แชร์ประสบการณ์ ขอสินเชื่อ กับธนาคาร ใครมือใหม่ควรอ่าน

ขอสินเชื่อ

เรื่องราวครั้งนี้เป็นของคุณ สมาชิกหมายเลข 3339384  สมาชิกจากเว็บไซต์ pantip.com ที่ได้มาแชร์ประสบการณ์ ขอสินเชื่อ กับธนาคาร เราลองไปดูกันว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรแต่บอกเลยน่ะค่ะว่าสำหรับท่านใดที่กำลังจะไปขอสินเชื่อควรอ่านค่ะ

ขอสินเชื่อ กับธนาคาร กับความน่าเชื่อถือที่หายไป

ขอสินเชื่อ

เรื่องมีอยู่ว่า วันที่ 24 พ.ค 59  เรากับ พี่สาวเราไป ขอสินเชื่อ  เพื่อซื้อที่ดินเปล่า กับ ธนาคาร สาขา The mall ท่าพระ  โดยวันดังกล่าวเรา  ได้ยื่นเอกสารประกอบการขอสินเชื่อ, หนังสือสัญญาจะซื้อจะขาย(หนังสือสัญญาระบุสิ้นสุดสัญญาวันที่24มิ.ย.59)พร้อมเอกสารหลักประกัน(สำเนาโฉนดที่ดิน)ในการขอสินเชื่อ โดยเบื้องต้น  คุณ A  (พนักงานฝ่ายสินเชื่อธนาคารสาขาThe mall ท่าพระ) เป็นผู้รับเรื่อง

และเราก็มีการถามถึงอัตราดอกเบี้ย และระยะเวลาผ่อนชำระ ซึ่งทางคุณ A แจ้งว่าดอกเบี้ย  ช่วงนี้มีแคมเปญอยู่  เดี๋ยวจะให้น้องอีกคนดูให้ แต่คราว ๆ ระยะเวลาผ่อนชำระ 30ปี ซึ่งวันนั้น เป็นช่วงเย็นแล้ว ประมาณเกือบจะ 1 ทุ่ม แล้ว ทางคุณ A จึงขอเอกสารไว้ตรวจสอบก่อน

หลังจากนั้นทางคุณ A  ได้โทรมาขอเอกสารเพิ่มเติมกับทางพี่สาวเรา เนื่องจากเอกสารยังไม่ครบ  ในวันอาทิตย์ที่ 29 พ.ค 59  โดยให้มาติดต่อที่ คุณ  B  ( พนักงานฝ่ายสินเชื่ออีกคน ของธนาคาร สาขา The mall ท่าพระ ) ซึ่งทาง คุณ A  แจ้งว่า คุณ B จะเป็นผู้ดำเนินการ เรื่องสินเชื่อให้แก่เรา

และ ในวันอาทิตย์ ที่ 29 พ.ค 59 ทางพี่สาวเรา ได้เขาไปพบ คุณ B ที่ธนาคาร สาขา The mall ท่าพระ  เพื่อส่งเอกสารเพิ่มเติม ( ซึ่งเราก็ได้ให้ทางพี่สาวเรา ไปคุยเรื่องอัตราดอกเบี้ยด้วย เพราะทางเรายังไม่ได้รายละเอียด ของอัตราดอกเบี้ย )  พี่สาวเราก็ได้สอบถามถึงอัตราดอกเบี้ย ในการกู้ซื้อที่ดินเปล่า และระยะเวลาการผ่อนชำระกับทางคุณ B ซึ่งทาง คุณ B (พนักงานสินเชื่อ) ได้ให้ข้อมูลกับทางพี่สาวเรา ดังนี้

 

ระยะเวลาผ่อนชำระ 30 ปี

อัตรา ดอกเบี้ย ทาง คุณ B แจ้งว่า มี อัตราดอกเบี้ย 3 ทางเลือก ได้แก่

ทางเลือกที่ 1       ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.99 %     ปีที่ 2 และ ปีที่ 3  MRR-1.25%

ต่อมา ทางเลือกที่ 2       ปีที่ 1 และ ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย  5 % ปีที่ 3 MRR-1.25%

และสุดท้าย ทางเลือกที่ 3       ปีที่ 1 MRR-3.5 %  ปีที่ 2 MRR-2.5 %  และ ปีที่ 3 MRR -1.25%

ซึ่งทาง คุณ B แจ้งกับ พี่สาวเรา ว่าให้พี่ ( คุณ B ) เลือกดอกเบี้ยให้เลยนะคะ  ซึ่งทางคุณ B เลือกทางเลือกที่ 1 ให้  และแจ้งกับทางพี่สาวเราด้วยว่า ดอกเบี้ยทางเลือกที่1 คุ้มที่สุด ซึ่ง ณ วันนั้นทางพี่สาวเรา ก็ได้โทรมาบอกเราว่าทางคุณ B (พนักงานสินเชื่อของธนาคาร) เลือกอัตราดอกเบี้ยให้ คือ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.99 %  ปีที่ 2 และ ปีที่ 3 MRR-1.25% ซึ่งเป็นดอกเบี้ยที่คุ้มที่สุด

ซึ่งเราก็บอกพี่สาวว่า หากพนักงานแจ้งว่าเป็นทางเลือกที่คุ้มที่สุด ก็ OK  เราก็ตอบตกลงกับพี่สาวเราไป  และหลังจากพนักงานประเมิณที่ดิน ได้เข้ามาสำรวจหลักทรัพย์แล้ว  เราก็ติดตามเรื่องสินเชื่อ กับทาง คุณ B  เป็นระยะๆ มาโดยตลอด เพราะกลัวจะไม่ทันกำหนดเวลาในสัญญา

จนถึงวันที่ 23 มิ.ย 59 ทาง คุณ B ได้โทรมาแจ้งให้ทราบว่าสินเชื่อได้ อนุมัติ เรียบร้อยแล้ว ให้เข้ามาเซ็นต์สัญญาได้ ในวันที่ 24 มิ.ย 59

ซึ่งเราก็ได้สอบถามกลับไปว่าหลักทรัพย์ ประเมิณได้ เท่าไหร่  ทางคุณ B ก็แจ้งว่าอนุมัติ ที่ 2,100,000 บาท  เราก็ถามเพิ่มไปอีกว่าแล้วต้องผ่อนชำระเดือนละเท่าไหร่  ทางคุณ B แจ้งว่าต้องผ่อนชำระ เดือน ละ 19,200 บาท

ซึ่งเมื่อได้ยิน อัตราผ่อนชำระก็รู้สึกแปลกใจว่าทำไมถึงผ่อนชำระสูงมาก  ซึ่งหากอัตราดอกเบี้ย 2.99 %  ค่างวดผ่อนชำระน่าจะอยู่ที่ประมาณ 10,000 ต้น ๆและทาง เราก็ได้แจ้งกับ คุณ B ว่าธนาคารมีการคำนวณอย่างไรทำไมอัตราการผ่อนชำระถึงสูงมากขนาดนี้

ทางคุณ B แจ้งว่าจะให้พนักงานอีกคนคำนวณให้ดู ตอนวันที่มาเซ็นต์สัญญา  เพราะเขาไม่รู้ว่าคำนวณอย่างไง  เราก็งง ๆ ว่า ทำไมพนักงานฝ่ายสินเชื่อของธนาคาร คำนวณดอกเบี้ยไม่เป็น

หลังจากนั้นเรา จึงได้โทรไปเพื่อจะขอเบอร์ผู้จัดการสาขา เพื่อคุยกับทางผู้จัดการสาขา กับทาง คุณ B  ซึ่ง คุณ B  ก็แจ้งเราว่าไม่สามารถให้เบอร์ได้เป็นนโยบายของทางสาขา

เราเลยโทรเข้าไปที่สาขาอีกครั้ง เจอพนักงานท่านอื่นรับสาย พนักงานบอกว่าขอเบอร์ และชื่อติดต่อ  เดี๋ยวให้ทางผู้จัดการสาขาโทรกลับ ทางผู้จัดการไม่ได้โทรกลับหาเราแต่เป็น คุณ A (ปพนักงานสินเชื่อ คนแรก)  โทรกลับมาถามว่าติดปัญหาอะไร

เราก็เลยแจ้งว่าอยากทราบว่า ธนาคารมีการคำนวณอัตราดอกเบี้ยอย่างไร ทำไมอัตราการผ่อนชำระสูงมาก  ทางคุณ A  บอกว่าให้เราเขาไปพบวันที่ 25 มิ ย. 59 และจะคำนวณดอกเบี้ยให้ดูว่าเท่าไหร่ ( ซึ่งก่อนจะหมดสัญญา จะซื้อจะขาย ในวันที่ 24 มิ.ย 59   เราได้โทรไปคุย กับทางผู้ขายว่าขอเลื่อนกำหนดทำนิติกรรมที่กรมที่ดิน เป็นไม่เกินวันที่ 30 มิถุนายน 2559 )   ซึ่งทางผู้ขาย ขยายเวลาให้ แต่ต้องมัดจำเพิ่ม อีก 100,000 บาท ซึ่งหากเกินกำหนดทำนิติกรรมที่กรมที่ดิน วันที่ 30 มิถุนายน 2559 ทางผู้ขายจะริบเงินมัดจำทันที

ในวันที่ 25 มิ.ย 59  เราได้เดินทางเข้าไปที่ธนาคารไปพบ คุณ A  ซึ่งทาง คุณ A  ก็แจกแจงให้เราทราบว่าอัตราดอกเบี้ย ไม่ใช่ 2.99%   แต่เป็น 7.375 %  และ ระยะเวลาการผ่อนชำระ คือ 16 ปี ไม่ใช่ 30 ปี  และดอกเบี้ยที่ต้องเสียให้กับธนาคารคือ 13,000 บาท ต่อเดือน พอเราทราบอย่างนั้นก็ตกใจมาก  และแจ้งกับ คุณ A ว่า  คุณ B เป็นคนเลือกอัตราดอกเบี้ย 2.99 % ให้และ แจ้งกำหนดระยะเวลา การผ่อนชำระ 30 ปี    ทางคุณ A แจ้งว่าพนักงาน คุณ B แจ้งผิด เราก็เลยถามว่าแจ้งผิดแล้วทำไม ไม่แจ้งให้ทางลูกค้าทราบเลย

จนถึงวันเซ็นต์สัญญา ทาง คุณ A บอกว่าทำอะไรไม่ได้แล้วค่ะ ช่วยได้แค่ให้เรา เขียนคำร้องให้ขยายระยะเวลาการผ่อนชำระออกไปเพื่อลดอัตราการผ่อนชำระลง   ซึ่งตอนนั้น เรากับพี่สาวเราก็ได้ทำเรื่องไป ทางคุณ A จะแจ้งให้ทราบผลในวันจันทร์ ที่ 27 มิ.ย 59 ซึ่งพอถึงวันจันทร์  ทางคุณ A   แจ้งกลับมาว่าคำร้องที่เขียนไปไม่อนุมัติต้องผ่อนชำระที่ อัตราดอกเบี้ย 7.375 %ระยะเวลาผ่อนชำระ คือ 16 ปี

คือ ณ ตอนนั้น คือทำอะไรไม่ได้แล้ว  เพราะผู้ขายให้ระยะเวลาแค่ วันที 30 มิ ย.59 เท่านั้น  ไม่อย่างนั้นโดนริบเงินมัดจำทั้งหมด จะไปขอสินเชื่อกับธนาคารอื่นก็คงไม่ทัน  หรือหาแนวทางอื่น ๆ ก็ไม่ทันแล้ว เพราะเหลือเวลาแค่ 2 วันเท่านั้น

เราจึงต้องจำยอม  ทำสัญญากับธนาคาร ในอัตราดอกเบี้ย จากเดิม พนักงานฝ่ายสินเชื่อของธนาคารเลือกให้  2.99 %  เป็น 7.375 %   ระยะเวลาผ่อนชำระ เดิม  พนักงานฝ่ายสินเชื่อธนาคาร แจ้งว่า 30 ปี  เหลือ เป็น 16

ฃจากความผิดพลาดของทางธนาคาร  เรา (ซึ่งเป็นลูกค้า )ไม่ได้รับคำขอโทษจากพนักงานของธนาคาร สาขา The Mall  ท่าพระเลย แถมทาง คุณ  B ก็ยังแจ้งว่า ให้เราช่วยทำประกัน หรือฝากเงิน  สักเดือนละ 100,000 บาทก็ได้พอดี  ผู้จัดการอยากให้ช่วยทำให้หน่อยต้องการยอดต้องการผลงาน

คือ ตอนนั้น เรารู้สึก แย่กับธนาคารมาก และอยากจะด่าแบบแรง ๆ ไปเลย  คือเรามีปัญหาเรื่องดอกเบี้ย  ซึ่งธนาคารควรจะรับผิดชอบแต่ทางธนาคาร ยังมาพูดให้ช่วยทำยอดให้อีก

ในวันที่ 4 ก.ค 59    เราได้ร้องเรียน ไปยัง Call Center ของ ธนาคาร เบอร์ xxx  ซึ่งในช่วงบ่ายทาง ผู้จัดการธนาคาร สาขา The Mall  ท่าพระ ได้โทรมาพูดคุยและขอโทษต่อความผิดพลาดที่เกิดขึ้น  และแจ้งว่า ได้ว่ากล่าวตักเตือน พนักงานฝ่ายสินเชื่อ  คุณ B ไปแล้ว

ซึ่งความผิดพลาดที่เกิดขึ้นทางผู้จัดการแจ้งว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงและดำเนินการใด ๆ ได้   นอกจากต้องรอเวลา 2 ปี ก่อน ถึงจะรีไฟแนนซ์ ไปยังธนาคารอื่น  แต่ต้องเสียค่าธรรมเนียม 3 % ของวงเงินกู้ที่ยังเหลืออยู่กับทาง ธนาคารด้วย  ซึ่งนั่นคือ คำตอบที่เราได้รับ

 

จากเหตุการณ์ที่ เราได้เล่ามาข้างต้น เราได้ร้องเรียนไปยังธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว

หลังจากที่เราร้องเรียนไปยังธนาคารแห่งประเทศไทย แล้ว ก็ได้มีผู้บริหารของธนาคารท่านหนึ่ง จะขอมาพบและอธิบายถึงเรื่องดังกล่าว ซึ่งเราก็ได้นัดมาพบ ในวันที่ 22 ก.ค 59 ซึ่งวันนั้น ผู้บริหารของธนาคาร มาพร้อมด้วย ผู้จัดการสาขา และ พนักงาน คุณ B ซึ่งก็เป็นครั้งแรกจากที่มีเรื่อง พนักงาน คุณ B ได้พูดขอโทษเราและยอมรับว่าตัวเองแจ้งดอกเบี้ยผิด  ซึ่งผู้บริหารก็ได้พูดกับเราเกือบ 1 ชั่วโมง ผู้บริหารท่านนั้นก็ได้ขอโทษเราแทนพนักงาน และยอมรับผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น

แต่สาระสำคัญ ที่จับประเด็นได้คือ ผู้บริหารท่านนั้น แจ้งเราว่าดอกเบี้ยดังกล่าวและ ระยะเวลาการกู้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้ว และผู้บริหารก็ได้บอกความลับของ ธนาคารให้เรารู้ว่า พนักงาน ตามสาขาย่อย ต่าง ๆ ไม่มีความชำนาญในการทำเรื่องสินเชื่อ  ****  ตรงนี้ ขอ **** เลยนะคะ  เพื่อน ๆ ใน Pantip ได้ยินถูกต้องแล้วค่ะ ผู้บริหารท่านนั้นแจ้งว่า พนักงาน ตามสาขาย่อย ต่าง ๆ ไม่มีความชำนาญการในการทำเรื่องสินเชื่อ

นั่นหมายถึงว่า ธนาคารไม่มีความเชื่อถือ เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าพนักงานคนไหน ชำนาญ  หรือ ไม่ชำนาญ   แจ้งดอกเบี้ยเราถูกต้องหรือไม่ และผู้บริหารท่านนั้นยังบอกว่า หากเรายังยืนยันที่จะเอาเรื่อง คนที่รับผิดชอบคือ พนักงาน B และ ผู้จัดการสาขาอาจต้องโดนหักเงินเดือน  ( อืม…… มาพูดให้เราอย่าเอาเรื่อง ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะเดือนร้อน …… แล้วเราละเดือดร้อนไหม )

และที่คุยกันวันนั้น เราได้แจ้งกับผู้บริหารไปคือ เราไม่สามารถยอมรับได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เราคือลูกค้า  เพราะคำพูดที่ผู้บริหารท่านนั้นแจ้งเราหมายถึง ว่าคุณไม่มีความรับผิดชอบใด ๆ พนักงานธนาคารจะพูดอะไรก็ได้ หรืออาจจะหลอกลวงลูกค้าอย่างไรก็ได้งั้นหรอ  ไม่มีความเชื่อถือ แจ้งดอกเบี้ยผิดๆ ธนาคารเองไม่มีความรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น เนื่องจากเหตุการณ์ ดังกล่าว  ทำให้เราต้องรับภาระดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ทำให้การวางแผน ทางการเงินเสียหาย

 

โดยความเสียหายที่เกิดขึ้นมาจากพนักงานสินเชื่อของธนาคารที่ให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง

เราเลยบอกผู้บริหารท่านนั้นไปว่า หากเปรียบได้ว่าพนักงานของธนาคาร  คือ ตัวแทนขององค์กร   ทางองค์กรควรตระหนัก และรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น หากพนักงานของธนาคารไม่สามารถให้ข้อมูลกับลูกค้าได้อย่างถูกต้อง  ไม่มีความน่าเชื่อถือ ทำความเสียหายให้กับลูกค้า  ทางธนาคารควรรับผิดชอบ  และหากคุณบอกว่าพนักงานคุณไม่มีความชำนาญ คุณควรจะกลับไปปรับปรุงกระบวนการของทางธนาคารคุณเสียใหม่ค่ะ

เมื่อเราไม่ยอม จบเรื่องดังกล่าว ผู้บริหารท่านนั้น ก็บอกให้เราทำเอกสารขึ้นมา 1 ฉบับ  เพื่อส่งเรื่องไปยังฝ่ายพิจารณาอีกครั้ง   เพื่อน ๆ ค่ะขณะนี้ จะครบ 3 เดือน แล้วเรายังไม่ได้รับความรับผิดชอบ ใดๆจากธนาคารเลย  และ เป็นอย่างเคยค่ะ ลูกค้าอย่างพวกเราก็ต้องโทรตามเองตลอด(แต่พอเรื่องที่จะโทรมาให้ซื้อประกัน ทำบัตรเครดิต โน่นนี่นั่น โทรมาได้ทุกวัน เลยเนอาะ)

 

เราจึงอยากโพส เพื่อเตือน และเป็นอุธาหรณ์ กับเพื่อน ๆ ทุกคน

และให้พึ่งระวังที่จะไปทำธุรกรรมทางการเงิน ขอสินเชื่อ กับธนาคาร ตัวเราเองก็ไม่เคยคิดว่าจะเจอเรื่องแบบนี้  เราคงไม่รู้หรอกค่ะว่า เราจะเจอกลโกงในรูปแบบไหนบ้าง พนักงานธนาคารเดี๋ยวนี้ดิ้นรนกันอยากได้ยอด ต่าง ๆ จากลูกค้า  เราเองคิดว่าเราจะไม่ทำธุรกรรมอะไรกับธนาคารนี้อีกแล้ว เพราะนี่คือครั้งแรกที่เราทำธุรกรรมกับธนาคาร และจะเป็นครั้งสุดท้ายค่ะที่จะเลือกธนาคารนี้ค่ะ

ปล. เราจะไม่ยอมให้ธนาคารมาหลอกลวงประชาชน   โดยเขียน นโยบายไว้สะสวยหรู ว่า ธนาคารมีความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค  แต่ความจริงแล้วไม่มีเลย   เราจะทำทุกอย่างเพื่อรักษาสิทธิของเราค่ะ

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก คุณ สมาชิกหมายเลข 3339384  สมาชิกจากเว็บไซต์ pantip.com

 

สนใจข้อมูลข่าวสารเด่นๆ คอนเทนท์ร้อน ที่เราหามาเสริฟให้คุณผู้อ่านในทุกๆวันจาก Dotproperty คลิ๊ก …