัวบ้านและพื้นที่รอบบ้านเองทั้งหมด (ยกเว้นถนนส่วนกลางที่นิติฯดูแล) งานซ่อมแซมต่าง ๆ ต้องเรียกช่างเอง ค่าส่วนกลางหมู่บ้านก็มีแต่จะครอบคลุมน้อยกว่าคอนโด ค่าส่วนกลางคอนโดมักสูงกว่า (เพราะมีลิฟต์ อาคารสูง บริการเยอะ) ขณะที่ค่าส่วนกลางทาวน์เฮ้าส์มักถูกกว่า แต่เราต้องจ่ายค่าน้ำประปาและค่าไฟฟ้าทั้งหมดเอง (คอนโดส่วนกลางบางส่วนรวมค่าน้ำ/แอร์ในโถงลิฟต์ ฯลฯ ไปแล้ว) ทั้งนี้ คอนโดอาจมีค่าใช้จ่ายแฝงอื่น ๆ เช่น ค่าที่จอดรถ (บางแห่งให้ที่จอดไม่ครบทุกห้อง ต้องเช่าเพิ่ม) ส่วนทาวน์เฮ้าส์ทุกหลังจะมีที่จอดรถส่วนตัวอย่างน้อย 1–2 คันอยู่แล้ว

สิ่งอำนวยความสะดวก: คอนโดสมัยใหม่มักยกระดับสิ่งอำนวยความสะดวกให้มากมาย เช่น สระว่ายน้ำวิวเมือง ฟิตเนสอุปกรณ์ครบ ห้องประชุม Co-working space สวนลอยฟ้า ระบบล็อบบี้นิติ ฯลฯ ซึ่งแน่นอนว่าทาวน์เฮ้าส์ปกติไม่สามารถมีได้ครบแบบนั้น (ยกเว้นทาวน์โฮมบางโครงการที่อาจมีคลับเฮาส์ สระว่ายน้ำเล็ก ๆ) ดังนั้นถ้าคุณชอบใช้ฟิตเนสหรู ว่ายน้ำทุกวัน หรือให้ความสำคัญกับ facilities การอยู่คอนโดอาจตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์มากกว่า แต่ก็ต้องแลกกับพื้นที่ห้องพักที่เล็กลง ส่วนการอยู่ทาวน์เฮ้าส์ คุณอาจต้องลงทุนติดตั้งอุปกรณ์ออกกำลังกายเองหรือขับรถไปใช้บริการสปอร์ตคลับภายนอกแทน

ความเป็นส่วนตัวและเสียงรบกวน: คอนโดแม้จะไม่ได้มีผนังติดกันแบบทาวน์เฮ้าส์ แต่การอยู่ในอาคารร่วมกับคนนับร้อยก็อาจมีเสียงดังรบกวนจากห้องข้างเคียงหรือชั้นบน/ล่างได้ รวมถึงเสียงจากโถงทางเดิน ลิฟต์ และกิจกรรมส่วนกลางต่าง ๆ ขณะที่ทาวน์เฮ้าส์มีเพียงบ้านติดกันซ้ายขวา (ถ้าเป็นหลังกลาง) เสียงรบกวนจึงมาจากเพื่อนบ้านสองด้านเท่านั้น และถ้าบ้านข้างเคียงไม่ได้เสียงดังมาก การอยู่ทาวน์เฮ้าส์อาจเงียบสงบกว่าคอนโดด้วยซ้ำ นอกจากนี้ทาวน์เฮ้าส์ไม่มีคนอยู่เหนือหัวหรือใต้พื้น ต่างจากคอนโดที่บางครั้งอาจได้ยินเสียงเท้าคนเดินหรือเสียงเฟอร์นิเจอร์ลากจากชั้นบนลงมา

ข้อจำกัดการเลี้ยงสัตว์: จุดนี้เป็นดีลเบรกเกอร์สำหรับหลายคน – หากคุณต้องการเลี้ยงสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัขหรือแมว ตัวเลือกแทบจะเหลือเฉพาะบ้านเดี่ยวหรือทาวน์เฮ้าส์เท่านั้น เพราะคอนโดส่วนมากมีกฎห้ามเลี้ยงสัตว์ (หรือมีก็จำกัดขนาดมาก ๆ) การมีพื้นที่ดินเล็ก ๆ ที่เป็นของตัวเองจะทำให้สัตว์เลี้ยงของคุณมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าและไม่รบกวนผู้อื่น

กล่าวโดยสรุป ทาวน์เฮ้าส์เป็นจุดกึ่งกลางระหว่างบ้านเดี่ยวกับคอนโด รวมเอาข้อดีบางส่วนของทั้งสองฝั่ง เช่น มีหลายชั้นและพื้นที่ใช้สอยใกล้เคียงบ้าน ให้ความรู้สึกบ้าน ในขณะเดียวกันราคาจับต้องได้ใกล้เคียงคอนโด และดูแลง่ายกว่าเล็กน้อยเหมือนคอนโด เพราะไม่มีสนามหญ้ากว้างหรือที่ดินมาก ๆ ให้ดูแล สิ่งที่ต้องแลกมาคือทำเลที่อาจไม่ใจกลางเมืองเท่าคอนโด และความเป็นส่วนตัวที่น้อยกว่าบ้านเดี่ยว แต่สำหรับหลาย ๆ คน นี่เป็นสมดุลที่ลงตัวกับวิถีชีวิตและงบประมาณที่ตั้งไว้

ราคาเฉลี่ยและช่วงราคาทาวน์เฮ้าส์ตามทำเลหลัก

ก่อนตัดสินใจซื้อ การทราบข้อมูล ระดับราคา ของทาวน์เฮ้าส์ในทำเลต่าง ๆ จะช่วยให้คุณประเมินงบประมาณและความคุ้มค่าได้ดียิ่งขึ้น ตารางด้านล่างนี้แสดงการเปรียบเทียบราคาโดยประมาณของทาวน์เฮ้าส์ในทำเลยอดนิยมทั่วประเทศไทย (หน่วย: ล้านบาท)

ทำเล

ราคาทาวน์เฮ้าส์ทั่วไป (ประมาณการ)

กรุงเทพฯ (รวมปริมณฑล)

2 – 20 ล้านบาทขึ้นไป (ใจกลางเมืองราคาอาจสูงกว่านี้)

เชียงใหม่

1.5 – 5 ล้านบาท (ทำเลในเมืองราคาสูงกว่าเขตรอบนอก)

ภูเก็ต

2 – 8 ล้านบาท (บางทำเลตากอากาศอาจสูงถึง ~10 ล้าน)

พัทยา (ชลบุรี)

1.5 – 6 ล้านบาท (โครงการใหม่บางแห่งอาจสูงกว่านี้)

หัวหิน (ประจวบฯ)

1 – 5 ล้านบาท (ใกล้ชายหาดหรือในเมืองราคาสูงกว่า)

เกาะสมุย (สุราษฎร์ฯ)

2 – 7 ล้านบาท (อสังหาฯหรู/หลังใหญ่บางยูนิตเกิน 10 ล้าน)

หมายเหตุ: ราคาอาจแตกต่างขึ้นอยู่กับอายุทรัพย์สิน ขนาดที่ดิน พื้นที่ใช้สอย ตลอดจนสภาพและการตกแต่ง บ้านมือสองมักจะมีราคาต่ำกว่าบ้านใหม่ในขนาดและทำเลเดียวกัน ในขณะที่โครงการใหม่ที่มีแบรนด์หรือสเปกวัสดุดีก็อาจตั้งราคาแพงกว่าค่าเฉลี่ยของพื้นที่นั้น ๆ

จากตารางจะเห็นได้ว่า กรุงเทพฯ มีความหลากหลายของราคามากที่สุด เนื่องจากมีทั้งโครงการทาวน์เฮ้าส์ราคาถูกในชานเมืองและทาวน์โฮมหรูใจกลางเมือง ในขณะที่ เชียงใหม่ พัทยา หัวหิน ราคาทาวน์เฮ้าส์จะอยู่ในช่วงกลาง ๆ ใกล้เคียงกัน (หลักล้านต้นถึงกลาง) ส่วน ภูเก็ตและสมุย ราคาจะสูงกว่านิดเนื่องจากเป็นตลาดพิเศษที่มีผู้ซื้อจากทั้งในและต่างประเทศและที่ดินมีจำกัด โดยเฉพาะในภูเก็ตที่ค่าครองชีพสูงกว่าพื้นที่อื่น

ข้อมูลเหล่านี้สามารถใช้เป็น แนวทางเบื้องต้น ให้ผู้ซื้อประเมินได้ว่าทำเลไหนสอดคล้องกับงบประมาณที่ตนเองตั้งไว้ เช่น หากมีงบ ~3 ล้านบาท คุณอาจซื้อทาวน์โฮมใหม่ในโซนชานเมืองกรุงเทพฯหรือหัวเมืองใหญ่ได้ หรือซื้อบ้านมือสองสภาพดีในตัวเมืองเชียงใหม่/พัทยา แต่ถ้าต้องการทาวน์โฮมในภูเก็ตงบนี้อาจได้แค่บ้านมือสองหรือต้องขยับออกนอกตัวเมือง เป็นต้น ทั้งนี้ควรติดตามราคาตลาดอัปเดตจากแหล่งข้อมูลอสังหาฯที่น่าเชื่อถือควบคู่ไปด้วย เพราะราคามีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามภาวะตลาด

ภาษีและค่าใช้จ่ายในการซื้อทาวน์เฮ้าส์

การซื้อบ้านนอกจากราคาเต็มของบ้านแล้ว ผู้ซื้อต้องเตรียมงบประมาณสำหรับ ภาษี ค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้:

  • ค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์: โดยปกติมีอัตรา 2% ของราคาประเมินที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (หรือราคาซื้อขาย หากสูงกว่า) ซึ่งค่าใช้จ่ายส่วนนี้ตามธรรมเนียมผู้ซื้อกับผู้ขายมักแบ่งชำระคนละครึ่ง (ฝ่ายละ 1%) ในกรณีซื้อบ้านใหม่จากโครงการ บางแห่งจะมีโปรโมชั่นออกค่าธรรมเนียมให้ทั้งหมดเพื่อจูงใจลูกค้า แต่หากซื้อขายกันเองต้องตกลงกัน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันภาครัฐมีมาตรการลดค่าธรรมเนียมโอนเหลือ 0.01% สำหรับบ้านราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท ถึงสิ้นปี 2568 ซึ่งครอบคลุมทาวน์เฮ้าส์ส่วนใหญ่ เช่น บ้านราคา 3 ล้านบาท ค่าธรรมเนียมโอนจะเหลือเพียง 300 บาท (จากเดิม 60,000 บาท) ทำให้ผู้ซื้อประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้มาก
  • ค่าจดจำนอง (กรณีกู้เงินธนาคาร): หากผู้ซื้อใช้สินเชื่อบ้าน ธนาคารจะนำบ้านและที่ดินจดจำนองเป็นประกันการกู้ โดยมีค่าจดจำนอง 1% ของวงเงินกู้ ส่วนนี้ปกติผู้ซื้อเป็นผู้จ่าย ณ วันโอนกรรมสิทธิ์ (เว้นแต่มีโปรฯ ฟรีค่าจดจำนอง) ทั้งนี้รัฐก็มีมาตรการลดเหลือ 0.01% เช่นกันสำหรับบ้านไม่เกิน 7 ล้านในช่วงนี้ เช่น วงเงินกู้ 2,000,000 บาท ค่าจดจำนองปกติ 20,000 บาท ลดเหลือเพียง 200 บาท
  • อากรแสตมป์หรือภาษีธุรกิจเฉพาะ: เกี่ยวข้องกับการขายทรัพย์โดยผู้ขายเป็นผู้จ่ายตามกฎหมาย แต่ในทางปฏิบัติอาจมีผลทางอ้อมกับราคาที่ผู้ซื้อจ่าย โดยถ้าอสังหาฯถือครองเกิน 5 ปีหรือเป็นบ้านมือหนึ่งจากบริษัท จะเสียเป็น อากรแสตมป์ 0.5% ของราคาซื้อขาย (ผู้ขายจ่าย) แต่ถ้าถือครองไม่ถึง 5 ปีและไม่ได้เป็นมรดก จะต้องเสีย ภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% ของราคาขาย (ผู้ขายจ่าย) ภาษีส่วนนี้บางครั้งผู้ซื้อกับผู้ขายอาจตกลงรวมไว้ในราคาซื้อขาย (เช่น ผู้ขายบวกเพิ่มมา) จึงควรทราบไว้เพื่อการเจรจาต่อรองที่เหมาะสม
  • ค่าภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย: กรณีซื้อบ้านจากบุคคลธรรมดา ผู้ขายต้องชำระภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ณ กรมที่ดิน ซึ่งคำนวณตามราคาประเมินและปีที่ถือครอง (เป็นอัตราก้าวหน้า) ส่วนนี้ก็เป็นหน้าที่ผู้ขายตามกฎหมาย แต่มักจะส่งผลต่อราคาขายเช่นกัน (ผู้ขายอาจตั้งราคาเผื่อภาษีนี้)
  • ค่ามัดจำ/จองและเงินดาวน์: ในขั้นตอนจองซื้อบ้านโครงการ ผู้ซื้อต้องจ่ายเงินจองและทำสัญญาตามที่โครงการกำหนด (เช่น 10,000-50,000 บาท ขึ้นกับราคาโครงการ) และทยอยผ่อนดาวน์ตามงวดหากบ้านยังสร้างไม่เสร็จ หรือชำระเงินดาวน์ก้อน (เช่น 5-20% ของราคาบ้าน) หากกู้ธนาคารไม่เต็ม 100% ดังนั้นต้องเตรียมสภาพคล่องส่วนนี้ไว้ให้พอ
  • ค่าส่วนกลางค้างจ่าย: กรณีซื้อบ้านมือสองในโครงการจัดสรร ควรสอบถามว่านิติบุคคลมีค่าส่วนกลางที่เจ้าของเดิมค้างชำระหรือไม่ ตามหลักแล้วผู้ขายควรชำระให้ครบก่อนโอน แต่บางครั้งอาจตกลงให้ผู้ซื้อรับภาระ ก็ต้องเผื่องบไว้เคลียร์ส่วนนี้
  • ค่ากองทุนหมู่บ้านและค่าประกันต่าง ๆ: สำหรับบ้านโครงการใหม่ ผู้ซื้อจะต้องจ่าย เงินกองทุนส่วนกลาง (Sinking Fund) ให้กับนิติบุคคลหมู่บ้านชำระครั้งเดียวตอนโอน ซึ่งคิดตามตร.ว.หรือหลัง (เช่น หลังละ 500 บาทต่อตร.ว. เป็นต้น) เพื่อเป็นทุนสำรองของหมู่บ้าน นอกจากนี้อาจมีการจัดเก็บ ค่าประกันมิเตอร์ไฟฟ้า/ประปา ที่ต้องจ่ายการไฟฟ้า/ประปาเมื่อติดตั้งใหม่ ประมาณ 1,000-2,000 บาท
  • ค่าตกแต่ง ต่อเติม และเฟอร์นิเจอร์: หลังรับโอนบ้าน คุณอาจมีค่าใช้จ่ายในการตกแต่งบ้านเพิ่มเติมตามความชอบ เช่น ทำครัวบิลท์อิน ติดผ้าม่าน ปูพื้น ทำหลังคาที่จอดรถ ซื้อเฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ งบประมาณส่วนนี้สามารถมากหรือน้อยขึ้นกับความต้องการ แต่โดยทั่วไปควรเผื่อไว้อย่างน้อย 5-10% ของราคาบ้าน เพื่อที่จะได้เข้าอยู่อาศัยได้อย่างสมบูรณ์และสะดวกสบาย
  • ค่าประกันภัยบ้าน: ธนาคารผู้ปล่อยสินเชื่อมักกำหนดให้ผู้กู้ทำประกันอัคคีภัยสำหรับบ้าน (และประกันชีวิต MRTA กรณีกู้ร่วม) ซึ่งมีค่าเบี้ยประกัน ต้องจ่ายตอนวันโอนกรรมสิทธิ์เช่นกัน (เบี้ยอัคคีภัยประมาณหลักพันบาทต่อบ้าน 1 หลัง ขึ้นอยู่กับทุนประกัน) การมีประกันจะช่วยคุ้มครองบ้านคุณจากเหตุไม่คาดฝัน เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม
  • ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (รายปี): หลังจากเป็นเจ้าของบ้านแล้ว ในแต่ละปีภาครัฐจะจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยคิดตามมูลค่าประเมินของที่ดิน+บ้านหลังนั้น สำหรับบ้านที่เป็นที่อยู่อาศัยหลังหลักมูลค่าต่ำกว่า 50 ล้านบาท ได้รับการยกเว้นภาษี (กล่าวคือคนส่วนใหญ่ที่มีบ้านหลังเดียวหรือบ้านราคาไม่สูงจะไม่ต้องเสียภาษีนี้เลย) แต่หากคุณมีบ้านหลายหลัง หรือบ้านหลังนี้ไม่ได้อาศัยเอง (เช่น ปล่อยเช่า) อาจมีภาระภาษีปีละเล็กน้อย (อัตราภาษีประมาณ 0.02-0.1% ของมูลค่าประเมิน) ซึ่งองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นจะส่งใบแจ้งให้ไปชำระเป็นรายปี

รายการข้างต้นอาจฟังดูเยอะ แต่หลายอย่างเป็นค่าใช้จ่ายครั้งเดียวตอนโอน เมื่อชำระครบก็จะไม่มีภาระอะไรเพิ่มเติมนอกจากผ่อนค่างวดและค่าส่วนกลาง ดังนั้นการวางแผนการเงินก่อนซื้อบ้านจึงควรรอบคอบ เตรียมเผื่อในทุกหมวดค่าใช้จ่าย บางกรณีเช่นค่าธรรมเนียมโอน-จดจำนอง หากรัฐมีนโยบายลดค่าธรรมเนียมก็จะช่วยประหยัดเงินไปได้มาก (ดังที่เกิดขึ้นในปี 2566–2568) ผู้ซื้อควรติดตามข่าวสารภาครัฐเพื่อใช้สิทธิประโยชน์อย่างเต็มที่

แนวโน้มตลาดทาวน์เฮ้าส์ในอีก 5 ปีข้างหน้า (2569–2573)

มองไปข้างหน้าในช่วง 5 ปีข้างหน้า (2569–2573) ตลาดทาวน์เฮ้าส์ของไทยมีทิศทางที่จะเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยเศรษฐกิจและสังคมหลายประการ ดังนี้:

  • การฟื้นตัวของกำลังซื้อและเศรษฐกิจ: หากเศรษฐกิจไทยเติบโตต่อเนื่องที่ระดับ 3-4% ต่อปีตามที่คาดการณ์หลังสถานการณ์โลกกลับสู่ปกติ จะส่งผลให้กำลังซื้อของชนชั้นกลางค่อย ๆ ดีขึ้น ความเชื่อมั่นในการซื้อที่อยู่อาศัยจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหากรัฐบาลยังมีมาตรการสนับสนุนผู้ซื้อบ้านหลังแรกอย่างต่อเนื่อง (เช่น ดอกเบี้ยต่ำพิเศษ ลดค่าโอน ฯลฯ) ตลาดทาวน์เฮ้าส์ซึ่งตอบโจทย์กลุ่มนี้โดยตรงก็จะได้รับแรงส่งตามไปด้วย อาจเห็นยอดขายและการเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หลังปี 2569 เป็นต้นไป
  • อัตราดอกเบี้ยและเข้าถึงสินเชื่อ: แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า (2569-2570) มีโอกาสปรับลดลงจากปัจจุบัน หากเศรษฐกิจโลกชะลอทำให้ธนาคารกลางผ่อนคลายนโยบายเงิน ในไทยเองก็อาจลดดอกเบี้ยนโยบายส่งผลให้ดอกเบี้ยเงินกู้บ้านลงมาอยู่ในระดับ ~5% หรือต่ำกว่าอีกครั้ง การผ่อนบ้านจะง่ายขึ้นและจูงใจให้คนตัดสินใจซื้อบ้านเร็วขึ้น นอกจากนี้ธนาคารต่าง ๆ แข่งกันปล่อยสินเชื่อบ้านมากขึ้น (เห็นได้จากช่วงปี 2568 ที่หลายธนาคารออกแคมเปญดอกเบี้ยคงที่ต่ำๆ ช่วง 3 ปีแรก) ในอนาคตผู้ซื้อบ้านโดยเฉพาะทาวน์เฮ้าส์ราคากลางๆ จะ เข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ผ่านโปรแกรมของธนาคารและฟินเทคใหม่ ๆ ที่เข้ามาช่วย เช่น ระบบประเมินเครดิตด้วย AI การรีไฟแนนซ์ออนไลน์สะดวกขึ้น เป็นต้น
  • การขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐานและเมือง: ในอีก 5 ปี จะมีโครงการโครงสร้างพื้นฐานใหญ่ ๆ แล้วเสร็จหลายโครงการ เช่น รถไฟฟ้าสายใหม่ในกรุงเทพฯ (สายสีเหลืองส่วนต่อขยาย, สีชมพู, สีส้ม) โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (กรุงเทพฯ-อู่ตะเภา) โครงการมอเตอร์เวย์ใหม่ ๆ สิ่งเหล่านี้จะก่อให้เกิด ทำเลที่อยู่อาศัยศักยภาพใหม่ ๆ ตามแนวโครงการ ทาวน์เฮ้าส์ซึ่งมักอยู่ชานเมืองจะได้รับประโยชน์เพราะการเดินทางสะดวกขึ้น ทำเลที่เคยไกลก็จะใกล้ขึ้นในเชิงเวลา คาดว่าจะมีหมู่บ้านจัดสรรใหม่เกิดขึ้นตามแนวรถไฟฟ้าชานเมืองมากมายเพื่อตอบสนอง demand ของคนที่ยอมอยู่ไกลขึ้นแต่เดินทางเข้าเมืองได้ง่าย โซน EEC (ชลบุรี ระยอง) ก็จะเติบโตอย่างมากหลังรถไฟความเร็วสูงและสนามบินอู่ตะเภาเปิดใช้ เมืองพัทยา-ศรีราชา-ระยองจะขยายตัวซึ่งตามมาด้วยตลาดทาวน์เฮ้าส์ที่ขยายตาม
  • พฤติกรรมและโครงสร้างประชากร: กลุ่ม คนเจเนอเรชันใหม่ (Gen Y, Gen Z) ที่ปัจจุบันอาจนิยมเช่าบ้านอยู่ (ปรากฏการณ์ Generation Rent) ในที่สุดเมื่ออายุมากขึ้น แต่งงาน มีลูก ความต้องการเป็นเจ้าของบ้านจะเพิ่มขึ้นตามวัฏจักรชีวิต ซึ่งคนกลุ่มนี้มีแนวโน้มจะเลือกทาวน์เฮ้าส์หรือบ้านแฝดเป็นบ้านหลังแรกเนื่องจากราคาเอื้อมถึงกว่าบ้านเดี่ยว ความต้องการสะสมทรัพย์สินของกลุ่มมิลเลนเนียลจะเริ่มแสดงออกชัดในช่วง 5-10 ปีข้างหน้าเมื่อพวกเขามีความมั่นคงการงานขึ้น ตลาดทาวน์เฮ้าส์จะได้รับอานิสงส์จากดีมานด์กลุ่มนี้ ประกอบกับ สังคมผู้สูงอายุ ที่เพิ่มขึ้น: เราอาจเห็นผู้สูงวัยบางส่วนขายบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ในเมือง แล้วย้ายมาอยู่ทาวน์เฮ้าส์ชานเมืองที่เล็กลง ดูแลง่ายขึ้น และได้เงินส่วนต่างไปใช้ยามเกษียณ เทรนด์นี้อาจเกิดกับผู้สูงอายุกลุ่มที่ช่วยเหลือตนเองได้และไม่อยากอยู่คอนโด (เพราะยังอยากมีพื้นที่ดินของตัวเอง)
  • การแข่งขันในตลาดและนวัตกรรม: เมื่อดีมานด์เริ่มกลับมา ผู้พัฒนาโครงการจะเริ่ม แข่งขันด้านนวัตกรรมและคุณภาพ กันมากขึ้นในตลาดทาวน์เฮ้าส์ คาดว่าจะได้เห็นบ้านรุ่นใหม่ที่มีฟังก์ชันแปลกใหม่ เช่น บ้านประหยัดพลังงาน ติดตั้งโซลาร์เซลล์มาจากโครงการเลย หรือบ้านที่ออกแบบ Universal Design รองรับผู้สูงอายุ/ผู้พิการ รวมถึงการนำเสนอรูปแบบ บ้านกึ่งสำเร็จรูป (Prefabrication) ที่ช่วยให้สร้างบ้านได้เร็วขึ้น ลดต้นทุน และอาจทำให้ราคาขายถูกลง เทคโนโลยีการก่อสร้างและวัสดุใหม่ ๆ จะถูกใช้มากขึ้น เช่น ผนังกันเสียงที่ดีขึ้น วัสดุเบาแต่แข็งแรง เพื่อตอบโจทย์ pain point ของทาวน์เฮ้าส์เรื่องเสียงรบกวนและความร้อน เป็นต้น นอกจากนี้ การตลาดขายบ้านจะยิ่งทำผ่านออนไลน์และ Virtual Tour มากขึ้น ผู้ซื้อสามารถชมโครงการ เสพรีวิว และตัดสินใจได้ง่ายผ่านอินเทอร์เน็ต ทำให้การเข้าถึงลูกค้าแพร่หลายกว่าเดิม
  • ราคาที่ดินและแนวโน้มราคา: ปัจจัยหนึ่งที่น่าจะเกิดขึ้นแน่นอนคือ ราคาที่ดินจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในเขตเมืองและปริมณฑล เมื่อที่ดินแพงขึ้น ต้นทุนพัฒนาสูงขึ้น ราคาขายบ้านใหม่ก็มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นตาม แม้อาจไม่หวือหวามากแต่เฉลี่ยแล้วอาจเห็นการปรับขึ้นปีละ 3-5% ในทำเลทั่วไป และ 5-7% ในทำเลฮอต ดังนั้นทาวน์เฮ้าส์ที่ซื้อวันนี้ในราคา 3 ล้านบาท อีก 5 ปีข้างหน้าอาจมีมูลค่า ~3.5 ล้านบาทได้ (ในสภาพที่ดูแลรักษาดี) ซึ่งสะท้อนให้เห็นโอกาสการเติบโตของมูลค่าทรัพย์สินสำหรับผู้ซื้อระยะยาว อย่างไรก็ดี หากเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามคาด หรือเกิดวิกฤติเฉียบพลันอีก ก็อาจทำให้ราคาชะลอตัวหรือทรงตัวได้เป็นระยะ ๆ แต่แนวโน้มหลักยังคงเป็นขาขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อและต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
  • ตลาดเช่าและต่างชาติ: อีก 5 ปีข้างหน้าเราน่าจะเห็นบทบาทของ ชาวต่างชาติในตลาดบ้านแนวราบ มากขึ้น ปัจจุบันต่างชาติถูกจำกัดการถือครองที่ดิน จึงซื้อได้เฉพาะคอนโด แต่ภาครัฐมีแนวคิดผ่อนปรนให้ต่างชาติถือครองที่ดินได้บ้างในบางกรณี (เช่น ซื้อบ้านราคาสูงเกิน 10–15 ล้าน เป็นต้น) หากกฎหมายนี้ผ่านและเอื้อให้ต่างชาติเข้ามาซื้อทาวน์เฮ้าส์/บ้านมากขึ้น จะเป็นปัจจัยบวกที่อาจดันดีมานด์โดยรวมสูงขึ้น โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวและกรุงเทพฯ นอกจากนี้ตลาดเช่าทาวน์เฮ้าส์อาจเติบโตตามเทรนด์ Work from anywhere ที่ชาวต่างชาติหรือคนกรุงสามารถย้ายไปเช่าบ้านที่เชียงใหม่ ภูเก็ต หัวหิน ทำงานระยะไกลได้ ผู้ลงทุนปล่อยเช่าจึงมีโอกาสได้กลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ เหล่านี้
  • ปัจจัยลบที่ต้องจับตา: ในด้านความเสี่ยง ต้องยอมรับว่าถ้าเศรษฐกิจโลกเกิดถดถอยหนักหรือมีโรคระบาด/ความไม่สงบอีกครั้ง ย่อมกระทบตลาดอสังหาฯทุกชนิด รวมถึงทาวน์เฮ้าส์ นอกจากนี้ หนี้ครัวเรือนไทย ที่อยู่ระดับสูงมาก (เกิน 90% ของ GDP) เป็นระเบิดเวลาที่อาจจำกัดการเติบโตของตลาดบ้าน หากคนรุ่นใหม่ยังมีหนี้สินล้นมือ ก็ยากจะกู้ซื้อบ้านเพิ่มได้ ความเข้มงวดของแบงก์ในการปล่อยกู้อาจยังเป็นเรื่องท้าทายต่อไป ดังนั้นผู้ประกอบการเองคงต้องปรับตัวพัฒนาโครงการที่ราคาเหมาะสมและเจาะกลุ่มลูกค้าชัดเจนเพื่อลดความเสี่ยง

สรุปแล้ว แนวโน้มอีก 5 ปีของตลาดทาวน์เฮ้าส์จัดว่า มีทิศทางเชิงบวกแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่หวือหวาแต่มั่นคงขึ้นเรื่อย ๆ ปัจจัยพื้นฐานเช่น urbanization (ความเป็นเมือง), การเติบโตของโครงสร้างพื้นฐาน และวัฏจักรชีวิตของผู้บริโภค ยังคงสนับสนุนให้มีความต้องการที่อยู่อาศัยประเภทนี้อย่างต่อเนื่อง ผู้ที่ซื้อทาวน์เฮ้าส์วันนี้นอกจากจะได้บ้านอยู่อาศัยแล้ว ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า โอกาสที่ทรัพย์สินจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นก็มีสูง ดังคำที่ว่า “ซื้อบ้านวันนี้คือการลงทุนในอนาคตของคุณ”

เคล็ดลับการเลือกซื้อทาวน์เฮ้าส์ให้ตอบโจทย์

เพื่อให้ได้ทาวน์เฮ้าส์ที่ทั้งถูกใจและคุ้มค่ากับเงินที่จ่าย เราขอแนะนำ เคล็ดลับในการเลือกซื้อทาวน์เฮ้าส์ ดังต่อไปนี้:

  1. กำหนดความต้องการและลำดับความสำคัญ: ก่อนจะดูบ้าน ลองลิสต์ความต้องการของคุณออกมา เช่น ต้องการกี่ห้องนอน กี่ที่จอดรถ อยากได้ทำเลไหนเป็นพิเศษ ใกล้ที่ทำงานหรือโรงเรียนลูกไหม งบประมาณสูงสุดเท่าไร จากนั้นจัดลำดับความสำคัญของแต่ละปัจจัย (เช่น ทำเลอาจสำคัญสุด รองมาคือจำนวนห้อง เป็นต้น) สิ่งนี้จะช่วยกรองตัวเลือกให้แคบลงและตรงใจยิ่งขึ้น อย่าลืมนึกถึงแผนในอนาคต 5-10 ปีด้วย เช่น ถ้าแพลนจะมีลูก ก็ควรเลือกบ้านที่เผื่อห้องนอนเพิ่ม หรือถ้าผู้สูงอายุอาจมาอยู่ด้วย ก็ควรมีห้องชั้นล่างไว้รองรับ
  2. ใหม่ vs มือสอง – เปรียบเทียบข้อดี: ตัดสินใจว่าคุณเปิดรับบ้านมือสองหรือไม่ บ้านใหม่ได้ข้อดีตรงที่สภาพใหม่เอี่ยม เทคโนโลยีวัสดุทันสมัย และมักมีโปรโมชั่น ของแถม ไม่มีผู้อยู่อาศัยเดิม แต่ราคาก็จะสูงกว่าและบางทีต้องรอสร้างเสร็จ ในขณะที่บ้านมือสองอาจได้ทำเลที่ดีกว่าในงบเท่ากัน (เช่น บ้านมือสองในเมือง vs บ้านใหม่ชานเมือง) และบางครั้งผู้ขายตกแต่งให้พร้อมอยู่แล้วซึ่งคุ้มค่ากับราคา ลองพิจารณาทั้งสองทางเลือก แล้วดูว่าแบบไหนเหมาะกับคุณ ยกตัวอย่าง ถ้าคุณเน้นทำเลมากกว่าและพร้อมรีโนเวทเอง บ้านมือสองอาจตอบโจทย์ แต่ถ้าอยากได้บ้านที่สมบูรณ์พร้อมเข้าอยู่ บ้านโครงการใหม่ก็จะสบายใจกว่า
  3. เลือกโครงการ/ผู้ประกอบการที่เชื่อถือได้: ถ้าซื้อบ้านใหม่ ควรเลือกโครงการจากผู้พัฒนาที่มีประวัติผลงานดี ส่งมอบบ้านตรงเวลา คุณภาพงานก่อสร้างโอเค และมีบริการหลังการขายดูแลแก้ไขงานให้ลูกบ้านอย่างมืออาชีพ คุณสามารถค้นหาคอมเมนต์รีวิวโครงการหรือสอบถามลูกบ้านในโครงการก่อน ๆ ของผู้ประกอบการเจ้านั้นเพื่อประกอบการตัดสินใจ บริษัทใหญ่ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์มักไว้ใจได้ในแง่ความมั่นคง แต่บางครั้งบริษัทเล็ก ๆ ก็ใส่ใจรายละเอียดโครงการได้ดีกว่า ดังนั้น อย่าดูที่ชื่อบริษัทอย่างเดียว ให้ดูที่คุณภาพจริงและเสียงตอบรับจากลูกค้า
  4. ตรวจบ้านและสำรวจพื้นที่จริงหลาย ๆ รอบ: อย่าซื้อบ้านเพียงเพราะเห็นภาพโฆษณาหรือฟังคำพูดเซลส์ คุณควรไปดูสถานที่จริง อย่างน้อย 2-3 ครั้ง ในต่างวันและเวลาต่างกัน เพื่อสัมผัสบรรยากาศ เส้นทางการเดินทาง แสงแดดทิศทางลมของบ้านหลังนั้น ๆ รวมถึงลองขับรถจากบ้านที่จะซื้อไปสถานที่สำคัญที่คุณต้องไปประจำ เช่น ที่ทำงาน โรงเรียน ลูก ฯลฯ ว่าระยะทางและเวลาที่ใช้เป็นอย่างไร การตรวจสอบบ้านจริงยังรวมถึงการหารายละเอียดเชิงลึก เช่น ค่าระดับดินในโครงการ (น้ำท่วมถึงหรือไม่) บ้านหันหน้าไปทิศไหน (ทิศตะวันตกอาจร้อนบ่าย) ขยะเก็บวันไหน ถนนกว้างพอไหม ฯลฯ รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้จะมีผลต่อความสุขในการอยู่อาศัยของคุณอย่างมาก
  5. พูดคุยกับเพื่อนบ้าน/นิติบุคคล (ถ้าเป็นบ้านมือสอง): หากสนใจบ้านมือสองในโครงการที่มีคนอยู่แล้ว ลองมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านข้างเคียงหรือเจ้าหน้าที่นิติบุคคล ดูบ้าง เพื่อสอบถามถึงปัญหาที่พบในหมู่บ้าน เช่น ระบบน้ำไฟดีไหม เพื่อนบ้านเงียบสงบดีหรือมีเสียงดังบ่อย ขโมยชุกชุมไหม ฯลฯ รวมถึงดูบรรยากาศชุมชนว่าเข้ากับไลฟ์สไตล์เราหรือไม่ เช่น ถ้าคุณต้องการความเป็นส่วนตัวสงบๆ แต่เพื่อนบ้านชอบจัดงานสังสรรค์ทุกสัปดาห์ก็คงต้องคิดหนัก ข้อมูลเหล่านี้หาไม่ได้จากโบรชัวร์โครงการแน่นอน ต้องอาศัยการลงพื้นที่จริงเท่านั้น
  6. ตรวจสอบเอกสารและข้อตกลงให้ครบถ้วน: เมื่อเลือกบ้านที่ต้องการได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการทำสัญญาและดำเนินการทางกฎหมาย อ่านสัญญาจะซื้อจะขายให้ละเอียด โดยเฉพาะเงื่อนไขการชำระเงิน ระยะเวลาส่งมอบบ้าน รายการของแถม/งานที่ต้องแก้ไขก่อนโอน และบทลงโทษหากฝ่ายใดผิดสัญญา หากมีข้อสงสัยควรถามจนเข้าใจหรือปรึกษาทนายเพื่อความชัวร์ นอกจากนี้ ตรวจสอบเอกสารสิทธิทุกฉบับ เช่น โฉนดที่ดินแนบสัญญามีตราครุฑถูกต้อง เป็นชื่อผู้ขายจริง ไม่มีภาระจำนอง (หรือถ้ามีก็ระบุว่าจะชำระปิดให้เสร็จก่อนโอน) การรอบคอบเรื่องเอกสารจะช่วยป้องกันปัญหาการถูกฉ้อโกงหรือข้อพิพาทในภายหลัง
  7. เปรียบเทียบข้อเสนอทางการเงิน: หากต้องกู้เงิน อย่ายื่นแค่ธนาคารเดียว ควรเปรียบเทียบอย่างน้อย 3 ธนาคารขึ้นไป ดูทั้งอัตราดอกเบี้ย (ช่วงโปรและหลังโปร) ค่างวดที่ต้องผ่อนต่อเดือน ความยืดหยุ่นในการผ่อน (โปะเพิ่มได้ไหม มีปรับขึ้นดอกเบี้ยเมื่อไร) ตลอดจนโปรโมชั่นพิเศษ เช่น ฟรีค่าประเมินบ้าน ฟรีประกันชีวิต ฯลฯ เลือกสินเชื่อที่เหมาะกับกระแสเงินสดและแผนการเงินของคุณในระยะยาว เช่น ถ้าคาดว่าจะโปะหมดไว อาจเลือกดอกเบี้ยต่ำ 3 ปีแรกก็พอ แต่ถ้าจะผ่อนเต็ม 30 ปี ก็มองอัตราเฉลี่ยตลอดสัญญาที่ต่ำที่สุด สิ่งเหล่านี้ช่วยประหยัดเงินและลดความตึงเครียดทางการเงินได้มากเมื่อเวลาผ่านไป
  8. อย่าลังเลที่จะต่อรอง: ไม่ว่าจะซื้อกับโครงการหรือกับเจ้าของบ้านโดยตรง การต่อรองราคาหรือเงื่อนไขสามารถทำได้เสมอ ในตลาดอสังหาฯ ผู้ขายมักเผื่อราคาต่อรองไว้ระดับหนึ่ง หากเป็นบ้านมือสอง ลองสำรวจราคาตลาดบ้านใกล้เคียงและเสนอราคาที่เหมาะสมสุภาพ โดยชี้ให้เห็นข้อดีที่คุณพร้อมโอนเร็ว จ่ายสดดาวน์สูง ฯลฯ หลายครั้งอาจลดได้ 3-5% หรือได้ของแถมเพิ่ม หากเป็นโครงการใหม่ การขอของแถมเพิ่มเติม เช่น แอร์ทั้งหลัง ชุดครัว ผ้าม่าน หรือส่วนลดเงินโอน ก็เป็นไปได้เช่นกัน ยิ่งบ้านเหลือขายนาน ผู้ประกอบการยิ่งยอมเยอะ ฉะนั้นอย่าเขินที่จะเจรจาขอประโยชน์เพิ่มให้กับตัวคุณ
  9. วางแผนระยะยาวเผื่อการขายต่อ: แม้วันนี้คุณอาจตั้งใจซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยเองยาว ๆ แต่ชีวิตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การเลือกบ้านโดยนึกถึง ศักยภาพในการขายต่อ (resale value) จะเป็นประโยชน์หากวันหนึ่งต้องย้ายเมือง เปลี่ยนงาน หรือต้องใช้เงิน การเลือกทำเลที่ตลาดนิยม รูปแบบบ้านที่คนส่วนใหญ่ชอบ (เช่น 3 ห้องนอน มีที่จอดรถ 2 คัน) ไม่อยู่ใกล้จุดเสีย (เช่น เสาส่งไฟฟ้าแรงสูง สถานบำบัดน้ำเสีย) จะทำให้ขายต่อได้ง่ายและราคาดี นอกจากนี้การรักษาสภาพบ้านให้น่าอยู่ ลงทุนปรับปรุงบ้างตามความเหมาะสม ก็จะช่วยเพิ่มมูลค่าในอนาคต ดังนั้นคิดเผื่ออนาคตไว้หน่อย ไม่ซื้อบ้านที่เฉพาะทางเกินไปจนคนอื่นไม่อยากซื้อถ้าต้องขาย

เมื่อปฏิบัติตามเคล็ดลับเหล่านี้ คุณก็จะมีโอกาสสูงที่จะได้ทาวน์เฮ้าส์ที่ตรงใจและไร้ปัญหากวนใจภายหลัง จำไว้ว่า “บ้านที่ดี” ไม่ใช่แค่สวยหรือถูกที่สุด แต่คือบ้านที่เหมาะกับชีวิตเรามากที่สุด อยู่แล้วมีความสุข คุ้มค่ากับเงินที่จ่าย และสามารถตอบโจทย์ทั้งวันนี้และอนาคตของครอบครัวคุณ

บทสรุป: การซื้อทาวน์เฮ้าส์เป็นการตัดสินใจที่สำคัญในชีวิต แต่หากมีข้อมูลรอบด้านและเตรียมความพร้อมเป็นอย่างดี ผู้ซื้อมือใหม่ก็สามารถก้าวผ่านขั้นตอนต่าง ๆ ได้อย่างมั่นใจ ทาวน์เฮ้าส์ มอบสมดุลที่ลงตัวระหว่างราคาและประโยชน์ใช้สอย ตอบสนองความต้องการของคนไทยจำนวนมากในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองหรือเพื่อลงทุน ทาวน์เฮ้าส์ก็มีศักยภาพที่น่าสนใจในหลายทำเลทั่วประเทศ หวังว่าคู่มือฉบับนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจตลาด แนวโน้ม และกลยุทธ์ในการเลือกซื้อทาวน์เฮ้าส์มากขึ้น และสามารถนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจซื้อบ้านในฝันของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สมัครรับอีเมลอัพเดทข่าว