ตัวกรอง
27,702 ผลลัพธ์
บันทึกการค้นหา
แผนที่

ประกาศขายอสังหาริมทรัพย์ 1 ห้องนอน ในกรุงเทพ

Slider image 1
Slider image 2
Slider image 3
Slider image 4
Slider image 5
Slider image 6
Slider image 7
1 / 7
฿9,100,000
1 ห้องนอน1 ห้องน้ำ55 ตรม.คอนโด
วิลล่า ราชเทวีถนนพญาไท, ราชเทวี, กรุงเทพมหานคร
🔥New🔥 55 Sq.m, 1 Bedroom Condo for Sale and Rent at Villa Rachatewi
🔥New🔥 55 Sq.m, 1 Bedroom Condo for Sale and Rent at Villa Rachatewi Location Phaya Thai | Ratchathewi | Bangkok Home Facts Project : Villa Rachate...
Slider image 1
Slider image 2
Slider image 3
Slider image 4
Slider image 5
Slider image 6
Slider image 7
Slider image 8
Slider image 9
Slider image 10
Slider image 11
Slider image 12
Slider image 13
Slider image 14
Slider image 15
Slider image 16
1 / 16
฿7,500,000
1 ห้องนอน1 ห้องน้ำ44 ตรม.คอนโด
วิลล่า ราชเทวีถนนพญาไท, ราชเทวี, กรุงเทพมหานคร
for sale condo Villa Rachatewi (S---)
for sale condo Villa Rachatewi (S-----) Project : Villa Rachatewi -1 Bed 1 Bath - 44 Sq.m - 40 th floor - Fully Furnished Price 7,500,000 Bath...
Slider image 1
Slider image 2
Slider image 3
Slider image 4
Slider image 5
Slider image 6
Slider image 7
Slider image 8
Slider image 9
Slider image 10
Slider image 11
1 / 11
฿48,000
1 ห้องนอน1 ห้องน้ำ38.50 ตรม.คอนโด
ดิ เอส สุขุมวิท 36พระโขนง, คลองเตย, กรุงเทพมหานคร
ให้เช่า The Esse Sukhumvit 36
ให้เช่า The Esse Sukhumvit 36 รหัสทรัพย์ : A-1977 - size 38.50 sqm. Floor 33 - 1ห้องนอน 1 ห้องน้ำ - เฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าครบ สิ่งอำนวยความส...
แสดงผลลัพธ์ 1 - 30, หน้า 1 จากทั้งหมด 333 หน้า

คู่มือการลงทุนและวิเคราะห์ตลาดอสังหาริมทรัพย์กรุงเทพฯ ปี พ.ศ. 2567-2568: อัปเดตและเจาะลึก

กรุงเทพมหานครยังคงเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ด้วยปัจจัยสนับสนุนหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าที่น่าสนใจ ศักยภาพในการเติบโตของมูลค่าทรัพย์สินในระยะยาว และกฎหมายที่เอื้อให้ชาวต่างชาติสามารถถือกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมได้สะดวก บทความนี้จะเจาะลึกแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ ช่วงปี 2567-2568 โดยนำเสนอข้อมูลล่าสุดและคำแนะนำสำหรับนักลงทุนที่สนใจ

ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์กรุงเทพฯ ปี พ.ศ. 2567-2568: การฟื้นตัวที่แข็งแกร่ง

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังคงอยู่ในช่วงของการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องหลังวิกฤตการณ์โควิด-19 โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา ตลาดได้แสดงสัญญาณความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในบางเซกเมนต์

การเติบโตของราคาที่อยู่อาศัย

  • ภาพรวม: ราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ มีการปรับตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปแต่มีเสถียรภาพ โดยในไตรมาส 4 ปี 2567 ราคาบ้านเดี่ยวเติบโตประมาณ 2.4% ต่อปี ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการบ้านแนวราบที่ยังคงมีอยู่
  • คอนโดมิเนียม: ราคาคอนโดมิเนียมมีการเติบโตที่ 2.46% (หรือ 1.45% หากปรับตามอัตราเงินเฟ้อ) ซึ่งชะลอตัวลงเล็กน้อย แต่ก็ยังคงเป็นบวก
  • ปัจจัยหนุน: แม้ว่ากำลังซื้อภายในประเทศจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและหนี้ครัวเรือนที่สูง แต่ต้นทุนการก่อสร้างและราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันให้ราคาอสังหาริมทรัพย์โดยรวมปรับตัวสูงขึ้น
  • แนวโน้มปี 2568: นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าราคาอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ จะยังคงเติบโตในระดับปานกลางที่ 2-3% หากเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่คาด อาจเห็นการเติบโตที่สูงถึง 5-7%

ความต้องการซื้อจากต่างชาติ: แรงขับเคลื่อนสำคัญของตลาดคอนโด

  • ภาพรวมตลาด: ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2567 จำนวนธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ทั่วประเทศลดลง 7.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยเฉพาะในกลุ่มบ้านแนวราบที่มียอดขายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
  • คอนโดมิเนียมยังคงแข็งแกร่ง: สวนทางกับตลาดรวม การโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมกลับเพิ่มขึ้น 5.6% ในช่วงเวลาเดียวกัน สะท้อนให้เห็นว่าคอนโดมิเนียมยังคงเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดในตลาด และได้รับการสนับสนุนอย่างมากจาก ผู้ซื้อชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจากประเทศจีนและกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน
  • บทบาทของกรุงเทพฯ: กรุงเทพฯ มีสัดส่วนถึง 38.7% ของการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมให้ชาวต่างชาติทั่วประเทศ และเพิ่มขึ้น 6.2% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา การเติบโตนี้มีส่วนสำคัญในการพยุงตลาดคอนโดมิเนียมให้ยังคงมีการเคลื่อนไหว แม้ว่าผู้ซื้อชาวไทยจะประสบปัญหาในการขอสินเชื่อจากธนาคาร

ปัญหาการปฏิเสธสินเชื่อและกลยุทธ์ผู้พัฒนา

  • อัตราการปฏิเสธสินเชื่อสูง: ธนาคารในประเทศไทยมีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยพุ่งสูงถึง 35% จากระดับปกติที่ 15-20% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคอนโดมิเนียมราคาประมาณ 2-3 ล้านบาท ซึ่งมีอัตราการปฏิเสธสูงถึง 50-60%
  • ผลกระทบต่อผู้พัฒนา: สถานการณ์นี้ทำให้ผู้พัฒนาโครงการต้องปรับกลยุทธ์ โดยหันไปเน้นกลุ่มผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อสูงและมีศักยภาพในการขอสินเชื่อ หรือปรับรูปแบบการชำระเงินเพื่อลดความเสี่ยง

การลดลงของโครงการใหม่

  • ลดการเปิดตัว: ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ ได้ลดการเปิดตัวโครงการใหม่ลงกว่า 19% ในปี 2567 เพื่อระบายสต็อกเดิม และควบคุมความเสี่ยงจากต้นทุนที่สูงขึ้น ทั้งนี้ สอดคล้องกับจำนวนใบอนุญาตก่อสร้างในกรุงเทพฯ ที่ลดลงถึง 33.5%
  • บ้านแนวราบ: การก่อสร้างบ้านแนวราบแทบไม่มีการขยับเขยื้อน
  • คอนโดมิเนียม: ยังคงครองสัดส่วนการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ทั้งประเทศ
  • เน้นกลุ่มกลาง-สูง: โครงการใหม่ที่เปิดตัวส่วนใหญ่เป็นโครงการระดับกลางที่มีราคาต่ำกว่า 7 ล้านบาท และเน้นกลุ่มผู้ซื้อที่มีศักยภาพทางการเงินสูง การควบคุมอุปทานเช่นนี้มีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของราคาตลาด

มาตรการภาครัฐและปัจจัยทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง (อัปเดต ปี 2567-2568)

รัฐบาลไทยได้ออกมาตรการสำคัญเพื่อกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการปรับปรุงนโยบายการเงินเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

  • มาตรการลดค่าธรรมเนียม: รัฐบาลได้ขยายมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดทะเบียนจำนองจากเดิม 2% และ 1% เหลือเพียง 0.01% สำหรับบ้านและคอนโดมิเนียมที่มีราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท มาตรการนี้มีผลถึง สิ้นปี พ.ศ. 2567 ซึ่งช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับกลาง-ล่างให้มีการซื้อขายที่คึกคักขึ้น (โปรดติดตามการประกาศขยายมาตรการเพิ่มเติมสำหรับปี 2568 หากมี)
  • อัตราดอกเบี้ยนโยบาย: ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ที่ 2.25% ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2567 ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการกู้ยืมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้ระดับกลางถึงสูง เนื่องจากช่วยผ่อนคลายเงื่อนไขและลดภาระดอกเบี้ย
  • การเติบโตของ GDP: คาดการณ์ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของประเทศไทยจะเติบโตประมาณ 2.8-2.9% ต่อปีในช่วงปี พ.ศ. 2567-2568 ซึ่งการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มั่นคงจะส่งผลดีต่อกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในระยะยาว

ผลตอบแทนจากการเช่าและการลงทุนในกรุงเทพฯ: คุ้มค่าและยั่งยืน

การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อการปล่อยเช่าในกรุงเทพฯ ยังคงให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ ในภูมิภาค

ผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า (Rental Yield)

  • ค่าเฉลี่ยทั่วกรุงเทพฯ: ในปี พ.ศ. 2568 ค่าผลตอบแทนเฉลี่ยจากการปล่อยเช่าคอนโดในกรุงเทพฯ อยู่ที่ประมาณ 6.05% ซึ่งถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยในหลายเมืองใหญ่
  • โซนปริมณฑล: บางพื้นที่ชานเมือง เช่น สมุทรปราการหรือนนทบุรี สามารถให้ผลตอบแทนสูงถึง 6.4-7% เนื่องจากราคาซื้อที่ต่ำกว่า แต่ยังคงมีความต้องการเช่าที่สูงจากผู้ที่เดินทางเข้ากรุงเทพฯ
  • โซนพรีเมียม: ในโซนสุขุมวิทหรือสาทร คอนโดหรูอาจให้ผลตอบแทนประมาณ 4-5% อย่างไรก็ตาม คอนโดระดับกลางในโซนที่กำลังพัฒนาสามารถให้ผลตอบแทนได้ถึง 6-7%
  • กรณีศึกษา: คอนโด 2 ห้องนอนที่มีราคาขายประมาณ 10.8 ล้านบาท (ประมาณ $300,000) สามารถปล่อยเช่าได้เดือนละ 54,000-57,600 บาท (ประมาณ $1,500-1,600) คิดเป็นผลตอบแทนราว 6% โดยไม่รวมค่าใช้จ่ายรายปี

ค่าเช่าปรับขึ้นต่อเนื่อง

  • ค่าเช่าเฉลี่ย: ในไตรมาส 3 ของปี พ.ศ. 2567 ค่าเช่าเฉลี่ยของอพาร์ตเมนต์ระดับเกรด A ในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น 15.9% ต่อปี
  • ทำเลนำร่อง: สุขุมวิท ยังคงเป็นทำเลที่นำโด่งด้วยค่าเช่าเฉลี่ยประมาณ 580 บาท/ตร.ม. ต่อเดือน ตามมาด้วยโซนลุมพินี-สยาม และสาทร ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการที่พักอาศัยระดับพรีเมียมในย่านศูนย์กลางธุรกิจ

แนวโน้มการเติบโตของมูลค่าทรัพย์สินและผลตอบแทนรวม

  • การเพิ่มมูลค่า: นอกจากรายได้จากค่าเช่า นักลงทุนยังสามารถคาดหวังการเพิ่มขึ้นของมูลค่าทรัพย์สินในระยะยาว แม้ว่าอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ จะไม่ได้มีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดด แต่ก็มีการขยับขึ้นอย่างมั่นคง โดยคาดว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีจะอยู่ที่ 3-5% ขึ้นอยู่กับทำเลและประเภทของโครงการ
  • ต้นทุนการถือครองต่ำ: จุดเด่นสำคัญอีกประการคือประเทศไทยไม่มีภาษีทรัพย์สินรายปีที่สูงเหมือนในบางประเทศ และกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างยังมีอัตราที่ต่ำมากสำหรับที่อยู่อาศัย ทำให้ ต้นทุนการถือครอง (holding cost) ต่ำ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการทำกำไรสุทธิของนักลงทุน
  • เสถียรภาพค่าเงินบาท: ค่าเงินบาทยังค่อนข้างมีเสถียรภาพ ทำให้นักลงทุนต่างชาติสามารถลงทุนได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนมากนัก
  • ผลตอบแทนรวม: เมื่อรวมผลตอบแทนจากค่าเช่าและการเพิ่มมูลค่าทรัพย์สิน นักลงทุนสามารถคาดหวัง ผลตอบแทนรวม 8-11% ต่อปี จากการลงทุนในคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ได้ไม่ยาก

ตารางเปรียบเทียบราคาคอนโดในกรุงเทพฯ แบ่งตามทำเล (ข้อมูล ณ ไตรมาส 2 ปี พ.ศ. 2567)

ทำเล

ราคาเฉลี่ย (บาท/ตร.ม.)

การเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบรายปี

ย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD): ลุมพินี, อโศก, สาทร

~252,200

+1.7%

รอบเมือง: รัชดา, อารีย์, พระโขนง

~123,500

+1.8%

ชานเมือง: บางนา, นนทบุรี

~70,000

+3.0%

Export to Sheets

หมายเหตุ: ตัวเลขราคาเฉลี่ยอาจมีการปรับปรุงเล็กน้อยตามการเปลี่ยนแปลงของตลาดในแต่ละช่วงเวลา แต่แนวโน้มยังคงเดิม

ตารางนี้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างด้านราคาระหว่างโซนใจกลางเมืองกับปริมณฑลอย่างชัดเจน โดยโครงการชานเมืองยังคงมีแนวโน้มเพิ่มมูลค่ารวดเร็วจากความสามารถในการเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนสายใหม่ๆ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

ทำเลแนะนำสำหรับการลงทุนในกรุงเทพฯ (อัปเดต ปี 2567-2568)

การเลือกทำเลที่เหมาะสมเป็นหัวใจสำคัญของการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีและมีความเสี่ยงต่ำ

1. สุขุมวิท (อโศก-ทองหล่อ-เอกมัย)

  • จุดเด่น: ยังคงเป็นทำเลทองที่ดึงดูดทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เป็นแหล่งรวมคอนโดหรู ห้างสรรพสินค้าระดับพรีเมียม (EmQuartier, Emporium, Emsphere) โรงเรียนนานาชาติชั้นนำ โรงพยาบาล และสิ่งอำนวยความสะดวกระดับโลก การคมนาคมสะดวกสบายด้วยรถไฟฟ้า BTS สายสุขุมวิท
  • ศักยภาพการลงทุน: ราคาคอนโดใหม่ในโซนนี้ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 200,000-300,000 บาท/ตร.ม. แต่ก็สามารถปล่อยเช่าได้สูงที่สุดในกรุงเทพฯ ที่ราว 580 บาท/ตร.ม. ต่อเดือน เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มองหาความปลอดภัยในการลงทุน ความต้องการเช่าที่คงที่ และชื่อเสียงของทำเลที่ยังคงดึงดูดผู้เช่าคุณภาพสูงอย่างต่อเนื่อง

2. สีลม & สาทร (เขตธุรกิจการเงิน)

  • จุดเด่น: เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ธนาคาร สถาบันการเงินชั้นนำ สถานทูต และโรงแรมหรูหลายแห่ง มีสวนลุมพินีเป็นปอดสีเขียวใจกลางเมือง และการเชื่อมต่อของระบบขนส่งมวลชนทั้ง BTS และ MRT ทำให้เป็นทำเลที่เดินทางสะดวก
  • ศักยภาพการลงทุน: ค่าเช่าในพื้นที่นี้ยังคงสูงถึง 488 บาท/ตร.ม. และให้ผลตอบแทนประมาณ 4-5% จุดเด่นคือมีกลุ่มผู้เช่าที่มีกำลังจ่ายสูงและเป็นพนักงานบริษัทชั้นนำ การพัฒนาโครงการ Mixed-use ขนาดใหญ่อย่าง One Bangkok และ Dusit Central Park จะยิ่งเพิ่มศักยภาพการเติบโตในอนาคต

3. พระราม 9 - รัชดาภิเษก (New CBD)

  • จุดเด่น: ทำเลที่เติบโตอย่างรวดเร็วและได้รับการยกระดับเป็นย่านศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ (New CBD) มีสำนักงานใหญ่ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ศูนย์การค้า Central Rama 9 และโครงการระดับนานาชาติอีกหลายแห่ง มีความต้องการจากชาวจีนสูงทั้งผู้ซื้อและผู้เช่า
  • ศักยภาพการลงทุน: ราคาเฉลี่ยคอนโดอยู่ในช่วง 120,000 - 150,000 บาท/ตร.ม. ให้ผลตอบแทนค่าเช่าประมาณ 5-6% เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่ดีในระยะกลาง-ยาว ด้วยราคาที่เข้าถึงได้และโครงสร้างพื้นฐานที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

4. ธนบุรี & ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

  • จุดเด่น: มีโครงการหรูริมแม่น้ำหลายแห่ง เช่น ICONSIAM โรงแรมระดับ 5 ดาว และโครงการ Mixed-use ใหม่ๆ หลายพื้นที่ได้รับการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมโดยภาครัฐ เช่น รถไฟฟ้าสายสีทอง และการปรับปรุงภูมิทัศน์ริมแม่น้ำ
  • ศักยภาพการลงทุน: คอนโดระดับกลาง-บนในพื้นที่ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยาสามารถให้ผลตอบแทนสูงถึง 6% ขึ้นไป มีศักยภาพในการเติบโตสูงจากแผนพัฒนาพื้นที่ต่อเนื่อง และความต้องการที่อยู่อาศัยจากฝั่งคนทำงานใน CBD ที่สามารถเดินทางข้ามฝั่งได้สะดวก

5. บางนา & กรุงเทพฯ โซนตะวันออก

  • จุดเด่น: ทำเลที่ได้รับผลบวกโดยตรงจากการพัฒนาโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมถึงมีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่อย่าง Mega Bangna และ Central Village นอกจากนี้ โครงการ Bangkok Mall (ซึ่งยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง) จะเป็นจุดดึงดูดสำคัญในอนาคต
  • ศักยภาพการลงทุน: คอนโดใหม่ในทำเลนี้มีราคาเริ่มต้นที่ 70,000-100,000 บาท/ตร.ม. แต่สามารถให้ค่าเช่าที่แข่งขันได้ ทำให้ผลตอบแทนอยู่ในระดับ 6-7% เหมาะสำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาวที่เน้นการเติบโตจากโครงสร้างพื้นฐานและโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ

การลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์กรุงเทพฯ ในช่วงปี 2567-2568 ยังคงเป็นโอกาสที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนที่มั่นคงและศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว การทำความเข้าใจแนวโน้มตลาด มาตรการภาครัฐ และการเลือกทำเลที่เหมาะสม จะช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดและบรรลุเป้าหมายการลงทุนได้

กฎหมายอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนไทย (อัปเดตล่าสุด ปี 2567/2568)

การทำความเข้าใจกฎหมายอสังหาริมทรัพย์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนไทยที่ต้องการลงทุนหรือมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง บทความนี้จะขยายเนื้อหาเดิมให้ครอบคลุมและสอดคล้องกับข้อมูลล่าสุดของกฎหมายไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเกี่ยวกับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ

คอนโดมิเนียม - สิทธิเต็มรูปแบบและข้อจำกัด

คนไทยยังคงสามารถถือกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมได้เต็มรูปแบบตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม) โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องสัดส่วนการถือครองเช่นเดียวกับชาวต่างชาติ และสามารถชำระเงินได้ทุกรูปแบบ ทั้งเงินสดและเงินกู้จากสถาบันการเงินในประเทศ

  • ข้อจำกัดที่ควรทราบ:
    • กฎระเบียบของนิติบุคคลอาคารชุด: แม้สิทธิการเป็นเจ้าของจะเต็มรูปแบบ แต่การใช้ประโยชน์และการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมจะต้องเป็นไปตามข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าของร่วมทุกรายต้องปฏิบัติตาม เพื่อการบริหารจัดการทรัพย์สินส่วนกลางและสังคมการอยู่อาศัยร่วมกัน
    • ค่าส่วนกลาง: เจ้าของร่วมมีหน้าที่ต้องชำระค่าส่วนกลางอย่างสม่ำเสมอ หากไม่ชำระอาจมีเบี้ยปรับและถูกระงับสิทธิบางประการ เช่น การใช้พื้นที่ส่วนกลาง หรือไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้จนกว่าจะชำระหนี้ทั้งหมด
    • การถือครองโดยนิติบุคคล: ในกรณีที่นิติบุคคลอาคารชุดมีการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบหรือต้องการดำเนินการใดๆ ที่ส่งผลกระทบต่อเจ้าของร่วม จะต้องมีการประชุมและลงมติจากที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมตามที่กฎหมายกำหนด

บ้านเดี่ยวและที่ดิน - สิทธิเต็มรูปแบบและทางเลือกการถือครอง

คนไทยมีสิทธิถือกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านเดี่ยวได้เต็มรูปแบบตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยมีตัวเลือกหลากหลายสำหรับการถือครอง:

  • รูปแบบการถือครอง:
    • กรรมสิทธิ์เดี่ยว: การถือครองโดยบุคคลคนเดียว ได้รับสิทธิและหน้าที่ทั้งหมดในทรัพย์สินนั้น
    • กรรมสิทธิ์ร่วม: การถือครองร่วมกับผู้อื่น (เช่น คู่สมรส, พี่น้อง) โดยมีสัดส่วนกรรมสิทธิ์ที่ชัดเจนในโฉนดที่ดิน การจัดการทรัพย์สินต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของร่วมทุกคน
    • นิติบุคคล: การถือครองผ่านบริษัทจำกัดหรือห้างหุ้นส่วนจำกัดที่คนไทยถือหุ้นใหญ่ (โดยปกติคือสัดส่วน 51% ขึ้นไป) รูปแบบนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อธุรกิจ หรือเพื่อการบริหารจัดการทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูง การถือครองในนามนิติบุคคลมีข้อดีในเรื่องการบริหารจัดการภาษีและการส่งต่อทรัพย์สิน
    • สหกรณ์: การถือครองผ่านสหกรณ์เคหสถานหรือสหกรณ์ออมทรัพย์ที่ดำเนินกิจการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ สมาชิกสหกรณ์จะได้รับสิทธิในการอยู่อาศัยหรือเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ภายใต้เงื่อนไขของสหกรณ์
    • กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs): แม้จะไม่ใช่การถือครองกรรมสิทธิ์โดยตรง แต่ REITs เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนไทยที่ต้องการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ เช่น อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรม โดยมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากค่าเช่าและส่วนต่างราคา
  • โครงการพิเศษจากภาครัฐ:
    • โครงการที่อยู่อาศัยของการเคหะแห่งชาติ (กคช.): สำหรับผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง โดยมีเงื่อนไขพิเศษเรื่องรายได้ การครอบครอง และการผ่อนชำระที่ยืดหยุ่นกว่าสินเชื่อทั่วไป
    • โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.): ธอส. เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีบทบาทหลักในการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับประชาชนทั่วไป มีผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่หลากหลายและอัตราดอกเบี้ยพิเศษตามนโยบายภาครัฐ เช่น โครงการบ้านล้านหลัง (ซึ่งอาจมีการปรับปรุงเงื่อนไขหรือโครงการใหม่ๆ ออกมาตามนโยบายเศรษฐกิจ)
    • มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์: รัฐบาลอาจมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเป็นครั้งคราว เช่น การลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนอง การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำพิเศษ หรือมาตรการช่วยเหลือผู้ซื้อรายแรก ควรติดตามข่าวสารจากหน่วยงานภาครัฐอย่างใกล้ชิด

ภาษีและค่าธรรมเนียมในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ (อัปเดตล่าสุด)

  • ค่าธรรมเนียมพื้นฐาน ณ กรมที่ดิน:
    • ค่าธรรมเนียมการโอน: 2% ของราคาประเมินทุนทรัพย์หรือราคาซื้อขาย แล้วแต่ราคาใดจะสูงกว่า
      • มาตรการลดหย่อน: ณ ปัจจุบัน (ปี 2567-2568) มีการขยายมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนเหลือ 0.01% สำหรับการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดและที่ดินพร้อมอาคารหรือบ้าน ในราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท/หน่วย และเป็นกรณีการโอนในหมวดซื้อขายสำหรับที่อยู่อาศัยเท่านั้น และยังมีการลดค่าจดทะเบียนจำนองเหลือ 0.01% สำหรับวงเงินจำนองไม่เกิน 7 ล้านบาท/หน่วยเช่นกัน (โปรดตรวจสอบระยะเวลาของมาตรการจากกรมที่ดินหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง)
    • อากรแสตมป์: 0.5% ของราคาซื้อขายหรือราคาประเมิน แล้วแต่ราคาใดจะสูงกว่า โดยจะคิดจากราคาที่สูงกว่า แต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขว่าผู้ขายไม่ได้เสียภาษีธุรกิจเฉพาะ
    • ภาษีธุรกิจเฉพาะ: 3.3% (รวมภาษีท้องถิ่น 0.3%) ของราคาซื้อขายหรือราคาประเมิน แล้วแต่ราคาใดจะสูงกว่า
      • เงื่อนไข: กรณีผู้ขายเป็นบุคคลธรรมดาและมีการถือครองอสังหาริมทรัพย์ไม่เกิน 5 ปี นับจากวันที่ได้มา (เว้นแต่เป็นการได้มาโดยมรดก หรือเป็นที่อยู่อาศัยหลักที่ย้ายทะเบียนบ้านเข้าอยู่ไม่น้อยกว่า 1 ปี)
    • ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย:
      • สำหรับผู้ขายบุคคลธรรมดา: คำนวณตามหลักเกณฑ์ที่ซับซ้อนตามจำนวนปีที่ถือครองและราคาประเมิน โดยใช้วิธีเฉลี่ยเงินได้แล้วคูณด้วยอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบก้าวหน้า แต่สูงสุดไม่เกิน 20% ของเงินได้ที่คำนวณได้
      • สำหรับผู้ขายที่เป็นนิติบุคคล: ภาษีหัก ณ ที่จ่าย 1% ของราคาขายหรือราคาประเมิน แล้วแต่ราคาใดจะสูงกว่า

ภาษีประจำปี (ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง) (อัปเดตล่าสุด)

พระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม) มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป โดยได้ยกเลิกภาษีโรงเรือนและที่ดินและภาษีบำรุงท้องที่เดิม

  • หลักการคำนวณ: ภาษีคำนวณจากมูลค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (ราคาประเมินทุนทรัพย์) คูณด้วยอัตราภาษีที่กำหนดตามประเภทการใช้ประโยชน์
  • ประเภทการใช้ประโยชน์และอัตราภาษี (โดยประมาณ):
    • ที่อยู่อาศัย: อัตราต่ำ
      • บ้านหลัก (ที่อยู่อาศัยอันเป็นภูมิลำเนา): กรณีบุคคลธรรมดาเป็นเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และใช้เป็นที่อยู่อาศัยหลัก มีการยกเว้นมูลค่าฐานภาษีส่วนแรก (เช่น มูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาทสำหรับบ้านและที่ดิน หรือไม่เกิน 10 ล้านบาทสำหรับห้องชุด) หากเกินกว่านั้นจะเริ่มคิดภาษีในอัตราก้าวหน้าต่ำๆ (เช่น 0.02% - 0.10%)
      • บ้านหลังที่สองหรือบ้านเช่า: คิดภาษีตั้งแต่บาทแรกในอัตราที่สูงขึ้นเล็กน้อย (เช่น 0.02% - 0.10%)
    • ที่ดินเพื่อเกษตรกรรม: อัตราต่ำมาก หรือได้รับการยกเว้นบางส่วน (เช่น กรณีบุคคลธรรมดาเป็นเจ้าของและใช้ทำเกษตรกรรม มูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาทอาจได้รับการยกเว้น)
    • ที่ดินเพื่อพาณิชยกรรม/อุตสาหกรรม: อัตราปานกลางถึงสูง (เช่น 0.3% - 0.7%)
    • ที่ดินรกร้างว่างเปล่า: อัตราสูงสุดและจะเพิ่มขึ้นทุก 3 ปี หากยังคงปล่อยรกร้าง (เช่น 0.3% และเพิ่มขึ้น 0.3% ทุก 3 ปี สูงสุดไม่เกิน 3%) เพื่อกระตุ้นให้มีการใช้ประโยชน์
  • การบรรเทาภาษี: อาจมีมาตรการบรรเทาภาษีหรือลดหย่อนภาษีจากรัฐบาลในบางปี เพื่อช่วยเหลือประชาชนหรือกระตุ้นเศรษฐกิจ

ภาษีจากรายได้ (อัปเดตล่าสุด)

  • รายได้จากค่าเช่า:
    • สำหรับบุคคลธรรมดา: ถือเป็นเงินได้ประเภทที่ 5 (มาตรา 40 (5)) ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามอัตราก้าวหน้า สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ตามจริงหรือตามอัตราเหมาจ่ายที่กฎหมายกำหนด (เช่น 30% สำหรับค่าเช่าที่อยู่อาศัย)
    • สำหรับนิติบุคคล: ถือเป็นรายได้จากการประกอบกิจการ ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลตามอัตราที่กฎหมายกำหนด
  • กำไรจากการขายอสังหาริมทรัพย์:
    • สำหรับบุคคลธรรมดา:
      • ขายเป็นธุรกิจหรือแสวงหากำไร: หากมีการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์บ่อยครั้ง หรือมีการแบ่งแปลงที่ดินเพื่อขาย ถือเป็นการขายในลักษณะของธุรกิจ ต้องนำกำไรจากการขายไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และอาจต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะเพิ่มเติม (3.3%)
      • การขายที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้: กรณีผู้ขายเป็นบุคคลธรรมดา และขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมรดก หรือที่อยู่อาศัยหลักที่ได้ย้ายทะเบียนบ้านเข้าอยู่ไม่น้อยกว่า 1 ปี และถือครองเกิน 5 ปี จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้จากการขาย (แต่ยังต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ หากเข้าเงื่อนไข)
    • สำหรับนิติบุคคล: กำไรจากการขายอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นรายได้ของนิติบุคคล ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล

สิทธิพิเศษและการคุ้มครองทางกฎหมาย

  • การคุ้มครองทางกฎหมาย:
    • ห้ามยึดที่อยู่อาศัยหลัก: ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 285 การบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ ห้ามมิให้ยึดที่อยู่อาศัยที่จำเป็นสำหรับลูกหนี้และครอบครัว (หากเป็นบ้านพร้อมที่ดินในราคาที่เหมาะสม) เว้นแต่จะเป็นการบังคับจำนองทรัพย์สินนั้น
    • สิทธิการรับมรดก: กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์สามารถถ่ายทอดให้แก่ทายาทได้เต็มรูปแบบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยมรดก โดยผู้รับมรดกมีหน้าที่ต้องชำระภาษีมรดก (หากมีมูลค่าเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด)
    • การประกันสินเชื่อ (การจำนอง): อสังหาริมทรัพย์สามารถนำไปจำนองเพื่อค้ำประกันสินเชื่อได้เต็มมูลค่าตามราคาประเมินและเงื่อนไขของสถาบันการเงิน ถือเป็นหลักประกันที่มีความมั่นคงสูง
  • สิทธิประโยชน์ทางภาษี:
    • ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย: สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี (สำหรับบ้านหลังแรก หรือรวมกันไม่เกิน 100,000 บาท กรณีซื้อร่วมกัน)
    • ภาษีมรดก: ทายาทโดยตรงที่ได้รับมรดกอสังหาริมทรัพย์มูลค่าไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อทายาท จะได้รับการยกเว้นภาษีมรดก หากเกินกว่านั้นจะต้องเสียภาษีตามอัตราที่กฎหมายกำหนด (5% สำหรับบุพการี/ผู้สืบสันดาน และ 10% สำหรับบุคคลอื่น)
    • ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง: มีการยกเว้นมูลค่าฐานภาษีส่วนแรกสำหรับที่อยู่อาศัยหลัก ตามที่ระบุไว้ในหัวข้อภาษีประจำปี

ข้อควรระวังและคำแนะนำที่สำคัญ

  • การตรวจสอบเอกสารและข้อมูล:
    • ตรวจสอบโฉนดที่ดิน/หนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ห้องชุด: ตรวจสอบชื่อเจ้าของ ขนาดที่ดิน/พื้นที่ใช้สอย ที่ตั้ง ระวาง เลขที่ดิน/เลขที่ห้องชุด สิ่งสำคัญคือต้องตรวจสอบว่าเป็นโฉนดที่ดินครุฑแดง (น.ส.4 จ.) ซึ่งแสดงกรรมสิทธิ์สมบูรณ์ หรือเป็นเอกสารสิทธิ์ประเภทอื่น (เช่น น.ส.3 ก., ส.ค.1) ซึ่งมีสิทธิในการครอบครองที่แตกต่างกัน
    • ยืนยันว่าไม่มีภาระผูกพันหรือข้อพิพาท: ตรวจสอบสารบบที่ดินจากกรมที่ดิน เพื่อดูว่ามีภาระผูกพัน เช่น การจำนอง ภาระจำยอม หรือข้อพิพาททางกฎหมายใดๆ หรือไม่
    • ตรวจสอบใบอนุญาตก่อสร้างและใบรับรองการครอบครองอาคาร (อ.6/อ.5): โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบ้านหรืออาคารที่เพิ่งสร้างเสร็จ เพื่อให้แน่ใจว่าการก่อสร้างถูกต้องตามกฎหมาย และไม่มีปัญหาในการโอนกรรมสิทธิ์หรือการใช้ประโยชน์ในอนาคต
  • การวางแผนทางการเงิน:
    • วางแผนการชำระภาษีและค่าธรรมเนียม: นอกเหนือจากราคาซื้อขายแล้ว ต้องเตรียมเงินสำหรับค่าธรรมเนียมการโอน ค่าจดจำนอง (หากมีการกู้) ค่าอากรแสตมป์ และภาษีต่างๆ
    • พิจารณาการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี: ศึกษาและวางแผนการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากดอกเบี้ยบ้าน และสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
    • เตรียมเงินสำรองสำหรับค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม: เช่น ค่าจดมิเตอร์น้ำ/ไฟ ค่าตกแต่ง ค่าส่วนกลางล่วงหน้า (สำหรับคอนโด) หรือค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา
  • คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ:
    • ปรึกษานิติกร/ทนายความ: เพื่อตรวจสอบสัญญาจะซื้อจะขาย สัญญาซื้อขาย และเอกสารสิทธิ์ต่างๆ ให้แน่ใจว่าถูกต้องตามกฎหมายและเป็นธรรม ป้องกันปัญหาทางกฎหมายในอนาคต
    • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี: เพื่อวางแผนภาษีที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขาย การถือครอง และการมีรายได้จากอสังหาริมทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
    • ใช้บริการนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ที่มีใบอนุญาตและมีชื่อเสียง: เพื่อช่วยในการค้นหาทรัพย์สินที่เหมาะสม การเจรจาต่อรอง และการดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ อย่างมืออาชีพ อย่างไรก็ตาม ควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือและใบอนุญาตของนายหน้าเสมอ

การศึกษาและทำความเข้าใจกฎหมายอสังหาริมทรัพย์อย่างละเอียดจะช่วยให้คนไทยสามารถซื้อขาย ถือครอง และใช้ประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างมั่นใจและถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมทั้งสามารถวางแผนการเงินและภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์กรุงเทพฯ ปี พ.ศ. 2568 และหลังจากนั้น

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพมหานครยังคงเป็นเป้าหมายที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน ด้วยปัจจัยหลายประการที่ส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนในปี 2568 และในระยะยาว

ราคาทรัพย์สินคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2-5% ต่อปี: หลังจากที่ราคาอสังหาริมทรัพย์มีการปรับฐานในช่วงที่ผ่านมา คาดการณ์ว่าในปี 2568 ราคาจะเริ่มกลับมาเติบโตอย่างมีเสถียรภาพที่ 2-5% ต่อปี ซึ่งเป็นการเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไปที่สะท้อนถึงตลาดที่สมดุล ไม่มีความร้อนแรงจนเกินไป แต่ก็ไม่หยุดนิ่ง เหมาะสำหรับการลงทุนระยะกลางถึงยาวที่ต้องการผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ

เศรษฐกิจและการเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น: การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่คาดการณ์ว่า GDP จะเติบโตประมาณ 3% รวมถึงความมีเสถียรภาพทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น จะเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับทั้งนักลงทุนในประเทศและต่างชาติ นอกจากนี้ การกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติเกือบ 30 ล้านคน จะช่วยกระตุ้นภาคบริการและภาคอสังหาริมทรัพย์ให้คึกคักยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์เพื่อการเช่าและโรงแรม

ตลาดเช่ายังคงแข็งแกร่งและมีแนวโน้มเติบโตต่อ: ตลาดเช่าในกรุงเทพฯ ยังคงเป็นจุดเด่นสำคัญ โดยเฉพาะในทำเลใจกลางเมืองและย่านธุรกิจ เนื่องจากมีความต้องการสูงจากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานและพำนักอาศัย การกลับมาของนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจจะยิ่งหนุนให้ค่าเช่าและอัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้น

ระบบขนส่งมวลชนกำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง: การขยายตัวของโครงข่ายรถไฟฟ้าสายใหม่ ๆ เช่น สายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี) สายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) และ สายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ที่เริ่มเปิดให้บริการและกำลังก่อสร้าง จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับที่อยู่อาศัยที่ตั้งอยู่ใกล้สถานี เป็นการขยายทำเลศักยภาพใหม่ ๆ และเพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทาง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อและเช่า

อุปทานจำกัดจากโครงการใหม่ที่ชะลอตัว: ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ได้ชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาอันเนื่องมาจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ปริมาณอุปทานในตลาดไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก ส่งผลให้ไม่เกิดภาวะล้นตลาด และช่วยรักษาสมดุลของราคาอสังหาริมทรัพย์ไว้ได้

สรุป: กรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. 2568 คือโอกาสทองสำหรับนักลงทุน

การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์กรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. 2568 ถือเป็น จังหวะที่ดีเยี่ยม สำหรับผู้ที่มองหาการสร้างผลตอบแทนระยะกลางถึงยาว ด้วยปัจจัยบวกหลายประการ ทั้งราคาที่ยังไม่สูงเกินไปเมื่อเทียบกับศักยภาพ การเติบโตของผลตอบแทนจากการเช่าที่แข็งแกร่ง ความต้องการจากนักลงทุนและผู้เช่าต่างชาติที่ยังคงมีอยู่ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง

หากคุณวางแผนอย่างรอบคอบ เลือกทำเลที่มีกลยุทธ์ ลงทุนกับโครงการที่มีคุณภาพ และปฏิบัติตามข้อกฎหมายทุกขั้นตอน กรุงเทพฯ จะเป็นตลาดที่ให้ผลตอบแทนที่มั่นคง พร้อมโอกาสในการเติบโตของมูลค่าทรัพย์สินในอนาคตที่สดใส

ค้นหาบ้านหลังใหม่ของคุณจาก 27,702 รายการสำหรับsaleในBangkokได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายทางออนไลน์ คอนโด, บ้าน, ทาวน์เฮ้าส์, วิลล่า, ที่ดิน และ อพาร์ทเมนท์มีให้saleในBangkok ราคาประกาศขายเฉลี่ยใน Bangkok คือ ฿ 28,269,540 สำหรับ อพาร์ทเมนท์ และ ฿ 25,257,826 สำหรับ อาคารพาณิชย์. หากคุณกำลังมองหาอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าในBangkok ลองดู Bangkok ให้เช่า รายการ ของเรา ค้นหาบ้านใหม่ของคุณสำหรับsaleในBangkokได้อย่างง่ายดาย โดยกรองตามประเภท ราคา และจำนวนห้องนอน Dot Property ยังมีคู่มือที่เป็นประโยชน์ บล็อก และข่าวสารล่าสุดเพื่อช่วยผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในการค้นหาอีกด้วย
สมัครรับอีเมลอัพเดทข่าว