สัญญาณบวกตลาดคอนโดมิเนียมเริ่มมา หลังพบยอดโครงการใหม่แซงทาวน์เฮ้าส์

หลังจากผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งอุปสรรคตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 2 ในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมที่ผ่านมา สถานการณ์ในตลาดคอนโดมิเนียมเริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยข้อมูลจาก ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานบริษัท เอเจนซี่ ฟอร์เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA ได้เปิดเผยว่า ตลาดคอนโดได้กลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยพบว่ามีจำนวนโครงการเปิดขายใหม่ทั้งหมด 36 โครงการ รวมไปถึงมีจำนวนหน่วยขาย ยอดขายตลาดคอนโด และมูลค่าโครงการที่เพิ่มขึ้น โดยมีจำนวนยูนิตขายทั้งหมด 10,265 หน่วย มูลค่าการพัฒนาโครงการรวม 37,253 ล้านบาท

cityscape view and buidling in Bangkok, Thailand

โครงการใหม่ ตลาดคอนโดแซงหน้าทาวน์เฮ้าส์

ข้อมูลจากบริษัท เอเจนซี่ ฟอร์เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA ชี้ว่าในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีจำนวนยูนิตขายจากโครงการใหม่ทั้งหมด 10,265 หน่วย ซึ่งพบว่าประเภทที่มีจำนวนยูนิตเปิดขายใหม่มากที่สุด กลับมาเป็นตลาดคอนโดอีกครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้พบว่าตลาดทาวน์เฮ้าส์ มียอดเปิดโครงการใหม่มากกว่าติดต่อกันเป็นเวลา 6 เดือน โดยตลาดคอนโดมีจำนวนยูนิตเปิดขาย 4,624 หน่วย (45%) รองลงมาคือทาวน์เฮ้าส์ 3,480 หน่วย (33.9%) และบ้านเดี่ยว 1,202 หน่วย (11.7%) ซึ่งเมื่อนำมาเปรียบเทียบกันแล้ว จะพบว่าจำนวนยูนิตขายของที่อยู่อาศัยในทุกประเภทเพิ่มขึ้น สะท้อนสถานการณ์ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวมที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย

โดยมูลค่ารวมของการพัฒนาโครงการอสีงหาริมทรัพย์ที่เกิดขึ้นใหม่ในเดือนสิงหาคม 2563 มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 37,2563 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 16,675 ล้านบาท หรือประมาณ 81% ซึ่งพบว่าสินค้าที่เข้าสู่ตลาดในช่วงนี้ จะมีระดับราคาปานกลางไปจนถึงล่าง โดยเน้นการพัฒนาตอบโจทย์กลุ่มเรียลดีมานด์ และเน้นจับกลุ่มระดับกลางล่างมากขึ้น

จากวิกฤตโควิด 19 ผู้ประกอบส่วนใหญ่ได้ชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่เป็นช่วงระยะเวลาหลายเดือน ซึ่งหลังจากผ่านพ้นช่วงที่รุนแรงที่สุดในไตรมาสที่ 2 มาแล้ว ผู้ประกอบการหลายรายเริ่มมีความพร้อมมากขึ้น จึงได้กลับมาทยอยเปิดตัวโครงการใหม่มากขึ้น ทำให้ในเดือนสิงหาคม 2563 ที่ผ่านมา มีจำนวนโครงการ จำนวนยูนิต และมูลค่าโครงการเพิ่มขึ้น แต่อย่างก็ตาม กลับพบว่าราคาขายเฉลี่ยต่อยูนิตมีการปรับราคาลดลงถึงประมาณ -19.7% เนื่องจากกสินค้าที่เข้ามาสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงนี้ เป็นสินค้าที่อยู่ในระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยมีจำนวนถึง 6,218 ยูนิต หรือเป็นสัดส่วนประมาณ 60,6% ของจำนวนยูนิตทั้งหมดในตลาด ทำให้ราคาเฉลี่ยในภาพรวมนั้นมีราคาปรับตัวลงจากปีที่แล้ว ราคาขายเฉลี่ยที่ปรับลดลงมาจากราคาขายเฉลี่ยของเดือนกรกฎาคม 2563 ที่มีราคาเฉลี่ยประมาณ 3.629 ล้านบาท เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 4.522 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าแนวโน้มของการพัฒนาที่อยู่อาศัย เริ่มปรับตัวเข้าหากลุ่มลูกค้าที่มี่ระดับรายได้ปานกลางไปจนถึงระดับล่าง โดยตลาดคอนโดเอง ก็ไม่พบเห็นการพัฒนาสินค้าในระดับ Luxury มากเท่ากับช่วง 3-4 ปีก่อนหน้าเช่นกัน

สำหรับทำเลที่ตั้ง เนื่องจากผู้ประกอบการเน้นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยนในระดับราคาที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าระดับปานกลางไปจนถึงล่าง ทำให้ทำเลที่ตั้งของโครงการซึ่งเป็นสินค้าในช่วงนี้ส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในทำเลส่วนต่อขยายของเมือง (Intermediate area) ซึ่งเป็นทำเลที่เริ่มมีการขยายตัวของสิ่งอำนวยความสะดวก ระบบขนส่งมวลชน ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายและรถไฟฟ้าสายใหม่ ไม่ว่าจะเป็น ทำเลถนนติวานนท์ ทำเลถนนแจ้งวัฒนะ ทำเลถนนลาดพร้าว ทำเลถนนรามอินทรา ทำเลถนนบางนา-ตราด ทำเลถนนเทพารักษ์ ทำเลถนนสุขสวัสดิ์ ทำเลถนนเพชรเกษม เป็นต้น โดยมีจำนวน 26 โครงการ มีเพียง 3 โครงการเท่านั้น ที่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเพทชั้นใน

โดยนอกเหนือจากนี้ ยังมีโครงการที่อยู่อาศัยอีกจำนวน 7 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการที่อยู่ทำเลรอบนอกของเมือง แต่เป็นทำเลที่เป็นทำเลเฉพาะ ใกล้แหล่งงานและสถาบันการศึกษาในทำเลเมืองรอบนอก ได้แก่ ทำเลไทรน้อย ทำเลเศรษฐกิจ และทำเลคลองหลวง เป็นต้น

หลังจากที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ต่างงัดทุกกลเม็ด พลิกแพลงทุกกลยุทธ์ เพื่อปรับตัวให้สอดรับและเท่าทันกับสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนไป ทำให้พบว่าช่วงไตรมาสที่ 3 ภาพรวมยอดขายคอนโดและตลาดอสังหาริมทรัพย์นั้นปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ใช่ว่ากลับมาสู่สภาวะตลาดปกติแล้ว ดังนั้นก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์จะกลับมาสู่สัญญาณบวกในระยะเวลาอันใกล้นี้ได้หรือไม่