ตัวกรอง
657 ผลลัพธ์
บันทึกการค้นหา
แผนที่

657 ยูนิต
Slider image 12
Slider image 1
Slider image 2
1/12
฿3,690,000
2 ห้องนอน2 ห้องน้ำ104 ตรม.ทาวน์เฮ้าส์
ฉลอง, เมืองภูเก็ต, ภูเก็ต
ขายทาวน์เฮ้าส์ 2 ห้องนอน ใน
WR-03411 หมู่บ้านคันทรีโฮม @ ฉลอง พี้นที่ 26 ตารางวา 2 ห้องนอน, 2 ห้องน้ำ 1 จอดรถยนต์ในบ้าน ราคา 3,690,000 บาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : โทร: 08858...
Slider image 8
Slider image 1
Slider image 2
1/8
฿3,080,000
1 ห้องนอน1 ห้องน้ำ130 ตรม.ทาวน์เฮ้าส์
ศรีสุนทร, ถลาง, ภูเก็ต
ขายทาวน์เฮ้าส์ 1 ห้องนอน ใน
A_088 ขายทาวน์เฮ้าส์ : ภูเก็ต ที่ตั้งสินทรัพย์ : ตำบลฉลอง อำเภอเมืองภูเก็ต ภูเก็ต ราคา : 3,080,000 บาท ขนาดพื้นที่ : 63.8 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย : 130...
Slider image 20
Slider image 1
Slider image 2
1/20
฿5,000,000
2 ห้องนอน3 ห้องน้ำ104 ตรม.ทาวน์เฮ้าส์
กะทู้, กะทู้, ภูเก็ต
ขายทาวน์เฮ้าส์ 2 ห้องนอน ใน
อสังหาริมทรัพย์นี้เป็น ทาวน์เฮ้าส์ สำหรับขาย ขนาด 2 ห้องนอน มีพื้นที่ใช้สอย 104 ตรม. อยู่ในทำเล กะทู้, ภูเก็ต ซึ่งคุณสามารถซื้อ ทาวน์เฮ้าส์...
Slider image 20
Slider image 1
Slider image 2
1/20
฿8,500,000
3 ห้องนอน4 ห้องน้ำ192 ตรม.ทาวน์เฮ้าส์
วิชิต, เมืองภูเก็ต, ภูเก็ต
ขายทาวน์เฮ้าส์ 3 ห้องนอน ใน
PropertyScout ID ----- ขาย ทาวน์เฮ้าส์ตกแต่งพร้อมอยู่ 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ ขนาด 192 ตารางเมตร ซึ่งตั้งอยู่ในเขตเมืองภูเก็ต ติดต่อเราเพื่อนัดหมายเข้...
แสดงผลลัพธ์ 31 - 60, หน้า 2 จากทั้งหมด 22 หน้า

ขายทาวน์เฮ้าส์ในภูเก็ต: วิเคราะห์ตลาดและทำเลเด่น ปี 2568

ภูเก็ตถือเป็นหนึ่งในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีความคึกคักที่สุดในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มบ้านประเภททาวน์เฮ้าส์ซึ่งได้รับความสนใจจากทั้งนักลงทุนและผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง ความโดดเด่นด้านการท่องเที่ยวระดับโลกของภูเก็ตส่งผลให้ความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากสถานการณ์การท่องเที่ยวฟื้นตัวเต็มที่ในช่วงปี 2565-2566 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ตได้กลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งจนสวนทางกับภาพรวมของประเทศ

ภูเก็ตในปัจจุบันไม่ใช่เพียงเมืองท่องเที่ยว แต่กลายเป็น ศูนย์กลางการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับภูมิภาค จากทำเลที่ตั้งที่เป็นเกาะสวรรค์เขตร้อน มีสิ่งอำนวยความสะดวกทันสมัย ทั้งสนามบินนานาชาติ โรงเรียนนานาชาติ และโรงพยาบาลมาตรฐานสูง ประกอบกับการสนับสนุนจากภาครัฐที่มองเห็นศักยภาพของภูเก็ตในการดึงดูดเงินตราต่างประเทศ (เช่น โครงการ Phuket Sandbox ในช่วงโควิด-19 ที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างมาก) ทำให้ภูเก็ตยิ่งน่าสนใจสำหรับนักพัฒนาและนักลงทุนอสังหาฯ จากทั่วโลก

ภาพรวมตลาดทาวน์เฮ้าส์ภูเก็ต ปี 2568

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ตในปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนสำคัญจากภาคการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคัก ภูเก็ตต้อนรับนักท่องเที่ยวหลายล้านคนต่อปี (ในปี 2566 มีนักท่องเที่ยวกว่า 8.37 ล้านคน เพิ่มขึ้นกว่า 150% จากปีก่อน) การหลั่งไหลของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนและชาวต่างชาติฐานะดี (เช่น รัสเซีย จีน และยุโรป) ทำให้เกิดความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อการพักผ่อน (เช่น คอนโดมิเนียมหรือวิลล่าตากอากาศ) อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ดี ตลาดที่อยู่อาศัยสำหรับคนไทยและผู้พำนักอาศัยในพื้นที่ ก็ได้รับอานิสงส์จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวเช่นกัน ส่งผลให้การซื้อขายบ้านแนวราบในจังหวัดภูเก็ตปรับตัวดีขึ้นกว่าช่วงชะลอตัวในปีก่อนหน้า

รายงานข้อมูลไตรมาส 1 ปี 2567 ระบุว่าภูเก็ตมีโครงการอสังหาฯ ที่ขายอยู่ในท้องตลาดรวมกันถึง 500 โครงการ มีจำนวนหน่วยขายรวมราว 72,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่าการพัฒนาประมาณ 460,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถขายไปแล้ว 62,000 หน่วยและเหลือขายอีกราว 10,000 หน่วยเท่านั้น

สรุปภาพรวมตลาดอสังหาฯ ภูเก็ต (ไตรมาส 1/2567):

  • จำนวนโครงการที่มีขาย: 500 โครงการ

  • จำนวนหน่วยรวม: ~72,000 หน่วย (ขายแล้ว ~62,000 หน่วย หรือ 86%, เหลือขาย ~10,000 หน่วย)

  • มูลค่าการพัฒนาโครงการรวม: ประมาณ 460,000 ล้านบาท

  • เขตที่มีโครงการมากที่สุด: อ.ถลาง (~32,000 หน่วย), อ.เมืองภูเก็ต (~28,000 หน่วย), อ.กะทู้ (~12,000 หน่วย)

  • ประเภทอสังหาฯ หลักที่พัฒนา: ห้องชุดตากอากาศ (คอนโดฯ รีสอร์ต) และวิลล่าตากอากาศ (~67% ของมูลค่ารวม), ที่อยู่อาศัยสำหรับคนไทย (บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์) ประมาณ 33%

  • ราคาขายเฉลี่ยทุกประเภทอสังหาฯ: ~6.4 ล้านบาท/หน่วย (แยกเป็นที่อยู่อาศัยคนไทยเฉลี่ย ~3.5 ล้าน, ที่พักตากอากาศเฉลี่ย ~10.7 ล้าน)

น่าสนใจว่าตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) ของภูเก็ตในส่วนภาคอสังหาริมทรัพย์นั้นอยู่ที่ประมาณ 6,281 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพียงราว 5.7% ของ GPP จังหวัด (110,648 ล้านบาท) เท่านั้น แต่ตัวเลขนี้อาจไม่สะท้อนภาพเต็มของภาคอสังหาฯ ภูเก็ต เนื่องจากหากรวมการพัฒนาที่อยู่อาศัยภาคเอกชนทั้งหมดจะมีมูลค่าสูงกว่านี้หลายเท่า นักวิเคราะห์บางรายชี้ว่ามูลค่าการพัฒนาอสังหาฯ ในภูเก็ตอาจคิดเป็นสัดส่วนจริงถึงประมาณหนึ่งในสี่ของเศรษฐกิจจังหวัดด้วยซ้ำ ซึ่งใกล้เคียงกับบางเมืองตากอากาศระดับโลกอย่างรัฐฟลอริดาของสหรัฐที่ภาคอสังหาฯ มีสัดส่วนราว 24% ของเศรษฐกิจท้องถิ่น ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นกลไกสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบเศรษฐกิจภูเก็ตโดยรวม

สถิติดังกล่าวสะท้อนว่าภาพรวมตลาดอสังหาฯ ภูเก็ตกำลังอยู่ในภาวะ “ผู้ขายเป็นต่อ” (Seller’s Market) กล่าวคือ อุปสงค์ (ความต้องการซื้อ) สูงกว่าอุปทาน (จำนวนหน่วยที่มีขาย) อย่างเห็นได้ชัด แม้ในช่วงต้นปี 2567 ภาพรวมทั้งประเทศจะเผชิญการชะลอตัว โดยปริมาณการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศติดลบถึงประมาณ 13% เมื่อเทียบปีต่อปี แต่ยอดโอนในจังหวัดภูเก็ตกลับเพิ่มขึ้นทั้งในด้านจำนวนหน่วย (+1.4%) และมูลค่าเม็ดเงิน (+19.6%) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นั่นหมายความว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ตยังเติบโตสวนทางกับภาพรวมประเทศ และมีแนวโน้มเชิงบวกอย่างต่อเนื่องเข้าสู่ปี 2568

สัดส่วนประเภทอสังหาริมทรัพย์ที่ขายในภูเก็ต: จุดที่น่าสังเกตคือสินค้าประเภทคอนโดมิเนียมหรือที่อยู่อาศัยแนวสูงมีบทบาทครองตลาดภูเก็ตอย่างมาก โดยคิดเป็นประมาณ 80% ของจำนวนหน่วยขายทั้งหมด เนื่องจากตอบโจทย์กลุ่มผู้ซื้อชาวต่างชาติที่ไม่สามารถถือครองที่ดินได้โดยตรง (ชาวต่างชาติเลือกซื้อคอนโดฯ และวิลล่าหรูเพื่อการพักผ่อนหรือปล่อยเช่า) ส่วนที่อยู่อาศัยแนวราบ ได้แก่ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮ้าส์ แม้จะมีสัดส่วนไม่สูงเท่าคอนโด แต่ก็มียอดขายขยายตัวตามไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มบ้านราคาปานกลางที่คนไทยสามารถจับต้องได้ ดังจะเห็นได้จากยอดขายบ้านแนวราบในภูเก็ตปีล่าสุดที่เติบโตขึ้นเล็กน้อย สวนทางกับตลาดรวมประเทศที่หดตัว สำหรับบ้านเดี่ยวซึ่งเป็นสินค้าราคาสูง ยอดโอนในภูเก็ตปี 2567 เพิ่มขึ้นถึงประมาณ 8% ส่วนทาวน์เฮ้าส์และบ้านแฝดก็มีอัตราเติบโตเช่นกันแม้จะในอัตราที่ต่ำกว่า แสดงว่าความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยทุกประเภทในภูเก็ตกำลังเพิ่มขึ้นพร้อม ๆ กัน ด้วยแรงหนุนหลักจากเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว

ภาพรวมตลาดทาวน์เฮ้าส์ในภูเก็ต: ทาวน์เฮ้าส์เป็นหนึ่งในประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีบทบาทสำคัญสำหรับผู้ซื้อชาวไทยในจังหวัดภูเก็ต ข้อมูลล่าสุดชี้ว่าในปัจจุบันมีโครงการทาวน์เฮ้าส์ที่พัฒนาแล้วในภูเก็ตราว 100 โครงการ รวมจำนวนยูนิตทั้งสิ้นประมาณ 10,000 หน่วย ในจำนวนนี้ขายไปแล้วเกือบทั้งหมด เหลือหน่วยที่ยังรอผู้ซื้อเพียงประมาณ 700 หน่วยเท่านั้น ปริมาณสต็อกที่เหลือน้อยสะท้อนถึงการตอบรับของตลาดที่ดีมาก อัตราการดูดซับบ้านทาวน์เฮ้าส์ (sales absorption rate) อยู่ที่ราว 3.1% ของหน่วยที่มีอยู่ต่อเดือน ซึ่งคาดการณ์ได้ว่าสินค้าทาวน์เฮ้าส์ที่เหลือทั้งหมดน่าจะขายหมดได้ภายในเวลาอีกราว 2 ปีครึ่งหากไม่มีโครงการใหม่เพิ่มเติมเข้ามา สัดส่วนมูลค่าการพัฒนาของทาวน์เฮ้าส์ทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 27,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 6% ของมูลค่าโครงการที่อยู่อาศัยทั้งหมดในภูเก็ต แสดงให้เห็นว่าทาวน์เฮ้าส์เป็นตลาดเฉพาะกลุ่มที่แม้มูลค่ารวมไม่สูงเท่าคอนโดหรือวิลล่าหรู แต่มีฐานลูกค้าชัดเจนและยังคงเป็นที่ต้องการสำหรับผู้ที่มองหาที่อยู่อาศัยถาวรในจังหวัดนี้

ราคาขายเฉลี่ยของทาวน์เฮ้าส์ในภูเก็ตอยู่ที่ประมาณหน่วยละ 2.7 ล้านบาท ตัวอย่างโครงการทาวน์เฮ้าส์ที่มีราคาถูกมากในช่วงที่ผ่านมาคือ "บ้านเอกชัยวิลล่า" บนถนนเทพกระษัตรีในย่านลิพอน (อำเภอถลาง) ซึ่งเป็นทาวน์เฮ้าส์ชั้นเดียวขนาดเล็ก ราคาเปิดตัวเพียง 0.999 ล้านบาทต่อยูนิต จำนวนทั้งสิ้น 45 ยูนิต และทั้งหมดได้ขายหมดอย่างรวดเร็ว แสดงถึงดีมานด์ที่มีต่อบ้านระดับราคาล่าง ในทางกลับกัน อสังหาริมทรัพย์ระดับบนสุดในตลาดภูเก็ตปัจจุบันเป็นวิลล่าหรูริมชายหาดบริเวณกมลา ซึ่งมีราคาสูงสุดถึงประมาณ 262 ล้านบาทต่อหลัง แม้ไม่ใช่ทาวน์เฮ้าส์โดยตรงแต่สะท้อนให้เห็นเพดานราคาที่สูงมากของอสังหาฯ ในจังหวัดนี้ ความแตกต่างระหว่างสินค้าราคาต่ำสุดและสูงสุดนี้ชี้ให้เห็นว่าภูเก็ตมีความหลากหลายของอสังหาริมทรัพย์อย่างยิ่ง สามารถรองรับความต้องการของทั้งผู้ซื้อที่มีงบประมาณจำกัดและผู้ซื้อระดับอัลตร้าลักชัวรีได้ในแห่งเดียว

ตัวเลขราคาขายเฉลี่ยดังกล่าวจัดเป็นระดับที่ผู้มีรายได้ปานกลางสามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าเมื่อเทียบกับบ้านเดี่ยว (ที่มีราคาเฉลี่ยราว 5.7 ล้านบาทต่อหน่วย) ความนิยมในทาวน์เฮ้าส์ส่วนหนึ่งเกิดจากความคุ้มค่าที่ได้รับ เนื่องจากผู้ซื้อจะได้บ้านที่มีพื้นที่ใช้สอยและความเป็นส่วนตัวมากกว่าคอนโดมิเนียม ในขณะที่ยังรักษาระดับราคาให้เอื้อมถึงได้ ทาวน์เฮ้าส์หลายโครงการในภูเก็ตออกแบบมาเพื่อรองรับครอบครัวขนาดเล็กหรือคู่สามีภรรยาที่เริ่มต้นสร้างครอบครัว รวมถึงพนักงานบริษัทและผู้ประกอบอาชีพในพื้นที่ที่ต้องการซื้อบ้านหลังแรกของตนเอง ดังนั้นตลาดทาวน์เฮ้าส์จึงเป็นเสมือน “ตลาดคนพื้นถิ่น” ที่เติบโตไปพร้อมกับการขยายตัวของเมืองและชุมชนท้องถิ่น

วิเคราะห์ทำเลศักยภาพและพื้นที่สำคัญในภูเก็ต

จังหวัดภูเก็ตแบ่งออกเป็น 3 เขตอำเภอหลัก ได้แก่ อำเภอเมืองภูเก็ต (พื้นที่ตัวเมืองและตอนใต้ของเกาะ), อำเภอกะทู้ (พื้นที่ตอนกลางค่อนไปทางตะวันตก รวมบริเวณป่าตองและกมลา) และ อำเภอถลาง (พื้นที่ตอนเหนือของเกาะ รวมถึงบริเวณใกล้สนามบินและชายฝั่งตะวันตกตอนบน) แต่ละพื้นที่มีลักษณะทางภูมิศาสตร์และรูปแบบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่แตกต่างกันไป ในส่วนนี้เราจะวิเคราะห์ทำเลสำคัญที่น่าสนใจสำหรับการขายและพัฒนาทาวน์เฮ้าส์ในภูเก็ต โดยเน้นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงและความต้องการของผู้ซื้อสูงเป็นพิเศษ

อำเภอเมืองภูเก็ต (ตัวเมืองและพื้นที่ตอนใต้)

เขตเมืองภูเก็ตถือเป็นศูนย์กลางราชการและเศรษฐกิจดั้งเดิมของจังหวัด ประกอบด้วยย่านการค้าธุรกิจในตัวเมือง (เทศบาลนครภูเก็ต) และพื้นที่ชานเมืองตอนใต้ เช่น วิชิต ฉลอง ราไวย์ และเกาะแก้ว ทำเลนี้มีจุดเด่นเรื่องความสะดวกสบายในการดำรงชีวิต เพราะอยู่ใกล้สถานที่ทำงาน โรงเรียน โรงพยาบาล และศูนย์การค้าขนาดใหญ่ (เช่น เซ็นทรัลภูเก็ต) ทำให้ ความต้องการที่อยู่อาศัยในเขตเมือง ยังคงสูงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าที่ดินจะเริ่มหายากและมีราคาแพงขึ้นก็ตาม สำหรับตลาดทาวน์เฮ้าส์ในอำเภอเมือง ส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดกลาง-เล็กที่พัฒนาขึ้นในพื้นที่ชุมชนเดิมหรือบนที่ดินแปลงไม่ใหญ่ เน้นจับกลุ่มครอบครัวคนท้องถิ่นและข้าราชการ/พนักงานบริษัทที่ต้องการอยู่อาศัยใกล้เมือง ผลสำรวจชี้ว่าอำเภอเมืองมีจำนวนโครงการที่อยู่อาศัยรวมประมาณ 190 โครงการ (เป็นอันดับสองรองจากถลาง) รวมจำนวนหน่วยขายราว 28,000 หน่วย ซึ่งขายไปแล้วมากถึง 26,000 หน่วย คงเหลือขายเพียงประมาณ 1,200 หน่วยเท่านั้น ณ ต้นปี 2567 แสดงถึงอัตราการขายที่สูงมาก (สต็อกเหลือขายเพียง ~4% ของจำนวนหน่วยทั้งหมด) ดังนั้นผู้ซื้อที่ต้องการหาทาวน์เฮ้าส์ในโซนเมืองอาจต้องเผชิญการแข่งขันและตัวเลือกที่จำกัด

ทำเลที่น่าสนใจภายในเขตเมืองภูเก็ต ได้แก่ ย่านวิชิตและฉลอง ซึ่งอยู่ทางใต้ของตัวเมือง ย่านนี้มีการเติบโตของชุมชนที่อยู่อาศัยอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มีโครงการบ้านจัดสรรและทาวน์เฮ้าส์เกิดขึ้นหลายแห่งเพื่อตอบรับความต้องการของคนพื้นที่ ตัวอย่างหนึ่งคือโครงการ “ภูเก็ตวิลล่าสวนหลวง” ในแขวงวิชิต ซึ่งเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ในสภาพแวดล้อมที่มีสวนสาธารณะและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ราคาเสนอขายทาวน์เฮ้าส์มือสองในบริเวณนี้อยู่ที่ประมาณ 3.0-3.5 ล้านบาทต่อยูนิต ซึ่งถือว่าเป็นระดับราคาที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับทำเลที่อยู่ใกล้ตัวเมือง นอกจากนี้บริเวณ เกาะแก้วและรัษฎา ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเทศบาลเมือง ก็เป็นอีกโซนหนึ่งที่กำลังเติบโต โดยมีหมู่บ้านจัดสรรใหม่ ๆ เกิดขึ้น เนื่องจากใกล้กับโรงเรียนนานาชาติ (เช่น British International School) และท่าเรือมารีน่าต่าง ๆ ที่ดึงดูดชาวต่างชาติที่พำนักในภูเก็ต ส่งผลให้ทาวน์โฮมหรือบ้านแฝดในย่านเกาะแก้ว-รัษฎามีความต้องการเช่าสูง เหมาะแก่การลงทุนซื้อปล่อยเช่าให้กลุ่มครอบครัวชาวต่างชาติ

พื้นที่ตำบลเกาะแก้วนี้เป็นที่ตั้งของโครงการที่อยู่อาศัยแบบผสมผสานกับท่าจอดเรือยอชท์ชื่อดัง อย่างเช่น Boat Lagoon และ Royal Phuket Marina ซึ่งภายในประกอบด้วยบ้านพักอาศัยประเภทวิลล่าและทาวน์เฮ้าส์ควบคู่ไปกับร้านค้าและท่าจอดเรือ ดึงดูดชาวต่างชาติผู้รักการล่องเรือและต้องการที่พักอาศัยพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทำให้ทาวน์โฮมหรือคอนโดในบริเวณนี้ได้รับความนิยมในกลุ่มชาวต่างชาติผู้พำนักในภูเก็ตเป็นพิเศษ

สำหรับพื้นที่ท่องเที่ยวชายหาดฝั่งตะวันตกตอนใต้ เช่น หาดกะตะ-กะรน (ซึ่งอยู่ในอำเภอเมือง) แม้จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ แต่โครงการที่อยู่อาศัยแนวราบใหม่ ๆ มีค่อนข้างจำกัด เนื่องจากพื้นที่ชายฝั่งส่วนใหญ่พัฒนาเป็นโรงแรม รีสอร์ต หรือวิลล่าหรูมากกว่า หากมีโครงการทาวน์เฮ้าส์เกิดขึ้น มักเป็นโครงการขนาดเล็กที่อยู่ห่างจากแนวชายหาดเข้ามาและเน้นขายให้กลุ่มลูกค้าท้องถิ่นหรือผู้ที่ทำงานในธุรกิจท่องเที่ยวแถบนั้น อย่างไรก็ดี ที่ดินในทำเลกะตะ-กะรนมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นมาก (ข้อมูลระบุว่าที่ดินบริเวณหาดกะรนเป็นหนึ่งในทำเลที่ราคาขยับสูงช้าที่สุดในช่วง 20 ปี แต่ก็ยังมีมูลค่าสูงถึงราว 80 ล้านบาทต่อไร่ ณ ปี 2567) การครอบครองที่ดินในย่านนี้จึงเป็นการลงทุนระยะยาวที่มีโอกาสเห็น capital gain หากพื้นที่ได้รับการพัฒนายกระดับต่อไปในอนาคต

อำเภอกะทู้ (ป่าตอง-กมลา และพื้นที่ตอนกลางของเกาะ)

อำเภอกะทู้เป็นเขตที่มีขนาดเล็กที่สุดในภูเก็ต แต่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจอย่างยิ่ง เพราะรวมเอาแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกอย่าง หาดป่าตอง และพื้นที่ชายฝั่งที่กำลังเติบโตอย่าง กมลา เข้าไว้ด้วยกัน พื้นที่ส่วนกลางของอำเภอกะทู้ (บริเวณเทศบาลตำบลกะทู้) ยังเป็นทำเลที่ตั้งของมหาวิทยาลัยและสนามกอล์ฟ ส่งผลให้มีชุมชนคนท้องถิ่นอาศัยอยู่หนาแน่นพอสมควร

ลักษณะการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในกะทู้มีสองส่วนหลักคือ ส่วนที่เป็น ย่านท่องเที่ยวชายฝั่ง (ป่าตอง-กมลา) ซึ่งมักพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมหรู โรงแรม และวิลล่าสำหรับต่างชาติ และส่วนที่เป็น ย่านอยู่อาศัยของคนท้องถิ่นในพื้นที่ตอนใน (บริเวณกะทู้ตัวเมืองและพื้นที่ติดเขตเทศบาลเมืองภูเก็ต) ซึ่งมีโครงการบ้านจัดสรร ทาวน์เฮ้าส์ และอาคารพาณิชย์รองรับประชากรท้องถิ่นและผู้ที่ทำงานในภูเก็ต ปัจจุบันอำเภอกะทู้มีโครงการที่อยู่อาศัยรวมประมาณ 70 โครงการ (น้อยที่สุดในสามอำเภอ) รวมจำนวนหน่วยขายประมาณ 12,000 หน่วย และยังเหลือขายอยู่เพียง 700 หน่วยเท่านั้น ซึ่งนับว่าสต็อกคงเหลือน้อยมาก (ประมาณ 5.8%) สะท้อนว่าหน่วยที่อยู่อาศัยในย่านนี้ถูกดูดซับไปเกือบหมดแล้ว ความต้องการซื้อในเขตกะทู้สูงพอสมควรแม้จะมีซัพพลายใหม่เข้ามาค่อนข้างจำกัด

พื้นที่ป่าตอง: เนื่องจากที่ดินในป่าตองมีราคาสูงที่สุดในภูเก็ต (สูงถึง ~350 ล้านบาทต่อไร่ หรือประมาณ 875,000 บาทต่อตารางวา ตามการประเมินราคาตลาดปี 2567) การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบประเภททาวน์เฮ้าส์ในป่าตองจึงแทบไม่เกิดขึ้นเลย ส่วนใหญ่พื้นที่ถูกใช้สำหรับธุรกิจการท่องเที่ยวและโครงการคอนโดมิเนียมสำหรับนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตาม ย่านป่าตองยังคงมีที่อยู่อาศัยแนวราบดั้งเดิม (เช่น ตึกแถวหรือบ้านพักคนท้องถิ่น) ที่มีอยู่แต่เดิมและมีการซื้อขายเปลี่ยนมือในตลาดมือสองอยู่เรื่อย ๆ สำหรับนักลงทุนไทยที่ถือครองตึกแถวหรือทาวน์โฮมในป่าตอง ถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีศักยภาพสูง เนื่องจากสามารถปรับปรุงเพื่อประกอบธุรกิจเกสต์เฮ้าส์ ร้านค้า หรือปล่อยเช่าระยะยาวให้กับชาวต่างชาติที่มาอาศัยอยู่เป็นช่วงเวลานาน ๆ ได้ โดยค่าเช่าพื้นที่ในป่าตองอยู่ในระดับสูงตามศักยภาพการท่องเที่ยว

พื้นที่กมลา: ตั้งอยู่ทางเหนือของป่าตอง พื้นที่กมลามีธรรมชาติที่สวยงามและเงียบสงบกว่า ทำให้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้รับความสนใจจากนักพัฒนาโครงการระดับลักชัวรีหลายราย มีโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่และวิลล่าหรูมูลค่าสูงเกิดขึ้น เช่น โครงการ “MontAzure” ที่พัฒนาวิลล่าหรูและเรสซิเดนซ์ระดับไฮเอนด์ริมชายหาดกมลา (มีบ้านตัวอย่างราคาสูงสุดถึง ~262 ล้านบาท) การเข้ามาของโครงการระดับนี้ส่งผลให้ภาพลักษณ์ของกมลาเป็นย่านที่พักอาศัยระดับหรูสำหรับชาวต่างชาติที่กำลังมาแรง ราคาที่ดินในกมลาขยับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว (ติดอันดับรองจากบางเทา) อย่างไรก็ดี สำหรับตลาดทาวน์เฮ้าส์และบ้านจัดสรรทั่วไป กมลาอาจไม่ใช่ทำเลหลัก เนื่องจากเน้นการพัฒนาสินค้ากลุ่มหรูมากกว่า หากมีโครงการทาวน์เฮ้าส์ ก็มักจะอยู่บริเวณเชิงเขาหรือพื้นที่รองของกมลา ซึ่งจับกลุ่มคนท้องถิ่นหรือผู้ที่ทำงานในโครงการท่องเที่ยวเหล่านั้น

พื้นที่กะทู้ตอนใน: บริเวณรอบ ๆ สวนหลวง (Loch Palm Golf Club) และชุมชนกะทู้ดั้งเดิม เป็นอีกโซนหนึ่งที่มีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับคนพื้นที่ เนื่องจากอยู่กลางเกาะ เดินทางเข้าเมืองก็สะดวก และจะออกไปป่าตองก็ใกล้เช่นกัน ในช่วงที่ผ่านมามีโครงการทาวน์โฮมระดับกลางผุดขึ้น เช่น โครงการที่พัฒนาโดยบริษัทท้องถิ่น รวมถึงบางส่วนจากดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ของประเทศ (ตัวอย่างเช่น บริษัทพร็อพเพอร์ตี้เพอร์เฟคเคยพิจารณาลงทุน แต่ล่าสุดให้ข้อมูลว่าอาจชะลอเพราะการแข่งขันสูง) ราคาทาวน์เฮ้าส์ในย่านกะทู้ตัวเมืองอยู่ในช่วงประมาณ 2-4 ล้านบาท ซึ่งยังต่ำกว่าฝั่งตัวเมืองภูเก็ตเล็กน้อย จูงใจให้กลุ่มครอบครัวคนทำงานที่รับราชการหรือทำงานในภาคบริการเลือกซื้อในย่านนี้ ในแง่การลงทุน บ้านทาวน์เฮ้าส์ในกะทู้สามารถปล่อยเช่าให้กลุ่มพนักงานบริษัทหรือนักศึกษา (ในกรณีอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต) ได้เช่นกัน แม้อัตราค่าเช่าจะไม่สูงเทียบเท่าย่านท่องเที่ยว แต่ก็ถือว่าเป็นรายได้ที่สม่ำเสมอในตลาดเช่าระยะยาว

อำเภอถลาง (พื้นที่ตอนเหนือและศูนย์กลางการลงทุนใหม่)

อำเภอถลางครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางทางตอนเหนือของเกาะภูเก็ต เป็นเขตที่ในปัจจุบันมีการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากที่สุด ทั้งโครงการเพื่อการท่องเที่ยวและที่อยู่อาศัยสำหรับคนท้องถิ่น จุดเด่นของทำเลถลางคือมีที่ดินผืนใหญ่เหลืออยู่มากเมื่อเทียบกับสองอำเภอด้านใต้ อีกทั้งยังได้อานิสงส์จากการที่ สนามบินนานาชาติภูเก็ต ตั้งอยู่ในเขตนี้ ทำให้โครงสร้างพื้นฐานรองรับการเดินทางครบครัน ถนนสายหลักหลายสายตัดผ่านถลาง และในอนาคตยังมีโครงการระบบขนส่งมวลชน (LRT/รถไฟฟ้ารางเบา) ที่วางแผนวิ่งจากสนามบินผ่านเข้าตัวเมือง ซึ่งถ้าแล้วเสร็จจะยิ่งเพิ่มศักยภาพให้พื้นที่นี้ (แม้ว่าตามแผนล่าสุด การก่อสร้างรถไฟฟ้าภูเก็ตจะเริ่มประมาณปี 2571 ก็ตาม ปัจจุบันหน่วยงานท้องถิ่นเริ่มมีการนำร่องรถบัสพลังงานไฟฟ้ามาวิ่งแทนรถโดยสารเดิมบนเส้นทางหลักเพื่อรองรับผู้โดยสารในระยะสั้น)

ในช่วงปี 2565-2567 ที่ผ่านมา อำเภอถลางถูกใช้เป็นที่ตั้งโครงการเปิดตัวใหม่เกือบทั้งหมดของภูเก็ต โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมตากอากาศและพูลวิลล่าหรู ผลสำรวจไตรมาสแรกปี 2567 พบว่าการเปิดตัวใหม่ในภูเก็ต 83% ของมูลค่าโครงการรวมอยู่ในเขตถลาง ทั้งนี้เพราะนักลงทุนรายใหญ่เลือกพื้นที่บริเวณชายฝั่งตะวันตกตอนบนของถลาง เช่น หาดบางเทา-เชิงทะเล เป็นทำเลพัฒนาโครงการระดับไฮเอนด์ ไม่ว่าจะเป็นคอนโดติดทะเล มิกซ์ยูส หรือพูลวิลล่าหรู ตัวอย่างเช่น โครงการ “ศรีพันวา ลากูน” ในย่านเชิงทะเล (ซึ่งพัฒนาโดยชาญอิสสระ มูลค่าโครงการกว่า 8,000 ล้านบาท) รวมถึงการที่บริษัทอสังหาฯ ชั้นนำหลายราย เช่น ไรมอน แลนด์, อนันดา และกลุ่มทุนใหม่ ๆ แห่เข้ามาปักหมุดลงทุนโครงการมูลค่ารวมหลายแสนล้านบาทในพื้นที่ถลาง ส่งผลให้ถลางกลายเป็นศูนย์กลางการพัฒนาอสังหาฯ ยุคใหม่ของภูเก็ตที่น่าจับตามองที่สุด

พื้นที่บางเทา-เชิงทะเล: ทำเลนี้อยู่ในเขตตำบลเชิงทะเล (ถลาง) โดดเด่นขึ้นมาในฐานะ “ย่านที่อยู่อาศัยและไลฟ์สไตล์หรู” ด้วยเพราะมี Laguna Phuket (โครงการมาสเตอร์แพลนขนาดใหญ่ที่รวมรีสอร์ต โรงแรม และที่อยู่อาศัย) เป็นจุดศูนย์กลาง พื้นที่รอบ ๆ ทะเลสาบลากูน่าและหาดบางเทามีทั้งคอนโดมิเนียมหรู วิลล่า และทาวน์เฮ้าส์ในบรรยากาศรีสอร์ต โครงการ ลากูน่า พาร์ค เป็นตัวอย่างของการพัฒนาทาวน์เฮ้าส์และบ้านแฝดภายในพื้นที่รีสอร์ต ซึ่งเปิดขายให้ทั้งคนไทย (ถือกรรมสิทธิ์โดยตรง) และชาวต่างชาติ (ผ่านรูปแบบ leasehold) ในช่วงที่ผ่านมา ราคาขายทาวน์เฮ้าส์ในย่านบางเทาปรับตัวสูงขึ้นตามดีมานด์และราคาที่ดิน (ซึ่งเพิ่มขึ้นถึงกว่า 10 เท่าในรอบ 20 ปี สูงเป็นอันดับสองรองจากราไวย์) ปัจจุบันทาวน์เฮ้าส์ใหม่ในย่านนี้อาจมีราคาตั้งแต่ 5-7 ล้านบาทขึ้นไป โดยเน้นคุณภาพการก่อสร้างและการออกแบบที่มีความเป็นสากลเพื่อรองรับผู้ซื้อจากกรุงเทพฯ และต่างชาติที่มองหาบ้านพักตากอากาศที่สามารถมาพำนักระยะยาวได้

พื้นที่ในเขตเทศบาลถลาง (เทพกระษัตรี): นอกจากแนวชายฝั่ง ท้องที่ที่เป็นศูนย์กลางเดิมของอำเภออย่างบริเวณตำบลเทพกระษัตรี และสาคู (ใกล้สนามบิน) ก็มีโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบเกิดขึ้นจำนวนมากเช่นกัน กลุ่มลูกค้าเป็นคนไทยในพื้นที่และผู้ที่ย้ายมาทำงานในภูเก็ตที่ต้องการที่พักอาศัยถาวร เนื่องจากราคาที่ดินในโซนนี้ยังย่อมเยากว่าฝั่งชายหาด การพัฒนาทาวน์เฮ้าส์ราคาปานกลางจึงเป็นไปได้ และได้รับความนิยม โครงการตัวอย่างเช่น “เดอะ มูฟ ภูเก็ต” (The Move Phuket) ในทำเลเทพกระษัตรี ซึ่งเสนอขายทาวน์โฮมสองชั้นใหม่ในราคาเริ่มต้นประมาณ 2-3 ล้านบาท การตอบรับของตลาดค่อนข้างดี โครงการแรกมียอดขายเต็มอย่างรวดเร็วและมีการเปิดโครงการระยะที่สองตามมา ข้อได้เปรียบของทำเลนี้คืออยู่ใกล้จุดขึ้น-ลงถนนสายหลัก สามารถเดินทางไปยังสถานที่ทำงานในตัวเมืองหรือไปยังพังงา/สุราษฎร์ได้ง่าย อีกทั้งยังใกล้กับสนามบิน จึงเหมาะกับพนักงานสนามบินหรือผู้ที่ต้องเดินทางบ่อย ๆ

ทำเลศักยภาพอื่น ๆ: ในเขตถลางยังมีพื้นที่ฝั่งตะวันออก เช่น ตำบลป่าคลอก และตำบลบ้านพอน ที่เริ่มได้รับความสนใจในการพัฒนาโครงการจัดสรรที่อยู่อาศัย เพราะราคาที่ดินยังไม่สูงเกินไปเมื่อเทียบกับฝั่งตะวันตก นอกจากนี้ในระยะยาว หากรัฐบาลมีการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษหรือโครงการโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ๆ เช่น ท่าเรือยอร์ชเพิ่มเติม หรือถนนตัดใหม่บางสาย (เช่น โครงการมอเตอร์เวย์เชื่อมฝั่งอันดามัน) ก็อาจส่งผลบวกต่อพื้นที่แนวตะวันออกของภูเก็ต ทำให้เกิดทำเลชุมชนใหม่ ๆ ได้

โดยสรุป แต่ละอำเภอของภูเก็ตมีบทบาทแตกต่างกันในการขับเคลื่อนตลาดทาวน์เฮ้าส์: โซนเมืองใต้มีดีมานด์เข้มข้นจากคนท้องถิ่นแต่ที่ดินจำกัด โซนกะทู้มีตลาดเฉพาะกลุ่มควบคู่กับศักยภาพด้านท่องเที่ยว ส่วนโซนถลางเป็นพื้นที่แห่งอนาคตที่โครงการใหม่หลั่งไหลเข้าไปลงทุน ทั้งนี้ผู้สนใจซื้อหรือลงทุนทาวน์เฮ้าส์ควรพิจารณาปัจจัยเฉพาะของแต่ละทำเล เช่น ความหนาแน่นของชุมชน สิ่งอำนวยความสะดวกโดยรอบ ระดับราคาที่ดิน และแผนพัฒนาพื้นที่ในอนาคตประกอบการตัดสินใจ

แนวโน้มราคาและความต้องการของผู้ซื้อ

แนวโน้มราคา: ราคาบ้านทาวน์เฮ้าส์ในภูเก็ตมีทิศทางปรับตัวสูงขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามต้นทุนที่ดินและค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นในช่วงหลังการระบาดของโควิด-19 แม้จะไม่ได้ปรับขึ้นฮวบฮาบแบบสินค้าคอนโดมิเนียมตากอากาศหรือวิลล่าหรู แต่ผู้ประกอบการก็เผชิญแรงกดดันด้านต้นทุนเช่นกัน ทำให้โครงการทาวน์เฮ้าส์เปิดใหม่มักปรับราคาเสนอขายสูงกว่าโครงการที่เปิดก่อนหน้าเล็กน้อย ส่งผลให้ช่วงราคาหลักของทาวน์เฮ้าส์ในตลาดปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 2-5 ล้านบาทต่อยูนิต (ช่วงราคาที่พบมากที่สุดคือ 2-3 ล้านบาท รองลงมาคือ 3-5 ล้านบาท) มีบางโครงการที่พัฒนาทาวน์โฮมหรูขนาดใหญ่ขึ้น ราคาอาจแตะระดับ 5-7 ล้านบาท แต่จัดว่าเป็นส่วนน้อย สินค้าระดับนี้มักอยู่ในทำเลพรีเมียมจริง ๆ ใกล้ทะเลหรืออยู่ในโครงการจัดสรรที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกพิเศษ เช่น คลับเฮาส์ สระว่ายน้ำ เป็นต้น

ในตลาดมือสองของทาวน์เฮ้าส์ภูเก็ต พบว่าราคาขายต่อก็ขยับขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะในทำเลที่อุปสงค์สูงและไม่มีโครงการใหม่เข้ามาทดแทน เช่น ทาวน์เฮ้าส์ในเขตตัวเมืองภูเก็ตที่ใกล้แหล่งงานหรือใกล้สถานศึกษาชื่อดัง สามารถปรับราคาขายสูงขึ้นจากที่ซื้อมา 3-5 ปีก่อนหน้าประมาณ 10-20% ได้ไม่ยาก สะท้อนถึงการเติบโตของมูลค่าสินทรัพย์ตามการพัฒนาเมือง

ความต้องการของผู้ซื้อ (Demand): ผู้ซื้อทาวน์เฮ้าส์ในภูเก็ตสามารถแบ่งได้เป็นสองกลุ่มหลัก ๆ คือ กลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง และ กลุ่มนักลงทุนเพื่อปล่อยเช่าหรือขายต่อ ซึ่งแต่ละกลุ่มก็มีความต้องการและพฤติกรรมที่แตกต่างกัน

นอกจากนี้ ควรสังเกตว่าฐานประชากรในภูเก็ตไม่ได้จำกัดเฉพาะคนท้องถิ่นดั้งเดิมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคนไทยจากภูมิภาคอื่นที่ย้ายมาทำงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการบนเกาะแห่งนี้ เมื่อบุคคลเหล่านี้ตั้งรกรากและวางแผนจะอยู่อาศัยในภูเก็ตระยะยาว ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองก็จะเกิดขึ้น ทาวน์เฮ้าส์จึงกลายเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับหลายครอบครัวที่เริ่มต้นชีวิตในภูเก็ตเพราะราคาจับต้องได้และมีพื้นที่ใช้สอยเพียงพอสำหรับครอบครัวเล็กๆ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มผู้ซื้อคนไทยที่มีกำลังซื้อสูงซึ่งเลือกซื้ออสังหาฯ ในภูเก็ตเป็นบ้านพักตากอากาศหรือบ้านหลังที่สองสำหรับใช้ในวันหยุด บรรยากาศที่สวยงามและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันของภูเก็ตทำให้หลายครอบครัวมองว่าการมีบ้านพักในภูเก็ตเป็นการลงทุนด้านคุณภาพชีวิตที่คุ้มค่า

  • ผู้ซื้ออยู่อาศัยเองชาวไทย: ความต้องการมักเน้นที่ทำเลซึ่งใกล้สถานที่ทำงานหรือภูมิลำเนาของตนเอง พวกเขามองหาบ้านที่มีราคาสมเหตุสมผล ผ่อนไหวเมื่อเทียบกับรายได้ โดยทั่วไปแล้วครอบครัวในภูเก็ตที่มีรายได้ระดับกลาง (เช่น พนักงานโรงแรม ผู้รับราชการระดับกลาง ผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัวรายย่อย) จะตั้งงบประมาณซื้อบ้านไว้ในช่วง 2-4 ล้านบาท ซึ่งตรงกับช่วงราคาทาวน์เฮ้าส์พอดี ทำให้ทาวน์เฮ้าส์เป็นตัวเลือกยอดนิยมของกลุ่มนี้ ปัจจัยรองที่พิจารณาคือ จำนวนห้องนอน (ต้องเพียงพอกับสมาชิกครอบครัว), ที่จอดรถ, ความปลอดภัยของโครงการ และสภาพแวดล้อมชุมชน (เช่น มีตลาด ร้านสะดวกซื้อ โรงเรียน ใกล้เคียงหรือไม่) ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยปรับตัวสูงขึ้นในปี 2566-2567 ผู้ซื้อบางส่วนอาจระมัดระวังการก่อหนี้ระยะยาวมากขึ้น แต่ธนาคารหลายแห่งก็มีมาตรการผ่อนปรน เช่น การขยายระยะเวลาผ่อน หรือแคมเปญดอกเบี้ยต่ำช่วงแรก เพื่อช่วยให้คนซื้อบ้านง่ายขึ้น ประกอบกับในภูเก็ตเอง เศรษฐกิจที่ฟื้นกลับมาทำให้รายได้ของครัวเรือนปรับตัวดีขึ้น ช่วยสร้างความมั่นใจในการตัดสินใจซื้อได้ระดับหนึ่ง

    • ตัวอย่างโครงการ: ผู้พัฒนาท้องถิ่นรายหนึ่งเคยเปิดขายทาวน์เฮ้าส์กว่า 200 ยูนิตในอำเภอถลาง ด้วยราคาเฉลี่ยประมาณ 3 ล้านบาท/ยูนิต ปรากฏว่าสามารถขายหมดทุกยูนิตในเวลาไม่นาน เมื่อเปิดโครงการระยะที่สองในบริเวณเดียวกันโดยตั้งราคาเริ่มต้นราว 2 ล้านกว่าบาท/ยูนิต โครงการดังกล่าวก็ใกล้ปิดการขายเต็มทั้งหมดเช่นกัน เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่าบ้านระดับราคา 2-3 ล้านบาทในภูเก็ตยังคงเป็นที่ต้องการสูงมาก และการสนับสนุนด้านสินเชื่อที่ดี (เช่น การตรวจสอบวงเงินกู้เบื้องต้นให้ลูกค้าก่อน) มีส่วนช่วยให้การขายเป็นไปอย่างราบรื่นอีกด้วย

  • นักลงทุนอสังหาริมทรัพย์: กลุ่มนี้มองหาทาวน์เฮ้าส์เพื่อลงทุนในหลากหลายแนวทาง ทั้งการปล่อยเช่าระยะยาวให้คนทำงานในพื้นที่ (ซึ่งมีดีมานด์ต่อเนื่องตลอดปี), การปล่อยเช่าระยะสั้นแบบบ้านพักตากอากาศ (พบได้ในบางทำเลที่นักท่องเที่ยวต่างชาติชอบ เช่น ใกล้หาดหรือใกล้ย่านชุมชนชาวต่างชาติ), หรือการถือครองไว้เพื่อเก็งกำไรขายต่อเมื่อราคาขึ้น เปรียบเทียบกับคอนโดมิเนียมแล้ว การลงทุนในทาวน์เฮ้าส์มีข้อดีคือเป็นสินทรัพย์ประเภทที่ดิน (กรรมสิทธิ์รวมที่ดิน) ซึ่งในระยะยาวมักมีมูลค่าเพิ่มตามที่ดิน ขณะที่คอนโดเป็นสิทธิในอากาศ ตัวอาคารมีโอกาสเสื่อมราคาเร็วกว่า อย่างไรก็ดี การลงทุนในทาวน์เฮ้าส์ภูเก็ตก็ต้องเลือกทำเลอย่างพิถีพิถัน นักลงทุนมักเล็งพื้นที่ที่มีผู้เช่าอยู่อาศัยแน่นอน เช่น ใกล้นิคมเศรษฐกิจการท่องเที่ยว (โรงแรม รีสอร์ตใหญ่ ๆ), ใกล้มหาวิทยาลัย, หรือในเขตชุมชนเมืองที่คนท้องถิ่นต้องการเช่าอยู่ นอกจากนี้ ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาพบแนวโน้มที่นักลงทุนต่างชาติ (เช่น จากฮ่องกง สิงคโปร์) เริ่มสนใจเข้ามาลงทุนซื้ออสังหาฯ ในไทยผ่านตัวแทน ซึ่งภูเก็ตเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลัก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากข้อจำกัดด้านกฎหมาย คนต่างชาติไม่สามารถซื้อทาวน์เฮ้าส์ได้ในนามตัวเอง (เพราะมีที่ดิน) ทำให้การซื้อขายทาวน์เฮ้าส์ส่วนมากยังอยู่ในมือคนไทยเป็นหลัก

นอกจากนี้ชาวต่างชาติกลุ่มผู้เกษียณที่เลือกมาพำนักระยะยาวในภูเก็ตก็ถือเป็นกลุ่มผู้เช่าสำคัญของบ้านแนวราบ เนื่องจากพวกเขามักต้องการความเงียบสงบและพื้นที่ใช้สอยที่ใหญ่กว่าคอนโด การมีบ้านเป็นหลังให้เช่าพร้อมสวนหรือพื้นที่พักผ่อนจึงตอบโจทย์ชาวต่างชาติกลุ่มนี้ ซึ่งโดยมากเลือกเช่าระยะยาวตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป

ปัจจัยกระตุ้นดีมานด์: ปัจจัยที่ทำให้ผู้คนสนใจซื้อบ้านในภูเก็ตเพิ่มขึ้น ได้แก่ การพัฒนาสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ ๆ เช่น การเปิดศูนย์การค้า โรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาลเอกชนระดับพรีเมียม ซึ่งยกระดับคุณภาพชีวิตในพื้นที่และดึงดูดให้คนอยากย้ายมาตั้งถิ่นฐาน นอกจากนี้ การที่ภูเก็ตได้รับความสนใจในฐานะ “เมืองท่องเที่ยวระดับโลก” ยังสร้างภาพลักษณ์ด้านบวก ทำให้ผู้ที่มีกำลังซื้อรู้สึกมั่นใจว่าการซื้ออสังหาฯ ในภูเก็ตเป็นการลงทุนที่มีอนาคต ยิ่งไปกว่านั้น นโยบายของภาครัฐบางประการ เช่น โครงการวีซ่าพำนักระยะยาว (LTR visa) สำหรับชาวต่างชาติที่มาลงทุนหรือผู้เชี่ยวชาญ ก็อาจส่งผลทางอ้อมให้มีชาวต่างชาติฐานะดีเข้ามาพำนักในภูเก็ตมากขึ้น ซึ่งกลุ่มนี้บางส่วนอาจเลือกเช่าบ้านอยู่แทนการอยู่โรงแรมระยะยาว เปิดโอกาสให้ตลาดเช่าบ้านเติบโตและเอื้อต่อนักลงทุนที่ปล่อยเช่า

โอกาสและมุมมองการลงทุนในทาวน์เฮ้าส์ภูเก็ต

ผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า: การลงทุนซื้อทาวน์เฮ้าส์เพื่อนำมาปล่อยเช่าสามารถสร้างกระแสรายได้สม่ำเสมอให้แก่นักลงทุน โดยในภูเก็ตนั้นตลาดเช่าหลักจะมาจากคนทำงานในพื้นที่และชาวต่างชาติที่พำนักระยะกลาง-ยาว (เช่น อยู่เป็นปี) บ้านทาวน์เฮ้าส์ที่อยู่ในทำเลเมืองหรือใกล้แหล่งงานอย่างนิคมท่องเที่ยว ท่าเรือ หรือโรงแรมรีสอร์ตใหญ่ ๆ มักมีผู้เช่าตลอด ค่าเช่าทาวน์เฮ้าส์ขนาด 2-3 ห้องนอนในภูเก็ตเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 15,000-25,000 บาทต่อเดือน (ขึ้นกับทำเลและการตกแต่ง) หากคำนวณเป็นผลตอบแทนค่าเช่าก็อาจอยู่ราว 4-6% ต่อปีเมื่อเทียบกับมูลค่าบ้าน ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ยิ่งหากนักลงทุนซื้อด้วยเงินสดโดยไม่ต้องผ่อนสินเชื่อ ยีลด์สุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จะยิ่งสูงขึ้น นอกจากนี้ ในทำเลท่องเที่ยวบางแห่ง (เช่น ราไวย์ ฉลอง) นักลงทุนสามารถปรับโมเดลเป็นการปล่อยเช่าระยะสั้นให้กับนักท่องเที่ยวหรือกลุ่ม digital nomad (ชาวต่างชาติที่มาทำงานออนไลน์จากภูเก็ต) โดยอาจทำในรูปแบบบ้านพัก Airbnb หรือโฮมสเตย์ ซึ่งมีโอกาสสร้างรายได้ต่อคืนค่อนข้างดีในช่วงฤดูท่องเที่ยว แต่รูปแบบนี้ก็มีความท้าทายเรื่องการบริหารจัดการและการแข่งขันกับโรงแรม

โอกาสในการปรับมูลค่า (Capital Gain): จากสถิติราคาที่ดินที่ปรับตัวขึ้นอย่างมากในรอบ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา บ่งบอกว่าการถือครองอสังหาฯ ในภูเก็ตระยะยาวมีแนวโน้มได้กำไรจากส่วนต่างราคา การเลือกซื้อทาวน์เฮ้าส์ในทำเลที่กำลังพัฒนา เช่น บริเวณรอบนอกใกล้โครงการขนาดใหญ่ (ตัวอย่างเช่น ซื้อบ้านในถลางใกล้โครงการมิกซ์ยูสหรือใกล้ลากูน่า) อาจทำให้ราคาบ้านเพิ่มขึ้นเร็วกว่าค่าเฉลี่ยเมื่อพื้นที่โดยรอบพัฒนาเต็มที่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น หากโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ๆ เช่น รถไฟฟ้ารางเบา หรือถนนเส้นใหม่ เกิดขึ้นจริง จะเป็นตัวเร่งให้มูลค่าทรัพย์สินเพิ่มสูงขึ้นอีก ยกตัวอย่างง่าย ๆ เมื่อหลายปีก่อนบ้านจัดสรรแถวลากูน่าอาจมีราคาไม่ถึง 2 ล้านบาท แต่ปัจจุบันแทบหาไม่ได้แล้วเนื่องจากราคาขยับตามศักยภาพที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นนักลงทุนที่เข้าเร็วในทำเลศักยภาพมีโอกาสได้รับ capital gain ที่ดี

ความเสี่ยงและสิ่งที่ต้องพิจารณา: แม้ภาพรวมจะสดใส แต่การลงทุนในตลาดภูเก็ตก็มีความท้าทายบางประการ ประการแรกคือ ความผันผวนตามฤดูกาลของเศรษฐกิจภูเก็ต ที่ยังพึ่งพาการท่องเที่ยวสูง หากเกิดวิกฤตที่กระทบการท่องเที่ยว (เช่น โรคระบาด การเมืองระหว่างประเทศ) อาจทำให้ดีมานด์ชะลอตัวลงชั่วคราว ดังเช่นที่เห็นในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา ตลาดบ้านในภูเก็ตซบเซาลงและฟื้นตัวอีกครั้งหลังนักท่องเที่ยวกลับมาแล้ว ประการต่อมาคือ การแข่งขันที่สูงขึ้นระหว่างผู้พัฒนา: ขณะนี้ทั้งผู้ประกอบการท้องถิ่นและบริษัทอสังหาฯ รายใหญ่จากส่วนกลางต่างเข้ามาจับจองพื้นที่และเปิดโครงการใหม่ ๆ ในภูเก็ต ซึ่งแม้จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจรวม แต่ก็หมายความว่าผู้ประกอบการรายเล็กอาจต้องปรับตัวด้านการตลาดมากขึ้น โครงการทาวน์เฮ้าส์ที่จะประสบความสำเร็จต้องมีจุดขายชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทำเล คุณภาพวัสดุ หรือรูปแบบการใช้ชีวิต (เช่น เน้นชุมชนที่เงียบสงบ ใกล้ธรรมชาติ หรือมีระบบรักษาความปลอดภัยแน่นหนา) เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าเป้าหมาย สอดคล้องกับข้อมูลที่บางบริษัทใหญ่ลังเลจะเข้ามาลงทุนเพิ่มในภูเก็ตเพราะมองว่าค่าใช้จ่ายที่ดินแพงและตลาดเริ่มมีผู้เล่นจำนวนมาก หากมองในมุมผู้ซื้อ นี่อาจเป็นโอกาสที่ดีเพราะจะมีตัวเลือกโครงการคุณภาพให้เลือกหลากหลายขึ้น พร้อมโปรโมชั่นจูงใจมากขึ้นในอนาคต

ตลาดสินเชื่อและอัตราดอกเบี้ย: อีกประเด็นหนึ่งที่นักลงทุนและผู้ซื้อควรติดตามคือแนวโน้มดอกเบี้ยและนโยบายสินเชื่อของธนาคารแห่งประเทศไทย ในช่วงปี 2566 ที่ผ่านมา ธปท. ได้ปรับมาตรการ Loan-to-Value (LTV) กลับสู่ระดับปกติหลังหมดช่วงกระตุ้น ทำให้ผู้กู้ซื้อบ้านหลังที่สองขึ้นไปอาจได้วงเงินสินเชื่อไม่ถึง 100% ของมูลค่าบ้านเหมือนช่วงมาตรการผ่อนปรน นอกจากนี้ทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นทำให้ภาระผ่อนต่อเดือนสูงขึ้นเล็กน้อย ปัจจัยเหล่านี้อาจทำให้กลุ่มนักลงทุนที่ใช้สินเชื่อชะลอการซื้อบ้าง อย่างไรก็ตาม หลายธนาคารก็ยังแข่งขันปล่อยกู้ในภูเก็ตอย่างคึกคัก เนื่องจากมองว่าลูกค้าในจังหวัดนี้มีศักยภาพรายได้ดี (จากธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ) อัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าโครงการคุณภาพดีจึงค่อนข้างต่ำ รายงานจากผู้พัฒนาบางรายระบุว่าลูกค้าทาวน์เฮ้าส์ระดับราคา ~2-3 ล้านบาทในภูเก็ตเกือบทุกรายผ่านการอนุมัติสินเชื่อตั้งแต่ก่อนจอง (pre-approved) ทำให้โครงการปิดการขายได้เร็วและไม่เกิดหนี้เสีย

ทั้งนี้ควรคำนึงว่าการลงทุนในอสังหาฯ เป็นการลงทุนระยะยาว โดยทั่วไปผู้ลงทุนควรวางแผนถือครองทรัพย์สินอย่างน้อย 3-5 ปี ขึ้นไปเพื่อให้มูลค่าอสังหาฯ มีเวลาปรับตัวสูงขึ้นและคุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรม (เช่น ค่าภาษีและค่าธรรมเนียมการโอน) การหวังเก็งกำไรระยะสั้นในตลาดที่มีต้นทุนธุรกรรมสูงอย่างภูเก็ตนั้นมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนจึงควรประเมิน horizon ของการลงทุนให้เหมาะสมด้วย

ปัจจัยด้านการพัฒนาโครงการที่ส่งผลต่อตลาดทาวน์เฮ้าส์

ในการพัฒนาโครงการทาวน์เฮ้าส์เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดภูเก็ต ผู้ประกอบการจำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยแวดล้อมหลายด้าน ทั้งปัจจัยมหภาค (ระดับจังหวัดและประเทศ) และปัจจัยเฉพาะพื้นที่ ดังนี้:

  • การเติบโตของภาคท่องเที่ยว: ดังที่กล่าวไปข้างต้น การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจภูเก็ต นักพัฒนาจึงมักวิเคราะห์แนวโน้มการท่องเที่ยวประกอบการตัดสินใจเปิดโครงการใหม่ หากคาดว่าปีไหนนักท่องเที่ยวจะมาเยอะ นักลงทุนต่างชาติคึกคัก ก็อาจเร่งพัฒนาคอนโดหรือวิลล่าขายต่างชาติ แต่หากแนวโน้มการท่องเที่ยวชะลอ ผู้ประกอบการอาจหันมาเน้นโครงการสำหรับคนไทยมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมุมมองโดยรวมยังเชื่อว่าอย่างน้อย 3-5 ปีข้างหน้า ภูเก็ตจะยังคงเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของโลก จำนวนเที่ยวบินระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นและการโปรโมทจังหวัดสู่ตลาดใหม่ ๆ (เช่น อินเดีย ตะวันออกกลาง) จะช่วยรักษาความคึกคักของภาคท่องเที่ยว ซึ่งส่งผลบวกทางอ้อมต่อความต้องการที่อยู่อาศัยทุกประเภท

  • การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและผังเมือง: ปัจจัยนี้มีบทบาทอย่างมากต่อทิศทางการขยายตัวของเมืองภูเก็ต ตัวอย่างเช่น แผนก่อสร้างระบบขนส่งมวลชน (รถไฟฟ้ารางเบา) จากสนามบินสู่เมือง ซึ่งแม้จะยังอีกหลายปี แต่ก็ทำให้ที่ดินตามแนวเส้นทางมีมูลค่าสูงขึ้นในเชิงคาดการณ์ ผู้ประกอบการบางรายจึงกว้านซื้อที่ดินล่วงหน้าไว้รอการมาของโครงการดังกล่าว อีกตัวอย่างคือโครงการสร้างทางหลวงหรืออุโมงค์เพื่อลดปัญหารถติด เช่น อุโมงค์ที่สี่แยกต่าง ๆ และโครงการถนนตัดใหม่เชื่อมโซนต่าง ๆ ของเกาะ สิ่งเหล่านี้ช่วยเปิดพื้นที่ใหม่ให้พัฒนาโครงการบ้านจัดสรรได้สะดวกขึ้น รวมถึงการปรับปรุงระบบสาธารณูปโภค เช่น ขยายกำลังการผลิตไฟฟ้า ระบบประปา และระบบระบายน้ำ เพื่อรองรับชุมชนที่เติบโต ก็เป็นหัวใจที่ทำให้การอยู่อาศัยในภูเก็ตมีเสถียรภาพและน่าอยู่ ผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยจึงต้องประสานกับภาครัฐในการประเมินความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้เวลาวางแผนโครงการ

  • ข้อจำกัดด้านกฎหมายและสิ่งแวดล้อม: จังหวัดภูเก็ตมีลักษณะภูมิประเทศที่เป็นเกาะและมีภูเขาหลายแห่ง ทำให้การใช้ประโยชน์ที่ดินถูกควบคุมด้วยกฎหมายผังเมืองค่อนข้างเข้มงวด เพื่อรักษาสมดุลธรรมชาติ โดยเฉพาะในโซนใกล้ชายฝั่งและพื้นที่เชิงเขา ตัวอย่างเช่น กฎหมายจำกัดความสูงของอาคารในระยะใกล้ทะเล, ข้อบังคับเรื่องไม่ให้ถมที่ปิดทางน้ำธรรมชาติ หรือกรณีเขตป่าสงวนที่ห้ามบุกรุก ทั้งหมดนี้ส่งผลให้ที่ดินที่สามารถสร้างโครงการแนวราบได้นั้นมีจำกัดในบางทำเล ผู้ประกอบการอาจต้องย้ายไปพัฒนาในที่ดินโซนที่กฎข้อบังคับไม่เคร่งครัดแทน (เช่น เข้าไปในแผ่นดินมากขึ้น) ซึ่งก็อาจไกลสิ่งอำนวยความสะดวกออกไป จึงเป็นความท้าทายในการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ดึงดูดใจ ขณะเดียวกันผู้พัฒนายังต้องให้ความสำคัญกับแนวโน้มของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เช่น การออกแบบบ้านให้ประหยัดพลังงาน มีพื้นที่สีเขียวภายในโครงการ เป็นต้น เพราะลูกค้าในตลาดบนจำนวนไม่น้อยตัดสินใจซื้อโดยพิจารณาถึงภาพลักษณ์ด้านความยั่งยืนของโครงการด้วย

  • กำลังซื้อและสภาพคล่องทางการเงินของผู้บริโภค: ปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค เช่น อัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อ ราคาพลังงาน มีผลโดยตรงต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค หากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นจะทำให้ผ่อนบ้านแพงขึ้น ผู้มีรายได้กลาง-ล่างอาจชะลอการซื้อ บ้านระดับทาวน์เฮ้าส์ซึ่งจับกลุ่มนี้ก็อาจขายได้ช้าลง ผู้ประกอบการอาจต้องออกโปรโมชั่นช่วยผ่อนหรือปรับแบบบ้านให้มีพื้นที่ใช้สอยคุ้มค่าขึ้นเพื่อดึงดูดลูกค้า นอกจากนี้การที่ธนาคารเข้มงวดการปล่อยกู้มากขึ้นหลังยุคโควิดก็เป็นอีกข้อจำกัด อย่างไรก็ดี ในปี 2568 มีสัญญาณว่าภาครัฐอาจพิจารณามาตรการกระตุ้นอสังหาฯ อีกครั้งหากเศรษฐกิจชะลอตัว เช่น ลดค่าธรรมเนียมการโอนหรือลดค่าใช้จ่ายในการจดจำนองสำหรับบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นประโยชน์โดยตรงต่อผู้ซื้อทาวน์เฮ้าส์ นอกจากนั้นภาครัฐยังผลักดันโครงการขนาดใหญ่ที่อาจนำเม็ดเงินการลงทุนและแรงงานเข้ามาในพื้นที่ เช่น การพัฒนา Phuket Smart City, การขยายท่าอากาศยาน หรือการส่งเสริมภูเก็ตให้เป็นศูนย์กลาง Medical Hub สิ่งเหล่านี้ล้วนสร้างงานและรายได้ ทำให้ประชาชนมีกำลังซื้อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้น

  • เทรนด์ความต้องการของผู้บริโภค: ผู้ประกอบการยังต้องจับตาเทรนด์พฤติกรรมผู้ซื้อที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย คนรุ่นใหม่อาจมองหาที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ Work from Home หรือมีพื้นที่สำหรับทำโฮมออฟฟิศ ซึ่งทาวน์โฮมรุ่นใหม่หลายโครงการก็ออกแบบให้มีห้องเอนกประสงค์หรือ co-working space ในบ้าน การใส่ฟังก์ชั่นเหล่านี้จะเพิ่มความน่าสนใจให้สินค้าทาวน์เฮ้าส์ภูเก็ต นอกจากนี้ ความปลอดภัยจากโรคระบาดทำให้บางครอบครัวอยากได้พื้นที่ส่วนตัวมากขึ้น ไม่อยากอยู่คอนโดมิเนียมที่มีคนใช้พื้นที่ส่วนกลางร่วมกันเยอะ ทำให้หันมาซื้อบ้านทาวน์เฮ้าส์หรือบ้านแฝดแทน เป็นต้น

โดยภาพรวม ปัจจัยข้างต้นสะท้อนว่าตลาดทาวน์เฮ้าส์ภูเก็ตได้รับอิทธิพลจากทั้งปัจจัยเศรษฐกิจใหญ่และปัจจัยเฉพาะพื้นที่ ผู้เล่นในตลาดต้องคอยปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ เช่น หากการท่องเที่ยวดีมาก ก็อาจเน้นจับกลุ่มนักลงทุนต่างชาติด้วยการทำคอนโดวิลล่า แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ควรละเลยกลุ่มลูกค้าพื้นถิ่นซึ่งเป็นฐานที่มั่นคงของตลาดทาวน์เฮ้าส์ กลยุทธ์ที่สมดุลและการวางแผนระยะยาวจึงเป็นสิ่งจำเป็น

แนวโน้มอนาคตและทิศทางตลาดภูเก็ต

เมื่อมองไปข้างหน้า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ตยังมีปัจจัยหลายประการที่จะกำหนดทิศทางในอนาคตอันใกล้ (ช่วง 1-3 ปี) ซึ่งผู้เกี่ยวข้องควรติดตามอย่างใกล้ชิด:

  • การเปิดโครงการใหม่และภาวะอุปทาน: ตามข้อมูลคาดการณ์ปี 2567-2568 คาดว่าจะมีโครงการที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ในภูเก็ตประมาณปีละ 7,000-8,000 หน่วย ซึ่งเกินกว่าอัตราการขายเฉลี่ยต่อปีเล็กน้อย หมายความว่าอุปทานใหม่ยังคงไหลเข้าตลาดอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในกลุ่มคอนโดมิเนียม (กว่า 80-90% ของหน่วยเปิดใหม่) ส่วนที่อยู่อาศัยแนวราบอย่างทาวน์เฮ้าส์และบ้านเดี่ยวคาดว่าจะเปิดตัวจำนวนน้อยลง (อาจมีเพียงหลักหลายร้อยหน่วยต่อปี) เนื่องจากต้นทุนที่ดินสูงและผู้ประกอบการมุ่งเน้นสินค้าที่ขายให้ชาวต่างชาติ แต่หากความต้องการบ้านแนวราบในกลุ่มคนไทยยังแข็งแกร่ง เราอาจได้เห็นผู้พัฒนาบางรายเปิดตัวทาวน์เฮ้าส์โครงการใหม่ในทำเลรองเพื่อจับตลาดนี้

  • บทบาทของชาวต่างชาติและตลาดโลก: แนวโน้มที่นักลงทุนและผู้ซื้อชาวต่างชาติจะยังคงมีบทบาทสูงในภูเก็ตต่อไป โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้ารัสเซีย จีน ยุโรป และตะวันออกกลาง ซึ่งเข้ามาซื้ออสังหาฯ เพื่อการลงทุนและพักผ่อนเพิ่มขึ้นในช่วงหลัง หากสถานการณ์เศรษฐกิจและการเดินทางระหว่างประเทศยังเป็นปกติ คาดว่าดีมานด์จากต่างชาติจะยังหนุนตลาดบน (คอนโดและวิลล่าหรู) ให้เติบโตต่อเนื่อง อาจมีปรากฏการณ์เงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาสู่ตลาดบ้านแนวราบทางอ้อมมากขึ้น เช่น การตั้งบริษัทซื้อบ้าน หรือการซื้อผ่านผู้ถือสัญชาติไทย ในทางกลับกัน หากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวหรือเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน (เช่น โรคระบาดใหม่ ความขัดแย้งระหว่างประเทศ) ก็อาจกระทบกำลังซื้อของต่างชาติ ทำให้ยอดขายอสังหาฯ ภูเก็ตชะลอบ้างในระยะสั้น

  • นโยบายภาครัฐ: รัฐบาลไทยชุดปัจจุบันมีท่าทีส่งเสริมการลงทุนและการท่องเที่ยวอย่างชัดเจน ซึ่งภูเก็ตเป็นจังหวัดเป้าหมายอันดับต้น ๆ นโยบายที่อาจเกิดขึ้นและเป็นคุณแก่ตลาดอสังหาฯ รวมถึงการพิจารณาผ่อนปรนเกณฑ์การถือครองอสังหาฯ โดยชาวต่างชาติ (เช่น การเพิ่มสิทธิในการถือครองที่ดินหรือขยายอายุวีซ่าผู้พำนักระยะยาว) หากมาตรการเหล่านี้เกิดขึ้นจริง จะยิ่งกระตุ้นความต้องการซื้อในกลุ่มลูกค้าต่างชาติและนักลงทุนต่างแดนในภูเก็ตมากขึ้น นอกจากนี้รัฐบาลยังอาจออกมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ ในภาพรวม เช่น ลดค่าโอนและจดจำนอง หรือโครงการบ้านผู้มีรายได้ปานกลาง ซึ่งจะเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ซื้อบ้านทาวน์เฮ้าส์ระดับราคาไม่สูงมากในภูเก็ตด้วย

  • โครงสร้างพื้นฐานและโครงการพัฒนาพื้นที่: การเดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในภูเก็ตจะเป็นอีกปัจจัยบวกในระยะกลาง-ยาว เช่น หากโครงการรถไฟฟ้ารางเบา (LRT) เส้นทางสนามบิน-ในเมืองเริ่มก่อสร้างในปี 2571 ตามแผน ย่อมสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและผู้ซื้อว่าจะเกิดการเชื่อมต่อที่สะดวกในอนาคต ผลคือที่ดินตามแนวเส้นทางอาจขยับราคาขึ้นล่วงหน้า ขณะเดียวกันจังหวัดและเอกชนยังมีแผนจัดงานและกิจกรรมระดับโลกต่อเนื่อง เช่น การเสนอตัวเป็นเจ้าภาพงาน World Specialized Expo (แม้ภูเก็ตจะพลาดการเป็นเจ้าภาพปี 2570 แต่ก็แสดงถึงความพร้อมของจังหวัด) และการส่งเสริมให้ภูเก็ตเป็นเมืองศูนย์กลางสุขภาพ (Medical Hub) และ MICE City ทั้งหมดนี้จะช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนและบุคลากรจากนอกพื้นที่เข้ามามากขึ้น ซึ่งหมายถึงความต้องการที่อยู่อาศัยที่จะเพิ่มตามมา

  • ราคาและผลตอบแทนการลงทุน: ในภาพรวมแนวโน้มราคาที่อยู่อาศัยในภูเก็ตน่าจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปต่อไปอีกในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า ตามภาวะต้นทุนและดีมานด์ที่ยังมีอยู่ แต่จังหวะการขึ้นราคาอาจไม่รุนแรงเท่าช่วงหลังโควิดที่มีการ rebound เพราะตลาดเริ่มเข้าสู่ภาวะสมดุลมากขึ้น ผลตอบแทนการปล่อยเช่าก็น่าจะทรงตัวในระดับใกล้เคียงเดิม (ประมาณ 4-6% ต่อปีสำหรับบ้านแนวราบ) ซึ่งยังดึงดูดใจนักลงทุนเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก หากอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมในประเทศปรับลดลงในช่วงปลายปี 2567 หรือ 2568 (ตามที่นักวิเคราะห์บางส่วนคาดการณ์) ก็จะเป็นปัจจัยเสริมให้ตลาดอสังหาฯ กลับมาคึกคักยิ่งขึ้นจากต้นทุนการเงินที่ถูกลง

โดยสรุป แนวโน้มอนาคตของตลาดทาวน์เฮ้าส์ภูเก็ตยังคงสดใสแต่ก็ต้องดำเนินไปด้วยความระมัดระวัง ผู้ประกอบการน่าจะยังเกาะติดกลุ่มลูกค้าหลักทั้งคนไทยและต่างชาติพร้อมปรับตัวตามสถานการณ์ ขณะที่ผู้ซื้อและนักลงทุนควรเลือกเฟ้นโครงการหรือทรัพย์ที่มีคุณภาพ ทำเลที่มีศักยภาพ และพิจารณาปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน เช่น สภาพเศรษฐกิจและทิศทางอัตราดอกเบี้ย ก่อนตัดสินใจ ทั้งนี้ ภูเก็ตยังคงเป็นทำเลที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งจากเสน่ห์ด้านการท่องเที่ยวระดับโลกและความน่าอยู่ของตัวเมือง เมื่อประกอบกับกลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพดังที่กล่าวมาข้างต้น ก็น่าจะช่วยให้การขายทาวน์เฮ้าส์ในภูเก็ตประสบความสำเร็จได้ในอนาคตเช่นเดียวกับที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

บทสรุปและข้อเสนอแนะ

ตลาดทาวน์เฮ้าส์ในภูเก็ต ณ ปี 2568 แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่แข็งแกร่งในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นความต้องการซื้อที่ยังคงมีอยู่มากโดยเฉพาะในหมู่คนไทยท้องถิ่น ราคาที่ปรับตัวขึ้นอย่างมีพื้นฐานจากต้นทุนจริง และทำเลที่หลากหลายให้นักลงทุนและผู้ซื้อเลือกตามความเหมาะสม ตั้งแต่ย่านใจกลางเมืองที่อุปสงค์ล้นหลาม ไปจนถึงย่านใหม่ในถลางที่รองรับการเติบโตในอนาคต สำหรับนักลงทุน การเข้ามาจับจองอสังหาฯ ประเภททาวน์เฮ้าส์ในภูเก็ตสามารถให้ทั้งผลตอบแทนจากค่าเช่าและโอกาสทำกำไรจากมูลค่าที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ผู้ซื้ออยู่อาศัยเองก็จะได้ครอบครองบ้านในจังหวัดที่มีคุณภาพชีวิตดีและเศรษฐกิจก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี การจะใช้ประโยชน์จากโอกาสเหล่านี้ได้เต็มที่ จำเป็นต้องอาศัยกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสม โดยเฉพาะการตลาดผ่านช่องทางดิจิทัลซึ่งกลายมาเป็นหัวใจในการเข้าถึงลูกค้ายุคใหม่ การจัดทำคอนเทนต์คุณภาพบนหน้า Landing Page ที่ตอบโจทย์สิ่งที่ผู้ค้นหาอยากรู้จริง ๆ (เช่น บทวิเคราะห์เชิงลึกตลาดภูเก็ต ทำเลที่น่าลงทุน ฯลฯ) ผนวกกับการปรับแต่ง SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ เมื่อค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดสำคัญ จะทำให้ธุรกิจอสังหาฯ ของคุณมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่งที่ยังพึ่งพาวิธีการขายแบบเดิม ๆ

บทความนี้ได้นำเสนอทั้งข้อมูลภาวะตลาดและแนวทางการทำคอนเทนต์ SEO เพื่อสนับสนุนการขายทาวน์เฮ้าส์ในภูเก็ตอย่างครอบคลุม หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ประกอบการ นักการตลาด นักลงทุน หรือผู้สนใจทั่วไปก็ตาม สุดท้ายนี้ สิ่งสำคัญคือการลงมือปรับใช้ความรู้นี้อย่างต่อเนื่อง โลกดิจิทัลและตลาดอสังหาริมทรัพย์มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ผู้ที่พร้อมปรับตัว เรียนรู้ข้อมูลใหม่ ๆ และสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ จะสามารถคว้าโอกาสและประสบความสำเร็จในการขายทาวน์เฮ้าส์ในภูเก็ตได้อย่างแน่นอน

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการขาย/ซื้อทาวน์เฮ้าส์ในภูเก็ต

ถาม: ชาวต่างชาติสามารถซื้อทาวน์เฮ้าส์หรือบ้านในภูเก็ตได้หรือไม่?
ตอบ: โดยทั่วไปชาวต่างชาติไม่สามารถถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินในไทยได้ด้วยตนเอง ดังนั้นการซื้อบ้านหรือทาวน์เฮ้าส์ (ซึ่งเป็นอสังหาฯ ที่มีที่ดิน) โดยตรงในชื่อชาวต่างชาติจึงทำไม่ได้ตามกฎหมาย แต่มีวิธีที่ชาวต่างชาติใช้ เช่น การจดทะเบียนบริษัทในไทยแล้วให้บริษัทถือครองทรัพย์สิน หรือการซื้อในนามคู่สมรสที่เป็นคนไทย อย่างไรก็ตาม วิธีเหล่านี้มีความซับซ้อนทางกฎหมายและค่าใช้จ่ายสูง ทางเลือกที่ง่ายที่สุดสำหรับชาวต่างชาติคือซื้อคอนโดมิเนียมในภูเก็ต (ซึ่งกฎหมายอนุญาตให้ต่างชาติถือครองได้ 100% ในสัดส่วนไม่เกิน 49% ของพื้นที่โครงการ) แล้วอยู่อาศัยหรือปล่อยเช่าแทนการซื้อบ้าน หากชาวต่างชาติประสงค์จะอยู่บ้านเป็นหลังจริงๆ ส่วนใหญ่จะเลือกเช่าระยะยาวบ้านหรือวิลล่าจากเจ้าของคนไทยมากกว่าซื้อขาด

ถาม: ระหว่างทาวน์เฮ้าส์กับคอนโดมิเนียม ลงทุนแบบไหนคุ้มกว่ากันในภูเก็ต?
ตอบ: ทั้งสองแบบมีข้อดีต่างกัน ขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุนและกลุ่มผู้เช่าหรือผู้ซื้อที่ต้องการเน้น หากคุณเป็นคนไทยที่ต้องการซื้อไว้เก็งกำไรหรือปล่อยเช่าระยะยาวให้คนทำงานในพื้นที่ ทาวน์เฮ้าส์ อาจน่าสนใจเพราะมีที่ดินเป็นทรัพย์สิน (ซึ่งมีโอกาสเพิ่มมูลค่า) และมีจำนวนจำกัดกว่าคอนโด นอกจากนี้ยังสามารถปล่อยเช่าให้ครอบครัวหรือผู้เช่าที่อยากได้พื้นที่มากกว่าคอนโดได้ ในทางกลับกัน คอนโดมิเนียม เหมาะกับการปล่อยเช่าระยะสั้นนักท่องเที่ยวหรือขายต่อให้ชาวต่างชาติ เนื่องจากชาวต่างชาติซื้อถือครองได้และมักสนใจทำเลวิวทะเลหรือใกล้ชายหาดที่คอนโดตั้งอยู่ การลงทุนคอนโดอาจให้ผลตอบแทนจากค่าเช่าสูงในช่วงไฮซีซั่นการท่องเที่ยวและขายต่อได้คล่องกว่าในตลาดต่างชาติ แต่ก็มักมีค่าใช้จ่ายส่วนกลางและการแข่งขันสูงกว่า สรุปแล้ว หากเป้าหมายคือผู้เช่าหรือผู้ซื้อคนไทยในพื้นที่ ทาวน์เฮ้าส์อาจตอบโจทย์มากกว่า แต่ถ้าเป้าหมายคือกลุ่มต่างชาติและนักท่องเที่ยว คอนโดก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ

ถาม: ทำเลใดในภูเก็ตที่น่าซื้อทาวน์เฮ้าส์มากที่สุด?
ตอบ: ทำเลที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การซื้อของคุณ หากต้องการอยู่อาศัยเองหรือปล่อยเช่าให้คนทำงานในพื้นที่ ย่านตัวเมืองภูเก็ต (อ.เมือง) ถือว่าน่าสนใจเพราะใกล้แหล่งงาน โรงเรียน และสิ่งอำนวยความสะดวก อีกทั้งสต็อกบ้านเหลือขายในโซนนี้มีน้อยทำให้มีโอกาสปรับราคาขึ้นในอนาคตสูง หากคุณสนใจการเติบโตระยะยาวและมูลค่าที่ดิน ย่านอำเภอถลาง (เช่น เชิงทะเล บางเทา) ก็น่าสนใจเพราะเป็นเขตที่มีโครงการใหม่และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเกิดขึ้นมากมาย บางเทามีแนวโน้มกลายเป็นศูนย์กลางที่อยู่อาศัยหรูและชุมชนชาวต่างชาติ ส่วน อำเภอกะทู้ (เช่น ป่าตอง กมลา) นั้นเหมาะสำหรับการลงทุนที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว เช่น ซื้อไว้ปล่อยเช่าระยะสั้นหรือทำเกสต์เฮ้าส์ แต่การหาซื้อทาวน์เฮ้าส์ใหม่ในกะทู้อาจทำได้ยากเพราะมีโครงการใหม่ไม่มาก ในภาพรวม แนะนำให้พิจารณาทำเลที่สอดคล้องกับแผนการใช้งานของคุณเป็นหลัก และควรดูปัจจัยเรื่องความเจริญและโครงการใกล้เคียงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตประกอบด้วย

มี 657 ทาวน์เฮ้าส์ สำหรับsale ในPhuket บันทึกการค้นหานี้ เพื่อรับอีเมลเมื่อมีทาวน์เฮ้าส์สำหรับsaleใหม่ลงประกาศในPhuket ราคาประกาศขายเฉลี่ยในPhuket คือ ฿ 4,984,231 ณ วันที่ 1 May 2023 ขนาดเฉลี่ยคือ 140.5 ตารางเมตร พร้อมห้องนอน 2.6 ห้อง ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรสำหรับทาวน์เฮ้าส์ ในPhuket คือ ฿ 35,475 หากคุณไม่พบอสังหาริมทรัพย์สำหรับขายที่ตรงตามความต้องการของคุณ ลองค้นหาทาวน์เฮ้าส์ที่มีให้เช่าในPhuketของเรา Dot Property ยังมีคู่มือที่เป็นประโยชน์ บล็อก และข่าวสารล่าสุดเพื่อช่วยผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในการค้นหา
สมัครรับอีเมลอัพเดทข่าว