ประกาศขายอสังหาริมทรัพย์ 1 ห้องนอน ในกรุงเทพ
27,702 ยูนิตคู่มือการลงทุนและวิเคราะห์ตลาดอสังหาริมทรัพย์กรุงเทพฯ ปี พ.ศ. 2567-2568: อัปเดตและเจาะลึก
กรุงเทพมหานครยังคงเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ด้วยปัจจัยสนับสนุนหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าที่น่าสนใจ ศักยภาพในการเติบโตของมูลค่าทรัพย์สินในระยะยาว และกฎหมายที่เอื้อให้ชาวต่างชาติสามารถถือกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมได้สะดวก บทความนี้จะเจาะลึกแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ ช่วงปี 2567-2568 โดยนำเสนอข้อมูลล่าสุดและคำแนะนำสำหรับนักลงทุนที่สนใจ
ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์กรุงเทพฯ ปี พ.ศ. 2567-2568: การฟื้นตัวที่แข็งแกร่ง
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังคงอยู่ในช่วงของการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องหลังวิกฤตการณ์โควิด-19 โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา ตลาดได้แสดงสัญญาณความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในบางเซกเมนต์
การเติบโตของราคาที่อยู่อาศัย
- ภาพรวม: ราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ มีการปรับตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปแต่มีเสถียรภาพ โดยในไตรมาส 4 ปี 2567 ราคาบ้านเดี่ยวเติบโตประมาณ 2.4% ต่อปี ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการบ้านแนวราบที่ยังคงมีอยู่
- คอนโดมิเนียม: ราคาคอนโดมิเนียมมีการเติบโตที่ 2.46% (หรือ 1.45% หากปรับตามอัตราเงินเฟ้อ) ซึ่งชะลอตัวลงเล็กน้อย แต่ก็ยังคงเป็นบวก
- ปัจจัยหนุน: แม้ว่ากำลังซื้อภายในประเทศจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและหนี้ครัวเรือนที่สูง แต่ต้นทุนการก่อสร้างและราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันให้ราคาอสังหาริมทรัพย์โดยรวมปรับตัวสูงขึ้น
- แนวโน้มปี 2568: นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าราคาอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ จะยังคงเติบโตในระดับปานกลางที่ 2-3% หากเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่คาด อาจเห็นการเติบโตที่สูงถึง 5-7%
ความต้องการซื้อจากต่างชาติ: แรงขับเคลื่อนสำคัญของตลาดคอนโด
- ภาพรวมตลาด: ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2567 จำนวนธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ทั่วประเทศลดลง 7.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยเฉพาะในกลุ่มบ้านแนวราบที่มียอดขายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
- คอนโดมิเนียมยังคงแข็งแกร่ง: สวนทางกับตลาดรวม การโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมกลับเพิ่มขึ้น 5.6% ในช่วงเวลาเดียวกัน สะท้อนให้เห็นว่าคอนโดมิเนียมยังคงเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดในตลาด และได้รับการสนับสนุนอย่างมากจาก ผู้ซื้อชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจากประเทศจีนและกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน
- บทบาทของกรุงเทพฯ: กรุงเทพฯ มีสัดส่วนถึง 38.7% ของการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมให้ชาวต่างชาติทั่วประเทศ และเพิ่มขึ้น 6.2% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา การเติบโตนี้มีส่วนสำคัญในการพยุงตลาดคอนโดมิเนียมให้ยังคงมีการเคลื่อนไหว แม้ว่าผู้ซื้อชาวไทยจะประสบปัญหาในการขอสินเชื่อจากธนาคาร
ปัญหาการปฏิเสธสินเชื่อและกลยุทธ์ผู้พัฒนา
- อัตราการปฏิเสธสินเชื่อสูง: ธนาคารในประเทศไทยมีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยพุ่งสูงถึง 35% จากระดับปกติที่ 15-20% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคอนโดมิเนียมราคาประมาณ 2-3 ล้านบาท ซึ่งมีอัตราการปฏิเสธสูงถึง 50-60%
- ผลกระทบต่อผู้พัฒนา: สถานการณ์นี้ทำให้ผู้พัฒนาโครงการต้องปรับกลยุทธ์ โดยหันไปเน้นกลุ่มผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อสูงและมีศักยภาพในการขอสินเชื่อ หรือปรับรูปแบบการชำระเงินเพื่อลดความเสี่ยง
การลดลงของโครงการใหม่
- ลดการเปิดตัว: ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ ได้ลดการเปิดตัวโครงการใหม่ลงกว่า 19% ในปี 2567 เพื่อระบายสต็อกเดิม และควบคุมความเสี่ยงจากต้นทุนที่สูงขึ้น ทั้งนี้ สอดคล้องกับจำนวนใบอนุญาตก่อสร้างในกรุงเทพฯ ที่ลดลงถึง 33.5%
- บ้านแนวราบ: การก่อสร้างบ้านแนวราบแทบไม่มีการขยับเขยื้อน
- คอนโดมิเนียม: ยังคงครองสัดส่วนการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ทั้งประเทศ
- เน้นกลุ่มกลาง-สูง: โครงการใหม่ที่เปิดตัวส่วนใหญ่เป็นโครงการระดับกลางที่มีราคาต่ำกว่า 7 ล้านบาท และเน้นกลุ่มผู้ซื้อที่มีศักยภาพทางการเงินสูง การควบคุมอุปทานเช่นนี้มีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของราคาตลาด
มาตรการภาครัฐและปัจจัยทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง (อัปเดต ปี 2567-2568)
รัฐบาลไทยได้ออกมาตรการสำคัญเพื่อกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการปรับปรุงนโยบายการเงินเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
- มาตรการลดค่าธรรมเนียม: รัฐบาลได้ขยายมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดทะเบียนจำนองจากเดิม 2% และ 1% เหลือเพียง 0.01% สำหรับบ้านและคอนโดมิเนียมที่มีราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท มาตรการนี้มีผลถึง สิ้นปี พ.ศ. 2567 ซึ่งช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับกลาง-ล่างให้มีการซื้อขายที่คึกคักขึ้น (โปรดติดตามการประกาศขยายมาตรการเพิ่มเติมสำหรับปี 2568 หากมี)
- อัตราดอกเบี้ยนโยบาย: ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ที่ 2.25% ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2567 ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการกู้ยืมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้ระดับกลางถึงสูง เนื่องจากช่วยผ่อนคลายเงื่อนไขและลดภาระดอกเบี้ย
- การเติบโตของ GDP: คาดการณ์ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของประเทศไทยจะเติบโตประมาณ 2.8-2.9% ต่อปีในช่วงปี พ.ศ. 2567-2568 ซึ่งการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มั่นคงจะส่งผลดีต่อกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในระยะยาว
ผลตอบแทนจากการเช่าและการลงทุนในกรุงเทพฯ: คุ้มค่าและยั่งยืน
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อการปล่อยเช่าในกรุงเทพฯ ยังคงให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ ในภูมิภาค
ผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า (Rental Yield)
- ค่าเฉลี่ยทั่วกรุงเทพฯ: ในปี พ.ศ. 2568 ค่าผลตอบแทนเฉลี่ยจากการปล่อยเช่าคอนโดในกรุงเทพฯ อยู่ที่ประมาณ 6.05% ซึ่งถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยในหลายเมืองใหญ่
- โซนปริมณฑล: บางพื้นที่ชานเมือง เช่น สมุทรปราการหรือนนทบุรี สามารถให้ผลตอบแทนสูงถึง 6.4-7% เนื่องจากราคาซื้อที่ต่ำกว่า แต่ยังคงมีความต้องการเช่าที่สูงจากผู้ที่เดินทางเข้ากรุงเทพฯ
- โซนพรีเมียม: ในโซนสุขุมวิทหรือสาทร คอนโดหรูอาจให้ผลตอบแทนประมาณ 4-5% อย่างไรก็ตาม คอนโดระดับกลางในโซนที่กำลังพัฒนาสามารถให้ผลตอบแทนได้ถึง 6-7%
- กรณีศึกษา: คอนโด 2 ห้องนอนที่มีราคาขายประมาณ 10.8 ล้านบาท (ประมาณ $300,000) สามารถปล่อยเช่าได้เดือนละ 54,000-57,600 บาท (ประมาณ $1,500-1,600) คิดเป็นผลตอบแทนราว 6% โดยไม่รวมค่าใช้จ่ายรายปี
ค่าเช่าปรับขึ้นต่อเนื่อง
- ค่าเช่าเฉลี่ย: ในไตรมาส 3 ของปี พ.ศ. 2567 ค่าเช่าเฉลี่ยของอพาร์ตเมนต์ระดับเกรด A ในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น 15.9% ต่อปี
- ทำเลนำร่อง: สุขุมวิท ยังคงเป็นทำเลที่นำโด่งด้วยค่าเช่าเฉลี่ยประมาณ 580 บาท/ตร.ม. ต่อเดือน ตามมาด้วยโซนลุมพินี-สยาม และสาทร ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการที่พักอาศัยระดับพรีเมียมในย่านศูนย์กลางธุรกิจ
แนวโน้มการเติบโตของมูลค่าทรัพย์สินและผลตอบแทนรวม
- การเพิ่มมูลค่า: นอกจากรายได้จากค่าเช่า นักลงทุนยังสามารถคาดหวังการเพิ่มขึ้นของมูลค่าทรัพย์สินในระยะยาว แม้ว่าอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ จะไม่ได้มีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดด แต่ก็มีการขยับขึ้นอย่างมั่นคง โดยคาดว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีจะอยู่ที่ 3-5% ขึ้นอยู่กับทำเลและประเภทของโครงการ
- ต้นทุนการถือครองต่ำ: จุดเด่นสำคัญอีกประการคือประเทศไทยไม่มีภาษีทรัพย์สินรายปีที่สูงเหมือนในบางประเทศ และกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างยังมีอัตราที่ต่ำมากสำหรับที่อยู่อาศัย ทำให้ ต้นทุนการถือครอง (holding cost) ต่ำ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการทำกำไรสุทธิของนักลงทุน
- เสถียรภาพค่าเงินบาท: ค่าเงินบาทยังค่อนข้างมีเสถียรภาพ ทำให้นักลงทุนต่างชาติสามารถลงทุนได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนมากนัก
- ผลตอบแทนรวม: เมื่อรวมผลตอบแทนจากค่าเช่าและการเพิ่มมูลค่าทรัพย์สิน นักลงทุนสามารถคาดหวัง ผลตอบแทนรวม 8-11% ต่อปี จากการลงทุนในคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ได้ไม่ยาก
ตารางเปรียบเทียบราคาคอนโดในกรุงเทพฯ แบ่งตามทำเล (ข้อมูล ณ ไตรมาส 2 ปี พ.ศ. 2567)
|
ทำเล |
ราคาเฉลี่ย (บาท/ตร.ม.) |
การเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบรายปี |
|
ย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD): ลุมพินี, อโศก, สาทร |
~252,200 |
+1.7% |
|
รอบเมือง: รัชดา, อารีย์, พระโขนง |
~123,500 |
+1.8% |
|
ชานเมือง: บางนา, นนทบุรี |
~70,000 |
+3.0% |
Export to Sheets
หมายเหตุ: ตัวเลขราคาเฉลี่ยอาจมีการปรับปรุงเล็กน้อยตามการเปลี่ยนแปลงของตลาดในแต่ละช่วงเวลา แต่แนวโน้มยังคงเดิม
ตารางนี้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างด้านราคาระหว่างโซนใจกลางเมืองกับปริมณฑลอย่างชัดเจน โดยโครงการชานเมืองยังคงมีแนวโน้มเพิ่มมูลค่ารวดเร็วจากความสามารถในการเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนสายใหม่ๆ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
ทำเลแนะนำสำหรับการลงทุนในกรุงเทพฯ (อัปเดต ปี 2567-2568)
การเลือกทำเลที่เหมาะสมเป็นหัวใจสำคัญของการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีและมีความเสี่ยงต่ำ
1. สุขุมวิท (อโศก-ทองหล่อ-เอกมัย)
- จุดเด่น: ยังคงเป็นทำเลทองที่ดึงดูดทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เป็นแหล่งรวมคอนโดหรู ห้างสรรพสินค้าระดับพรีเมียม (EmQuartier, Emporium, Emsphere) โรงเรียนนานาชาติชั้นนำ โรงพยาบาล และสิ่งอำนวยความสะดวกระดับโลก การคมนาคมสะดวกสบายด้วยรถไฟฟ้า BTS สายสุขุมวิท
- ศักยภาพการลงทุน: ราคาคอนโดใหม่ในโซนนี้ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 200,000-300,000 บาท/ตร.ม. แต่ก็สามารถปล่อยเช่าได้สูงที่สุดในกรุงเทพฯ ที่ราว 580 บาท/ตร.ม. ต่อเดือน เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มองหาความปลอดภัยในการลงทุน ความต้องการเช่าที่คงที่ และชื่อเสียงของทำเลที่ยังคงดึงดูดผู้เช่าคุณภาพสูงอย่างต่อเนื่อง
2. สีลม & สาทร (เขตธุรกิจการเงิน)
- จุดเด่น: เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ธนาคาร สถาบันการเงินชั้นนำ สถานทูต และโรงแรมหรูหลายแห่ง มีสวนลุมพินีเป็นปอดสีเขียวใจกลางเมือง และการเชื่อมต่อของระบบขนส่งมวลชนทั้ง BTS และ MRT ทำให้เป็นทำเลที่เดินทางสะดวก
- ศักยภาพการลงทุน: ค่าเช่าในพื้นที่นี้ยังคงสูงถึง 488 บาท/ตร.ม. และให้ผลตอบแทนประมาณ 4-5% จุดเด่นคือมีกลุ่มผู้เช่าที่มีกำลังจ่ายสูงและเป็นพนักงานบริษัทชั้นนำ การพัฒนาโครงการ Mixed-use ขนาดใหญ่อย่าง One Bangkok และ Dusit Central Park จะยิ่งเพิ่มศักยภาพการเติบโตในอนาคต
3. พระราม 9 - รัชดาภิเษก (New CBD)
- จุดเด่น: ทำเลที่เติบโตอย่างรวดเร็วและได้รับการยกระดับเป็นย่านศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ (New CBD) มีสำนักงานใหญ่ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ศูนย์การค้า Central Rama 9 และโครงการระดับนานาชาติอีกหลายแห่ง มีความต้องการจากชาวจีนสูงทั้งผู้ซื้อและผู้เช่า
- ศักยภาพการลงทุน: ราคาเฉลี่ยคอนโดอยู่ในช่วง 120,000 - 150,000 บาท/ตร.ม. ให้ผลตอบแทนค่าเช่าประมาณ 5-6% เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่ดีในระยะกลาง-ยาว ด้วยราคาที่เข้าถึงได้และโครงสร้างพื้นฐานที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
4. ธนบุรี & ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
- จุดเด่น: มีโครงการหรูริมแม่น้ำหลายแห่ง เช่น ICONSIAM โรงแรมระดับ 5 ดาว และโครงการ Mixed-use ใหม่ๆ หลายพื้นที่ได้รับการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมโดยภาครัฐ เช่น รถไฟฟ้าสายสีทอง และการปรับปรุงภูมิทัศน์ริมแม่น้ำ
- ศักยภาพการลงทุน: คอนโดระดับกลาง-บนในพื้นที่ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยาสามารถให้ผลตอบแทนสูงถึง 6% ขึ้นไป มีศักยภาพในการเติบโตสูงจากแผนพัฒนาพื้นที่ต่อเนื่อง และความต้องการที่อยู่อาศัยจากฝั่งคนทำงานใน CBD ที่สามารถเดินทางข้ามฝั่งได้สะดวก
5. บางนา & กรุงเทพฯ โซนตะวันออก
- จุดเด่น: ทำเลที่ได้รับผลบวกโดยตรงจากการพัฒนาโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมถึงมีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่อย่าง Mega Bangna และ Central Village นอกจากนี้ โครงการ Bangkok Mall (ซึ่งยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง) จะเป็นจุดดึงดูดสำคัญในอนาคต
- ศักยภาพการลงทุน: คอนโดใหม่ในทำเลนี้มีราคาเริ่มต้นที่ 70,000-100,000 บาท/ตร.ม. แต่สามารถให้ค่าเช่าที่แข่งขันได้ ทำให้ผลตอบแทนอยู่ในระดับ 6-7% เหมาะสำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาวที่เน้นการเติบโตจากโครงสร้างพื้นฐานและโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ
การลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์กรุงเทพฯ ในช่วงปี 2567-2568 ยังคงเป็นโอกาสที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนที่มั่นคงและศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว การทำความเข้าใจแนวโน้มตลาด มาตรการภาครัฐ และการเลือกทำเลที่เหมาะสม จะช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดและบรรลุเป้าหมายการลงทุนได้
กฎหมายอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนไทย (อัปเดตล่าสุด ปี 2567/2568)
การทำความเข้าใจกฎหมายอสังหาริมทรัพย์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนไทยที่ต้องการลงทุนหรือมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง บทความนี้จะขยายเนื้อหาเดิมให้ครอบคลุมและสอดคล้องกับข้อมูลล่าสุดของกฎหมายไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเกี่ยวกับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ
คอนโดมิเนียม - สิทธิเต็มรูปแบบและข้อจำกัด
คนไทยยังคงสามารถถือกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมได้เต็มรูปแบบตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม) โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องสัดส่วนการถือครองเช่นเดียวกับชาวต่างชาติ และสามารถชำระเงินได้ทุกรูปแบบ ทั้งเงินสดและเงินกู้จากสถาบันการเงินในประเทศ
- ข้อจำกัดที่ควรทราบ:
- กฎระเบียบของนิติบุคคลอาคารชุด: แม้สิทธิการเป็นเจ้าของจะเต็มรูปแบบ แต่การใช้ประโยชน์และการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมจะต้องเป็นไปตามข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าของร่วมทุกรายต้องปฏิบัติตาม เพื่อการบริหารจัดการทรัพย์สินส่วนกลางและสังคมการอยู่อาศัยร่วมกัน
- ค่าส่วนกลาง: เจ้าของร่วมมีหน้าที่ต้องชำระค่าส่วนกลางอย่างสม่ำเสมอ หากไม่ชำระอาจมีเบี้ยปรับและถูกระงับสิทธิบางประการ เช่น การใช้พื้นที่ส่วนกลาง หรือไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้จนกว่าจะชำระหนี้ทั้งหมด
- การถือครองโดยนิติบุคคล: ในกรณีที่นิติบุคคลอาคารชุดมีการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบหรือต้องการดำเนินการใดๆ ที่ส่งผลกระทบต่อเจ้าของร่วม จะต้องมีการประชุมและลงมติจากที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมตามที่กฎหมายกำหนด
บ้านเดี่ยวและที่ดิน - สิทธิเต็มรูปแบบและทางเลือกการถือครอง
คนไทยมีสิทธิถือกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านเดี่ยวได้เต็มรูปแบบตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยมีตัวเลือกหลากหลายสำหรับการถือครอง:
- รูปแบบการถือครอง:
- กรรมสิทธิ์เดี่ยว: การถือครองโดยบุคคลคนเดียว ได้รับสิทธิและหน้าที่ทั้งหมดในทรัพย์สินนั้น
- กรรมสิทธิ์ร่วม: การถือครองร่วมกับผู้อื่น (เช่น คู่สมรส, พี่น้อง) โดยมีสัดส่วนกรรมสิทธิ์ที่ชัดเจนในโฉนดที่ดิน การจัดการทรัพย์สินต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของร่วมทุกคน
- นิติบุคคล: การถือครองผ่านบริษัทจำกัดหรือห้างหุ้นส่วนจำกัดที่คนไทยถือหุ้นใหญ่ (โดยปกติคือสัดส่วน 51% ขึ้นไป) รูปแบบนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อธุรกิจ หรือเพื่อการบริหารจัดการทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูง การถือครองในนามนิติบุคคลมีข้อดีในเรื่องการบริหารจัดการภาษีและการส่งต่อทรัพย์สิน
- สหกรณ์: การถือครองผ่านสหกรณ์เคหสถานหรือสหกรณ์ออมทรัพย์ที่ดำเนินกิจการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ สมาชิกสหกรณ์จะได้รับสิทธิในการอยู่อาศัยหรือเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ภายใต้เงื่อนไขของสหกรณ์
- กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs): แม้จะไม่ใช่การถือครองกรรมสิทธิ์โดยตรง แต่ REITs เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนไทยที่ต้องการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ เช่น อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรม โดยมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากค่าเช่าและส่วนต่างราคา
- โครงการพิเศษจากภาครัฐ:
- โครงการที่อยู่อาศัยของการเคหะแห่งชาติ (กคช.): สำหรับผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง โดยมีเงื่อนไขพิเศษเรื่องรายได้ การครอบครอง และการผ่อนชำระที่ยืดหยุ่นกว่าสินเชื่อทั่วไป
- โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.): ธอส. เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีบทบาทหลักในการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับประชาชนทั่วไป มีผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่หลากหลายและอัตราดอกเบี้ยพิเศษตามนโยบายภาครัฐ เช่น โครงการบ้านล้านหลัง (ซึ่งอาจมีการปรับปรุงเงื่อนไขหรือโครงการใหม่ๆ ออกมาตามนโยบายเศรษฐกิจ)
- มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์: รัฐบาลอาจมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเป็นครั้งคราว เช่น การลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนอง การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำพิเศษ หรือมาตรการช่วยเหลือผู้ซื้อรายแรก ควรติดตามข่าวสารจากหน่วยงานภาครัฐอย่างใกล้ชิด
ภาษีและค่าธรรมเนียมในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ (อัปเดตล่าสุด)
- ค่าธรรมเนียมพื้นฐาน ณ กรมที่ดิน:
- ค่าธรรมเนียมการโอน: 2% ของราคาประเมินทุนทรัพย์หรือราคาซื้อขาย แล้วแต่ราคาใดจะสูงกว่า
- มาตรการลดหย่อน: ณ ปัจจุบัน (ปี 2567-2568) มีการขยายมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนเหลือ 0.01% สำหรับการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดและที่ดินพร้อมอาคารหรือบ้าน ในราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท/หน่วย และเป็นกรณีการโอนในหมวดซื้อขายสำหรับที่อยู่อาศัยเท่านั้น และยังมีการลดค่าจดทะเบียนจำนองเหลือ 0.01% สำหรับวงเงินจำนองไม่เกิน 7 ล้านบาท/หน่วยเช่นกัน (โปรดตรวจสอบระยะเวลาของมาตรการจากกรมที่ดินหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง)
- อากรแสตมป์: 0.5% ของราคาซื้อขายหรือราคาประเมิน แล้วแต่ราคาใดจะสูงกว่า โดยจะคิดจากราคาที่สูงกว่า แต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขว่าผู้ขายไม่ได้เสียภาษีธุรกิจเฉพาะ
- ภาษีธุรกิจเฉพาะ: 3.3% (รวมภาษีท้องถิ่น 0.3%) ของราคาซื้อขายหรือราคาประเมิน แล้วแต่ราคาใดจะสูงกว่า
- เงื่อนไข: กรณีผู้ขายเป็นบุคคลธรรมดาและมีการถือครองอสังหาริมทรัพย์ไม่เกิน 5 ปี นับจากวันที่ได้มา (เว้นแต่เป็นการได้มาโดยมรดก หรือเป็นที่อยู่อาศัยหลักที่ย้ายทะเบียนบ้านเข้าอยู่ไม่น้อยกว่า 1 ปี)
- ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย:
- สำหรับผู้ขายบุคคลธรรมดา: คำนวณตามหลักเกณฑ์ที่ซับซ้อนตามจำนวนปีที่ถือครองและราคาประเมิน โดยใช้วิธีเฉลี่ยเงินได้แล้วคูณด้วยอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบก้าวหน้า แต่สูงสุดไม่เกิน 20% ของเงินได้ที่คำนวณได้
- สำหรับผู้ขายที่เป็นนิติบุคคล: ภาษีหัก ณ ที่จ่าย 1% ของราคาขายหรือราคาประเมิน แล้วแต่ราคาใดจะสูงกว่า
- ค่าธรรมเนียมการโอน: 2% ของราคาประเมินทุนทรัพย์หรือราคาซื้อขาย แล้วแต่ราคาใดจะสูงกว่า
ภาษีประจำปี (ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง) (อัปเดตล่าสุด)
พระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม) มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป โดยได้ยกเลิกภาษีโรงเรือนและที่ดินและภาษีบำรุงท้องที่เดิม
- หลักการคำนวณ: ภาษีคำนวณจากมูลค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (ราคาประเมินทุนทรัพย์) คูณด้วยอัตราภาษีที่กำหนดตามประเภทการใช้ประโยชน์
- ประเภทการใช้ประโยชน์และอัตราภาษี (โดยประมาณ):
- ที่อยู่อาศัย: อัตราต่ำ
- บ้านหลัก (ที่อยู่อาศัยอันเป็นภูมิลำเนา): กรณีบุคคลธรรมดาเป็นเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และใช้เป็นที่อยู่อาศัยหลัก มีการยกเว้นมูลค่าฐานภาษีส่วนแรก (เช่น มูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาทสำหรับบ้านและที่ดิน หรือไม่เกิน 10 ล้านบาทสำหรับห้องชุด) หากเกินกว่านั้นจะเริ่มคิดภาษีในอัตราก้าวหน้าต่ำๆ (เช่น 0.02% - 0.10%)
- บ้านหลังที่สองหรือบ้านเช่า: คิดภาษีตั้งแต่บาทแรกในอัตราที่สูงขึ้นเล็กน้อย (เช่น 0.02% - 0.10%)
- ที่ดินเพื่อเกษตรกรรม: อัตราต่ำมาก หรือได้รับการยกเว้นบางส่วน (เช่น กรณีบุคคลธรรมดาเป็นเจ้าของและใช้ทำเกษตรกรรม มูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาทอาจได้รับการยกเว้น)
- ที่ดินเพื่อพาณิชยกรรม/อุตสาหกรรม: อัตราปานกลางถึงสูง (เช่น 0.3% - 0.7%)
- ที่ดินรกร้างว่างเปล่า: อัตราสูงสุดและจะเพิ่มขึ้นทุก 3 ปี หากยังคงปล่อยรกร้าง (เช่น 0.3% และเพิ่มขึ้น 0.3% ทุก 3 ปี สูงสุดไม่เกิน 3%) เพื่อกระตุ้นให้มีการใช้ประโยชน์
- ที่อยู่อาศัย: อัตราต่ำ
- การบรรเทาภาษี: อาจมีมาตรการบรรเทาภาษีหรือลดหย่อนภาษีจากรัฐบาลในบางปี เพื่อช่วยเหลือประชาชนหรือกระตุ้นเศรษฐกิจ
ภาษีจากรายได้ (อัปเดตล่าสุด)
- รายได้จากค่าเช่า:
- สำหรับบุคคลธรรมดา: ถือเป็นเงินได้ประเภทที่ 5 (มาตรา 40 (5)) ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามอัตราก้าวหน้า สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ตามจริงหรือตามอัตราเหมาจ่ายที่กฎหมายกำหนด (เช่น 30% สำหรับค่าเช่าที่อยู่อาศัย)
- สำหรับนิติบุคคล: ถือเป็นรายได้จากการประกอบกิจการ ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลตามอัตราที่กฎหมายกำหนด
- กำไรจากการขายอสังหาริมทรัพย์:
- สำหรับบุคคลธรรมดา:
- ขายเป็นธุรกิจหรือแสวงหากำไร: หากมีการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์บ่อยครั้ง หรือมีการแบ่งแปลงที่ดินเพื่อขาย ถือเป็นการขายในลักษณะของธุรกิจ ต้องนำกำไรจากการขายไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และอาจต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะเพิ่มเติม (3.3%)
- การขายที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้: กรณีผู้ขายเป็นบุคคลธรรมดา และขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมรดก หรือที่อยู่อาศัยหลักที่ได้ย้ายทะเบียนบ้านเข้าอยู่ไม่น้อยกว่า 1 ปี และถือครองเกิน 5 ปี จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้จากการขาย (แต่ยังต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ หากเข้าเงื่อนไข)
- สำหรับนิติบุคคล: กำไรจากการขายอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นรายได้ของนิติบุคคล ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล
- สำหรับบุคคลธรรมดา:
สิทธิพิเศษและการคุ้มครองทางกฎหมาย
- การคุ้มครองทางกฎหมาย:
- ห้ามยึดที่อยู่อาศัยหลัก: ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 285 การบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ ห้ามมิให้ยึดที่อยู่อาศัยที่จำเป็นสำหรับลูกหนี้และครอบครัว (หากเป็นบ้านพร้อมที่ดินในราคาที่เหมาะสม) เว้นแต่จะเป็นการบังคับจำนองทรัพย์สินนั้น
- สิทธิการรับมรดก: กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์สามารถถ่ายทอดให้แก่ทายาทได้เต็มรูปแบบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยมรดก โดยผู้รับมรดกมีหน้าที่ต้องชำระภาษีมรดก (หากมีมูลค่าเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด)
- การประกันสินเชื่อ (การจำนอง): อสังหาริมทรัพย์สามารถนำไปจำนองเพื่อค้ำประกันสินเชื่อได้เต็มมูลค่าตามราคาประเมินและเงื่อนไขของสถาบันการเงิน ถือเป็นหลักประกันที่มีความมั่นคงสูง
- สิทธิประโยชน์ทางภาษี:
- ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย: สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี (สำหรับบ้านหลังแรก หรือรวมกันไม่เกิน 100,000 บาท กรณีซื้อร่วมกัน)
- ภาษีมรดก: ทายาทโดยตรงที่ได้รับมรดกอสังหาริมทรัพย์มูลค่าไม่เกิน 100 ล้านบาทต่อทายาท จะได้รับการยกเว้นภาษีมรดก หากเกินกว่านั้นจะต้องเสียภาษีตามอัตราที่กฎหมายกำหนด (5% สำหรับบุพการี/ผู้สืบสันดาน และ 10% สำหรับบุคคลอื่น)
- ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง: มีการยกเว้นมูลค่าฐานภาษีส่วนแรกสำหรับที่อยู่อาศัยหลัก ตามที่ระบุไว้ในหัวข้อภาษีประจำปี
ข้อควรระวังและคำแนะนำที่สำคัญ
- การตรวจสอบเอกสารและข้อมูล:
- ตรวจสอบโฉนดที่ดิน/หนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ห้องชุด: ตรวจสอบชื่อเจ้าของ ขนาดที่ดิน/พื้นที่ใช้สอย ที่ตั้ง ระวาง เลขที่ดิน/เลขที่ห้องชุด สิ่งสำคัญคือต้องตรวจสอบว่าเป็นโฉนดที่ดินครุฑแดง (น.ส.4 จ.) ซึ่งแสดงกรรมสิทธิ์สมบูรณ์ หรือเป็นเอกสารสิทธิ์ประเภทอื่น (เช่น น.ส.3 ก., ส.ค.1) ซึ่งมีสิทธิในการครอบครองที่แตกต่างกัน
- ยืนยันว่าไม่มีภาระผูกพันหรือข้อพิพาท: ตรวจสอบสารบบที่ดินจากกรมที่ดิน เพื่อดูว่ามีภาระผูกพัน เช่น การจำนอง ภาระจำยอม หรือข้อพิพาททางกฎหมายใดๆ หรือไม่
- ตรวจสอบใบอนุญาตก่อสร้างและใบรับรองการครอบครองอาคาร (อ.6/อ.5): โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบ้านหรืออาคารที่เพิ่งสร้างเสร็จ เพื่อให้แน่ใจว่าการก่อสร้างถูกต้องตามกฎหมาย และไม่มีปัญหาในการโอนกรรมสิทธิ์หรือการใช้ประโยชน์ในอนาคต
- การวางแผนทางการเงิน:
- วางแผนการชำระภาษีและค่าธรรมเนียม: นอกเหนือจากราคาซื้อขายแล้ว ต้องเตรียมเงินสำหรับค่าธรรมเนียมการโอน ค่าจดจำนอง (หากมีการกู้) ค่าอากรแสตมป์ และภาษีต่างๆ
- พิจารณาการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี: ศึกษาและวางแผนการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากดอกเบี้ยบ้าน และสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
- เตรียมเงินสำรองสำหรับค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม: เช่น ค่าจดมิเตอร์น้ำ/ไฟ ค่าตกแต่ง ค่าส่วนกลางล่วงหน้า (สำหรับคอนโด) หรือค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา
- คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ:
- ปรึกษานิติกร/ทนายความ: เพื่อตรวจสอบสัญญาจะซื้อจะขาย สัญญาซื้อขาย และเอกสารสิทธิ์ต่างๆ ให้แน่ใจว่าถูกต้องตามกฎหมายและเป็นธรรม ป้องกันปัญหาทางกฎหมายในอนาคต
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี: เพื่อวางแผนภาษีที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขาย การถือครอง และการมีรายได้จากอสังหาริมทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
- ใช้บริการนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ที่มีใบอนุญาตและมีชื่อเสียง: เพื่อช่วยในการค้นหาทรัพย์สินที่เหมาะสม การเจรจาต่อรอง และการดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ อย่างมืออาชีพ อย่างไรก็ตาม ควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือและใบอนุญาตของนายหน้าเสมอ
การศึกษาและทำความเข้าใจกฎหมายอสังหาริมทรัพย์อย่างละเอียดจะช่วยให้คนไทยสามารถซื้อขาย ถือครอง และใช้ประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างมั่นใจและถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมทั้งสามารถวางแผนการเงินและภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์กรุงเทพฯ ปี พ.ศ. 2568 และหลังจากนั้น
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพมหานครยังคงเป็นเป้าหมายที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน ด้วยปัจจัยหลายประการที่ส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนในปี 2568 และในระยะยาว
ราคาทรัพย์สินคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2-5% ต่อปี: หลังจากที่ราคาอสังหาริมทรัพย์มีการปรับฐานในช่วงที่ผ่านมา คาดการณ์ว่าในปี 2568 ราคาจะเริ่มกลับมาเติบโตอย่างมีเสถียรภาพที่ 2-5% ต่อปี ซึ่งเป็นการเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไปที่สะท้อนถึงตลาดที่สมดุล ไม่มีความร้อนแรงจนเกินไป แต่ก็ไม่หยุดนิ่ง เหมาะสำหรับการลงทุนระยะกลางถึงยาวที่ต้องการผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ
เศรษฐกิจและการเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น: การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่คาดการณ์ว่า GDP จะเติบโตประมาณ 3% รวมถึงความมีเสถียรภาพทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น จะเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับทั้งนักลงทุนในประเทศและต่างชาติ นอกจากนี้ การกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติเกือบ 30 ล้านคน จะช่วยกระตุ้นภาคบริการและภาคอสังหาริมทรัพย์ให้คึกคักยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์เพื่อการเช่าและโรงแรม
ตลาดเช่ายังคงแข็งแกร่งและมีแนวโน้มเติบโตต่อ: ตลาดเช่าในกรุงเทพฯ ยังคงเป็นจุดเด่นสำคัญ โดยเฉพาะในทำเลใจกลางเมืองและย่านธุรกิจ เนื่องจากมีความต้องการสูงจากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานและพำนักอาศัย การกลับมาของนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจจะยิ่งหนุนให้ค่าเช่าและอัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้น
ระบบขนส่งมวลชนกำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง: การขยายตัวของโครงข่ายรถไฟฟ้าสายใหม่ ๆ เช่น สายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี) สายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) และ สายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ที่เริ่มเปิดให้บริการและกำลังก่อสร้าง จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับที่อยู่อาศัยที่ตั้งอยู่ใกล้สถานี เป็นการขยายทำเลศักยภาพใหม่ ๆ และเพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทาง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อและเช่า
อุปทานจำกัดจากโครงการใหม่ที่ชะลอตัว: ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ได้ชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาอันเนื่องมาจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ปริมาณอุปทานในตลาดไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก ส่งผลให้ไม่เกิดภาวะล้นตลาด และช่วยรักษาสมดุลของราคาอสังหาริมทรัพย์ไว้ได้
สรุป: กรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. 2568 คือโอกาสทองสำหรับนักลงทุน
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์กรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. 2568 ถือเป็น จังหวะที่ดีเยี่ยม สำหรับผู้ที่มองหาการสร้างผลตอบแทนระยะกลางถึงยาว ด้วยปัจจัยบวกหลายประการ ทั้งราคาที่ยังไม่สูงเกินไปเมื่อเทียบกับศักยภาพ การเติบโตของผลตอบแทนจากการเช่าที่แข็งแกร่ง ความต้องการจากนักลงทุนและผู้เช่าต่างชาติที่ยังคงมีอยู่ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง
หากคุณวางแผนอย่างรอบคอบ เลือกทำเลที่มีกลยุทธ์ ลงทุนกับโครงการที่มีคุณภาพ และปฏิบัติตามข้อกฎหมายทุกขั้นตอน กรุงเทพฯ จะเป็นตลาดที่ให้ผลตอบแทนที่มั่นคง พร้อมโอกาสในการเติบโตของมูลค่าทรัพย์สินในอนาคตที่สดใส
คอนโดยอดนิยมใน Bangkok

ลุมพินี เซ็นเตอร์ แฮปปี้แลนด์

เลอ เซแลส พระราม9 ศรีนครินทร์

ป่าตอง ทาวเวอร์ ซีวิว คอนโด






























































































































































































































































