เรียลแอสเสทลุยทรานส์ฟอร์มแบรนด์ธุรกิจผสมผสาน Active Wellness เพื่อสุขภาพที่ยั่งยืนของผู้อยู่อาศัย

สำหรับการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกิจในประเภทใดก็ล้วนแล้วแต่ต้องมีการปรับเปลี่ยนพัฒนาเพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าและเข้ากับยุคสมัยให้มากขึ้น เช่นเดียวกับบริษัทอสังหาทั่วไปในท้องตลาดที่ได้เริ่มมีการปรับเปลี่ยนและพัฒนาบริษัทของตนเองให้กลายเป็นบริษัทแบบธุรกิจผสมผสาน เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการของผู้บริโภคได้ในหลาย ๆ ด้าน รวมไปถึงเป็นการช่วยลดความเสี่ยงจากการสร้างรายได้เพียงช่องทางเดียว ซึ่งบริษัทเรียลแอสเสทเอง ก็เป็นอีกหนึ่งบริษัทอสังหาที่ได้มีแผนในการทรานส์ฟอร์มเข้าสู่ธุรกิจในรูปแบบธุรกิจผสมผสานเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป

การทรานส์ฟอร์มธุรกิจคืออะไร

การทรานส์ฟอร์มธุรกิจ หรือที่เรียกอย่างง่าย ๆ อีกอย่างหนึ่งว่าการเปลี่ยนถ่ายยุคสมัยของธุรกิจ คือการที่เจ้าของธุรกิจได้มีการพัฒนาธุรกิจของตนเองให้ตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงไปของยุคสมัยในปัจจุบัน เช่น ในเรื่องของช่องทางการจำหน่าย ที่จากเดิมธุรกิจทั่วไปจะมีเพียงการขายสินค้าแบบออฟไลน์เท่านั้น แต่ในปัจจุบันหลาย ๆ ธุรกิจก็ได้เริ่มมีการพัฒนามาขายสินค้าในช่องทางออนไลน์มากขึ้น หรือจะเป็นการเปลี่ยนแปลงให้ธุรกิจของตนเองกลายเป็นธุรกิจแบบธุรกิจผสมผสาน เช่น จากเดิมที่เคยทำธุรกิจอสังหาเพื่อการอยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว ก็เริ่มมีพัฒนาและให้ความสำคัญในเรื่องของสุขภาวะในการอยู่อาศัยมากขึ้น เพื่อเป็นการตอบรับกับเทรนด์ความต้องการของผู้บริโภคในยุคใหม่ ๆ นั่นเอง

แล้วบริษัทอสังหาอย่างเรียลแอสเสทจะทรานส์ฟอร์มสู่ธุรกิจผสมผสานแบบใด

นายบดินทร์ธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับเทรนด์ใหม่ในเรื่องของสุขภาวะที่ดี (Wellness) ในปัจจุบันนั้น บริษัทได้ให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้นจนนำมาสู่การทำ Brand Transformation สู่ธุรกิจผสมผสานภายใต้วิสัยทัศน์ “BELIEVING A BETTER YOU IS POSSIBLE” เราเชื่อว่าทุกคนดีขึ้นได้จริงและจะส่งต่อพลังบวกให้คนรอบข้างและสังคมดีขึ้นได้เช่นกัน

“วันนี้ REAL ASSET อยู่ในธุรกิจ Active Well-Being Life Experience สะท้อนผ่านสัญลักษณ์โลโก้ของบริษัทฯ Active Real Icon ที่เริ่มต้นตั้งแต่ตนเองขยายวงกว้างสู่ผู้อื่นและยกระดับสู่สังคมด้วยพันธกิจการดำเนินงานที่จะพลิกโฉมประสบการณ์ที่แสนธรรมดา ให้เปี่ยมด้วย สุขภาวะที่ดี และชีวิตที่มีพลัง” นายบดินทร์ธรกล่าว

10_ธุรกิจผสมผสาน (1)โดยบริษัทได้วางกลยุทธ์ผ่าน 5 แกนสำคัญภายใต้ตีม NEVERLAND  ประกอบด้วย

  1. Ever Active  สนับสนุนให้ทุกคนออกกำลังกายหรือออกแรงทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ
  2. Ever Smile ลดความเครียดและความกังวลของลูกบ้าน โดยเราจะดูแลเรื่องความปลอดภัยและส่งเสริมให้ลูกบ้านมีสุขภาพจิตที่ดีมองโลกในแง่บวก
  3. Ever Green เพิ่มโอกาสให้ลูกบ้านรับประทานอาหารจากธรรมชาติ ปราศจากสารเคมี และใส่ใจในธรรมชาติมากขึ้น
  4. Ever Love สร้างโอกาสให้สมาชิกในครอบครัวใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น ให้ความสำคัญกับสุขภาพของผู้ใหญ่และเด็กเล่นในบ้าน รวมถึงเพื่อนบ้านรอบข้าง
  5. Ever Care เข้าถึงเทคโนโลยีการแพทย์ที่ทันสมัยเพื่อดูแลสุขภาพของลูกบ้าน และตรวจเช็คร่างกายเพื่อลดโอกาสการเกิดโรคร้ายต่าง ๆ

“Well-Being กลายเป็นสิ่งสำคัญ ที่ทุกคนหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น เราจึงตั้งใจที่จะมุ่งสู่ธุรกิจผสมผสาน เพื่อการอยู่อาศัยที่ดีและการมีชีวิตที่ดีควบคู่กันไปอย่างยั่งยืน” นายบดินทร์ธรกล่าวเพิ่มเติม

ในส่วนของการเติบโตของธุรกิจ นายบดินทร์ธร ได้กล่าวว่า การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ในปี 2563 นั้นทำให้การเปิดตัวโครงการใหม่ลดลงจากเดิม เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2562 เนื่องจากบริษัทได้มีการปรับแผนในการดำเนินธุรกิจใหม่และได้เลื่อนการเปิดตัวสำหรับบางโครงการใหม่ออกไป โดยปัจจุบันบริษัทได้มีการพัฒนาโครงการสะสมทั้งสิ้น 21 โครงการ มูลค่ารวม 30,500 ล้านบาท โดยมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายและจะเปิดขายในปี 2564 นี้  12 โครงการ มูลค่ารวม 8,000 ล้านบาท

สำหรับแผนพัฒนาโครงการใหม่ในปี 2564  บริษัทยังคงมั่นใจในทำเลและสินค้าของทางโครงการ และจะยังคงเน้นการพัฒนาโครงการโดยใช้ฐานลูกค้ากลุ่มเรียลดีมานด์เป็นหลัก ทั้งนี้มีแผนพัฒนาโครงการใหม่ทั้งสิ้น 4 โครงการ มูลค่ารวม 4,660 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 3 โครงการ มูลค่ารวม 2,510 ล้านบาท ได้แก่ โครงการสตอรี่ส์ บางนา-สุวรรณภูมิ โครงการสตอรี่ส์ รังสิต-วงแหวน และโครงการวิรัณยา บางนา-วงแหวน รวมถึงแบ่งเป็นโครงการแนวสูงอีก 1 โครงการ มูลค่า 2,150 ล้านบาท ได้แก่ โครงการคอนโดมิเนียม เดอะ สเตจ มายด์สเคป รัชดา-ห้วยขวาง นอกจากนี้ยังมีโครงการที่เทกโอเวอร์ มาจาก บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ภายใต้แบรนด์ “MEGA Space 1&2” เป็นคอนโดไฮไรส์ 2 อาคาร รวม 2,329 ยูนิต มูลค่าโครงการ 4,300 ล้านบาท

คาดว่าในปี 2564 บริษัทจะสามารถสร้างยอดขายจำนวน 2,350 ล้านบาทและโตขึ้น 15% จากปีก่อนที่มียอดขาย 2,050 ล้านบาท รวมทั้งจากการเทกโอเวอร์จะสามารถทำให้บริษัทโตได้อย่างก้าวกระโดดซึ่งตั้งเป้าหมายว่าในปี 2567 จะสามารถสร้างรายได้แตะ 4,000 ล้านบาท และมี Backlog ทั้งหมด 5,660  ล้านบาท ในระหว่างปี 2564-2567

อ้างอิง
https://www.prachachat.net/property/news-603698