5 แนวคิดการแต่งบ้านช่วง Work From Home แต่งยังไงให้ยัง Work-Life ได้ Balance

ช่วงนี้ชีวิตของคุณยัง Work-Life Balance อยู่หรือเปล่า? 

สำหรับใครที่ต้องทำงานในรูปแบบ Work from home มาตลอดระยะเวลา 1-2 ปีนี้อาจจะพบกับปัญหาชีวิตพังจากการทำงานที่บ้าน ทำงานไม่เป็นเวลา อยู่บ้านก็จริงแต่พอเผลอก็มักจะหยิบงานขึ้นมาเคลียร์เพราะทำเท่าไหร่ก็ไม่เสร็จสักที และเมื่อชีวิตมีแต่คำว่างาน งาน และงาน จากเดิมที่พอกลับบ้านมาพักผ่อน ก็กลายเป็นการใช้ชีวิตเหมือนเอางานกลับมาทำที่บ้านทุกวัน แน่นอนว่า นี่คือชีวิตที่ Work-Life Balance ได้เสียไปแล้ว และหลายคนอาจจะเข้าใกล้สู่สภาวะ Burnout จากการทำงานเข้าไปทุกที

ถ้าเป็นแบบนี้เรามากู้วิกฤตวิถีการใช้ชีวิตกันใหม่ด้วยแนวคิดการแต่งบ้านในช่วง Work From Home ที่จะช่วยปลดแอกคุณจากการทำงานแทบตลอดเวลา ให้ได้หยุดหายใจหายคอบ้าง ลองมาดูกันดีกว่าว่ามีเทคนิคอะไรบ้างที่จะพาคุณก้าวผ่านสภาวะแบบนี้ไปได้

1. Multifunction

ทุกวันนี้คุณใช้ชีวิตในสภาพที่นั่งทำงานอยู่บนเตียงตลอดเวลาหรือเปล่า ถ้านี่คือพฤติกรรมตลอดช่วง WFH ที่ผ่านมา ซึ่งอาจจะมาจากสาเหตุเพราะความขี้เกียจลุกไปทำงานบนโต๊ะ หรือพื้นที่ห้องเล็กเลยไม่อยากจะซื้อเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่เข้ามาเพิ่ม นี่คือสิ่งที่ทำให้คุณต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากไม่สามารถแบ่งเวลาในการทำงานหรือพักผ่อนอย่างชัดเจนได้ เพราะคุณใช้พื้นที่ทั้งสองกิจกรรมร่วมกัน ยิ่งการทำงานบนเตียงนอนด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เวลาพักผ่อนของคุณหายไปให้กับการทำงานมากขึ้น

Sad man in bed with laptopจะดีกว่าไหม หากคุณเลือกใช้เทคนิคการแต่งห้องแบบ Multifunction เข้ามาช่วยด้วยการเลือกซื้อโต๊ะปรับระดับไฟฟ้าสักตัวที่ทำให้คุณเคลื่อนย้ายโต๊ะสะดวก จะนั่งก็ได้ยืนก็ได้ หรือถ้าไม่มีงบก็อาจจะลองเลือกเฟอร์นิเจอร์หน้าตาปกติแต่ปรับวิธีการใช้ เช่น โต๊ะใหญ่ๆ ที่เป็นทั้งที่กินข้าว ทำงาน นั่งประชุม เดย์เบดแบบมีพนักสำหรับนั่งพักผ่อนโดยไม่ต้องยก ต้องพับให้เหนื่อย หรือชั้นวางของโล่งๆ ที่ใช้วาง ใช้โชว์ และใช้กั้นพื้นที่ห้องในคราวเดียว แบบนี้ก็จะช่วยทำให้การใช้ชีวิตของคุณสามารถแบ่งเวลาส่วนตัวกับงานออกจากกันได้ดีขึ้นแล้ว

2. Private and Public Spaces

modern loft interior design.เป็นเทคนิคการแยกพื้นที่ส่วนตัวกับพื้นที่ส่วนกลางอย่างชัดเจน แบ่งห้องและใช้งานตามแบบแผน โดย Public Space จะเป็นส่วนห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น หรือเป็นส่วนที่แขกสามารถเข้ามาใช้งานได้ โดยเจ้าของไม่รู้สึกอึดอัด และ Private Space คือพื้นที่ส่วนตัว เช่น ห้องนอน คุณต้องกำหนดเลยว่า หากเริ่มเวลาทำงานจะต้องใช้พื้นที่ในส่วน Public Space เท่านั้น และเมื่อถึงเวลาเลิกงานตามเวลาปกติ ก็ให้ย้ายที่มายัง Private Space เพื่อให้รู้ว่า นี่คือเวลาพักผ่อน และจะไม่หยิบเอางานออกมาทำอีก

3. ECO Friendly

คำว่ารักษ์โลกอย่างเทรนด์ Eco Friendly อาจจะไม่ต้องถึงขั้นติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ไว้ในบ้าน แค่เพียงคุณลองหยิบเอาไม้เลื้อยเกาะกำแพงมาปลูกเพิ่มไว้ในห้องก็จะช่วยลดอุณหภูมิให้ตัวบ้านได้ หรือลองปลูกไม้ใหญ่ไว้ใช้ร่มเงา กรองเสียงกรองฝุ่นก็ช่วยให้คุณได้ใช้ช่องเปิดของบ้านเพื่อรับแสงและลมธรรมชาติมากขึ้น ช่วยลดปริมาณการใช้ไฟหรือเครื่องปรับอากาศได้ ซึ่งนี่เป็นประโยชน์หลักของแนวคิด Eco Friendly แต่รู้หรือไม่ว่าผลพลอยได้ของการปลูกต้นไม้ที่ช่วยทำให้คุณ  Work-Life ได้ดีขึ้นก็มีอยู่เหมือนกัน

Office with blackboardเพราะจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Chungnam National University ของประเทศเกาหลี ระบุเอาไว้ว่า ต้นไม้สามารถช่วยปลอบประโลมจิตใจของคนเราได้ โดยผู้วิจัยได้รวบรวมผู้ชายจำนวนหนึ่งมาทำงาน 2 งาน คือ งานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และงานโยกย้ายพืช 

ผลปรากฏว่า ผู้รับการทดลองรู้สึกสงบจิตใจได้หลังจากทำงานโยกย้ายพืช มากกว่าการทำงานด้านคอมพิวเตอร์เสร็จ ซึ่งสาเหตุเป็นเพราะต้นไม้สามารถช่วยยับยั้งการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติที่ช่วยทำให้ลดความเครียดจากการทำงานได้ ดังนั้น การปลูกต้นไม้จึงช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายจากการทำงานได้อีกทางหนึ่งด้วย

4. Natural Light

มีงานวิจัยมาแล้วว่าถ้าทำงานในที่ทำงานที่มีแสงสว่างเหมาะสม จะช่วยลดความเครียดลงได้ โดยเฉพาะแสงธรรมชาติ (Natural light) สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ช่วยให้นอนหลับสนิทขึ้น เพิ่มฮอร์โมน Serotonin ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยทำให้เรารู้สึกสงบ และมีสมาธิ Focus กับงานมากขึ้น

ดังนั้น หากคุณต้องการทำงานได้แบบเต็มที่ การหันโต๊ะทำงานเข้าหาหน้าต่างก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของงานได้ ส่วนในมุมพักผ่อนเองก็ควรจัดช่องแสงธรรมชาติพร้อมกรองด้วยม่านบางๆ ที่ช่วยทำให้รู้สึกสงบจิตใจและกันแสงแดดแรงๆ ที่ทำให้ร้อนจนเกินไปเอาไว้ด้วย

Mock up - modern living room, Japanese style. 3d rendering5. Ergonomic Design

การจัดโซนทำงานด้วยแนวคิด Ergonomic Design ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยทำให้คุณ Work-Life Balance ได้ เพราะนี่คือการเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่ช่วยทำให้คุณนั่งทำงานสบาย ไม่ต้องมานั่งปวดเมื่อยจนเป็นโรคออฟฟิศซินโดรมตามมาได้ นอกจากนี้การจัดโซนทำงานแบบ Ergonomic Design ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเราอีกด้วย โดยสิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการจัดการ Work Space คือ จอมอนิเตอร์ คีย์บอร์ด เมาส์ หูฟัง รวมถึงการเลือกใช้เก้าอี้ที่ออกแบบมาจากหลักสรีรศาสตร์โดยเฉพาะ

อ่านวิธีการเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์แนว Ergonomic Design ได้ที่ Work From Home ที่บ้านยังไงไม่ให้เจ็บปวด ส่องอุปกรณ์ทำงาน Egonomic ที่ช่วยคุณได้! 

และนี่คือ 5 แนวคิดในการแต่งบ้านแบบง่ายๆ ที่ช่วยให้คุณสามารถ Work-Life Balance ได้ หวังว่าเทคนิคนี้จะทำให้บ้านของเราน่าอยู่ น่าทำงาน แต่ก็สามารถจัดการเวลาระหว่างกิจกรรมทั้งสองอย่างได้อย่างเป็นระบบมากขึ้นด้วยนะครับ