วังทองกรุ๊ป มั่นใจครึ่งปีหลังลูกค้าตัดสินใจเร็วขึ้น ยันไม่มีการปรับแผน

w1วังทองกรุ๊ป ไม่ปรับแผนมั่นใจยอดขาย 3,000 ล้านบาท รับรู้รายได้ 2,100 ล้านบาทตามเป้า แม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรกยอดขายจะชลอตัว เพราะผลกระทบทางการเมืองและเศรษฐกิจหดตัว พร้อมมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งไม่ล้มเหมือนปี 2540 คาดครึ่งปีหลังลูกค้าเพิ่ม และตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น พร้อมดันยอดขายตามเป้า ผุด 6-8 โครงการใหม่มูลค่า 4,000 – 5,000 ล้านบาทในปีนี้

“ในปีที่ผ่านมา ยอดขายรวม 1,700 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ 1,000 ล้านบาทเศษ เป็นไปตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ สำหรับปีนี้ วังทองตั้งเป้าเอาไว้ที่ 3,000 ล้านบาท ยอดรับรู้รายได้ 2,100 ล้านบาท ซึ่งปีนี้มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 6-8 โครงการ มูลค่า 4,000 – 5,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 40% และทาวน์เฮาส์ 60% เน้นโครงการแนวราบพร้อมอยู่ในสัดส่วน 70-80% และอีก 20-30% นั้นจะเป็นบ้านที่ลูกค้าสั่งสร้าง” นายปราโมทย์ เจษฎาวรางกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท วังทองกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าว

“สำหรับในปี 2557 นี้ วังทองฯ เปลี่ยนระบบก่อสร้างเป็น 50:50 ระหว่างระบบเก่ากับระบบพรีแฟบ ซึ่งมีการก่อตั้งโรงงานผลิตผนังในปี 2556 เพื่อเป็นการรองรับการก่อสร้างของวังทองกรุ๊ป ที่มีการลงทุน 40 ล้านบาทและอาจจะมีแผนเพิ่มโรงงานแห่งที่สอง เพื่อเป็นการลดต้นทุนการผลิต และค่าขนส่ง หลังจากใช้ระบบพรีแฟปทำให้ระยะเวลาในการก่อสร้างสั้นลง จาก 6 เดือนเป็น 3 เดือนทำให้ผลิตบ้านพร้อมอยู่ได้เร็วและได้จำนวนมากขึ้น พร้อมทั้งสามารถลดต้นทุนการผลิตได้มากขึ้น”

นอกจากนี้วังทองฯ ยังมีแผนที่จะนำเอาโครงการเก่าที่เคยประสบความสำเร็จเมื่อ 30 ปีที่แล้วมาปัดฝุ่นใหม่ พร้อมกันนี้ยังเตรียมตัวเปิดโครงการใหม่เพิ่มขึ้นอีก 6-8 โครงการ ในไตรมาสแรกได้เปิดตัวไปแล้วจำนวน 2 โครงการ ประกอบด้วย โครงการ เดอะพาลาซเซตโต้ คลองหลวง และวราบดินทร์รังสิต คลอง 3 สำหรับโครงการ “เดอะ พาลาซเซตโต้ คลองหลวง” นั้นเป็นโครงการทาวน์โฮม ที่มีเนื้อที่ 31 ไร่ ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 1.7 ล้านบาท ส่วนโครงการ “วราบดินทร์รังสิต คลอง 3” มีเนื้อที่โครงการ 39 ไร่ โดยพัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวจำนวน 166 ยูนิต ที่ราคาเริ่มต้น 3.8 ล้านบาท ส่วนโครงการใหม่ที่เหลืออีก 4-6 โครงการนั้นยังอยู่ในระหว่างการจัดซื้อที่ดิน และการออกแบบรวมไปถึงการกำหนดราคาขายโครงการ

อย่างไรก็ตาม วังทองฯ ยังยืนยันที่จะเดินตามแผนเดิมที่ได้วางไว้แต่เดิม ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของการพัฒนาโครงการ และเป้าหมายยอดขาย และยอดรับรู้รายได้ เนื่องจากมั่นใจว่าการตัดสินใจซื้อของลูกค้าที่ชะลอออกไปในช่วงต้นปีนี้จะกลับมาตัดสินใจซื้อในช่วงครึ่งปีหลังได้เร็วขึ้น ไม่ว่าภาวะทางการเมืองจะมีทิศทางเป็นอย่างไรก็ตาม เนื่องจากมั่นใจว่าพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยนั้นยังคงมีความแข็งแกร่ง แม้ว่าการเมืองจะมีปัญหา แต่จะไม่กระทบรุนแรงจนส่งผลให้เศรษฐกิจไทยล้มเหมือนกับปี 2540 อย่างแน่นอน ดังนั้นการชะลอซื้อที่อยู่อาศัยจึงจะเกิดขึ้นเพียงแค่ครึ่งปีแรกเท่านั้น

 

<em>ข่าวและบทความข้างต้นนี้จัดทำโดย ฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท ดอท พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด หากท่านมีข้อสงสัยหรือต้องการส่งข่าวเกี่ยวกับแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการประชาสัมพันธ์ สามารถติดต่อได้ที่ [email protected]</em>