เรื่องสำคัญ ถ้าไม่อยากเสียรู้กับ”การทำประกันบ้าน”

ในการปลูกบ้านสร้างบ้านสมัยนี้เมื่อมีการกู้เงินเพื่อทำการสร้างบ้าน ซื้อบ้าน สิ่งที่มักจะพ่วงมากับการกู้เงินเพื่อที่อยู่อาศัยคือ การทำประกันบ้าน สิ่งนี้มักถูกพ่วงมากับการกู้ซื้อบ้านเสมอ เพื่อป้องกันความเสี่ยงหรือความรู้เท่าไม่ถึงการในครั้งนี้ก่อนที่เราจะตัดสินใจทำประกันใด ๆ ก็ตาม เราลองมาทำความเข้าใจกับประกันเกี่ยวกับบ้านกันก่อนดีกว่า

เจ้าของบ้านหลังใหม่ในปัจจุบันที่มีบ้านโดยผ่านขั้นตอนการขอสินเชื่อต่างๆ จากสถาบันการเงินใดๆ ก็ตาม ต่างโอดครวญกันมาหลายเสียงแล้วว่าในการขอกู้ซื้อบ้านแต่ละครั้งมักจะมีการเสนอขายกรมธรรม์ที่พ่วงมาเป็นเงื่อนไขในการอนุมัติสินเชื่อจากธนาคารหรือสถาบันการเงิน ด้วยจำนวนเบี้ยประกันที่ถือว่าสูงมากและจ่ายในงวดเดียว ทำให้หลายคนเกิดคำถามว่าทำไมต้องทำ ทำแล้วได้อะไร วันนี้เราจึงได้รวบรวมข้อมูลและสิ่งที่ควรรู้ก่อนที่จะทำประกันบ้านเพื่อเป็นคำตอบให้คุณ

โดยปกติแล้วประกันที่พ่วงมากับสินเชื่อเพื่อบ้านคือประกันอัคคีภัย เป็นประกันที่คุ้มครองบ้านจากการเกิดอัคคีภัย คุ้มครองเฉพาะตัวบ้านไม่รวมถึงที่ดิน เมื่อเกิดอัคคีภัยขึ้น สำหรับบ้านที่ไม่มีภาระหนี้ผลประโยชน์ตามกรมธรรม์จะเป็นของเจ้าของบ้านโดยตรง แต่ถ้าบ้านติดจำนองอยู่กับธนาคารผู้รับผลประโยชน์คือธนาคารโดยหักไปกับหนี้ที่เหลือ เจ้าของบ้านจะมีหนี้น้อยลงหรือหมดไปแล้วแต่กรณี ประกันอัคคีภัยจะครอบคลุมความเสียหายของบ้านจากเหตุต่าง ๆ 3 เหตุการณ์คือ ไฟไหม้ ฟ้าผ่า แก๊สจากการทำแสงสว่างหรือใช้ประโยชน์ในบ้าน แต่ในกรณีนี้จะไม่รวมการระเบิดเนื่องจากแผ่นดินไหว ความคุ้มครองอื่น ๆ ตามที่ระบุเพิ่มเข้ามาในกรมธรรม์ การประกันภัยบ้านโดยปกติแล้วจะมี 3 ประเภทคือ

– ประกันอัคคีภัย

จะเป็นประกันภัยที่ทำเป็นระยะเวลาสั้น ๆ แต่ต้องทำเป็นประจำ เช่น ทุกปี หรือทุก 2-3 ปี ยิ่งเลือกระยะเวลาในการประกันที่มาก ค่าเบี้ยประกันก็จะยิ่งถูกลง เบี้ยประกันของประกันอัคคีภัยไม่ได้กำหนดตายตัวว่าต้องเป็นเท่าไร จะขึ้นอยู่กับบริษัทประกันและลักษณะของอาคาร แต่ส่วนใหญ่สำหรับบ้านเดี่ยวจะไม่เกิน 0.1% เป็นประกันภัยซึ่งกฎหมายบังคับให้บ้านใหม่ทุกหลังต้องทำประกันภัย

– ประกันภัยพิบัติ

การประกัยภับประเภทนี้จะเป็นการคุ้มครองบ้านจากภัยธรรมชาติต่าง ๆ เช่นน้ำท่วม แผ่นดินไหวและพายุ โดยต้องเป็นภัยธรรมชาติที่เข้าเงื่อนไขเป็นภัยพิบัติ ดังนี้

มีการประกาศเป็นภัยพิบัติรุนแรง ตามคำแนะนำของกระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ค่าสินไหมทดแทนรวมของผู้เอาประกันภัย ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัยพิบัติมากกว่า 5,000 ล้านบาท ต่อหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน 60 วัน โดยมีการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตั้งแต่ 2 รายขึ้นไป

แผ่นดินไหว ความรุนแรงตั้งแต่ 7 ริกเตอร์ขึ้นไป
พายุ ความเร็วลมตั้งแต่ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

แต่ประกันภัยพิบัติจะไม่ครอบคลุมบ้านในพื้นที่ซึ่งถูกกำหนดไว้ว่าเป็นพื้นที่รองรับน้ำ พื้นที่กักเก็บน้ำ หรือทางน้ำผ่าน ซึ่งได้รับความช่วยเหลือโดยตรงจากภาครัฐอยู่แล้ว ประกันภัยพิบัติสำหรับบ้านอยู่อาศัย จะต้องเสียเบี้ยประกัน 0.5% ของราคาบ้านต่อปี เป็นประกันที่รัฐบาลไม่ได้บังคับ จะทำหรือไม่ทำก็ได้

– ประกันคุ้มครองหลักทรัพย์ TMRA

คือประกันชีวิตที่ทำขึ้นสำหรับคุ้มครองบ้านหรือที่ดินสำหรับผู้ขอสินเชื่อในการซื้อบ้าน สำหรับเจ้าของบ้านที่กู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินมาซื้อบ้านแล้วเกิดเสียชีวิตหรือสูญเสียความสามารถในการใช้หนี้ไปก่อนครบสัญญา ทางบริษัทประกันก็จะชดใช้หนี้สินในส่วนที่เหลือให้กับธนาคารแทน ถือเป็นการประกันอนาคตของครอบครัวผู้ขอสินเชื่อ และประกันความเสี่ยงให้กับทางธนาคารไปในเวลาเดียวกัน

เบี้ยประกันจะขึ้นอยู่กับราคาประเมินของหลักประกันหรือสินทรัพย์ซึ่งแต่ละบริษัทประกันภัยจะกำหนดไว้ไม่เท่ากัน ส่วนมากไม่เกิน 5.5% เป็นประกันระยะยาวที่จ่ายเป็นครั้ง อาจจะเพียง 3 ปี หรือตลอดอายุการกู้ยืมก็ได้ จำนวนเงินเอาประกันจะลดลงเรื่อย ๆ ตามยอดหนี้ซึ่งลดลงทุกปี ประกันชนิดนี้เป็นประกันที่รัฐบาลไม่ได้บังคับให้ทำ ดังนั้นจะทำหรือไม่ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของผู้เอาสินเชื่อเอง

ในบรรดาประกันเกี่ยวกับบ้านทั้ง 3 ประเภท มีเพียงประกันอัคคีภัย ที่ต้องทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และมีเบี้ยประกันเพียง 0.1 % เท่านั้น ดังนั้นทางธนาคารไม่มีสิทธิ์บังคับซื้อประกันอื่น ๆ เพิ่มเติม

ประกันที่เป็นปัญหาที่สุดสำหรับผู้ขอสินเชื่อในปัจจุบันนี้คือ ประกันคุ้มครองหลักทรัพย์ TMRA ที่มีตัวเลขของเบี้ยประกันที่ค่อนข้างสูง และต้องจ่ายเป็นก้อนในตอนทำสัญญากู้ยืม ซึ่งธนาคารหลายแห่งพูดจาเชิงว่าบังคับให้ทำ เพราะทางธนาคารเองจะได้ประโยชน์จากประกันประเภทด้านการประกันความเสี่ยงต่อหนี้เสีย โดยอาจจะยื่นข้อเสนอลดดอกเบี้ยให้ หรือสามารถผ่อนชำระเบี้ยประกันได้โดยเปิดเป็นยอดกู้อีกยอดหนึ่ง และมีการสื่อสารให้เจ้าของบ้านเข้าใจว่าประกันประเภทนี้เป็นประกันที่กฎหมายบังคับให้ทำ ซึ่งไม่เป็นความจริง

แต่การที่กฎหมายไม่ได้กำหนดไว้ ไม่ได้หมายความว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ตรงกันข้ามประกันประเภทนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้มีรายได้น้อยและเป็นเรี่ยวแรงหลักของครอบครัว เพราะตามที่ได้กล่าวกันมาแล้วว่าช่วยใช้หนี้ให้ทั้งหมดในกรณีที่ผู้กู้เสียชีวิตหรือพิการ ภาระในการผ่อนบ้านก็จะไม่ตกไปอยู่กับครอบครัว แต่ก็ต้องดูเงื่อนไขประกอบด้วยว่าครอบคลุมหนี้ทั้งหมดหรือไม่ แต่ถ้าเจ้าของบ้านมีกำลังในการจ่ายหนี้ ประกันประเภทนี้ก็ไม่มีความจำเป็น

การทำประกันคุ้มครองหลักทรัพย์ TMRA ไม่จำเป็นต้องทำกับสถาบันการเงินที่ยื่นขอสินเชื่อเท่านั้น หากพบบริษัทประกันชีวิตหรือประกันภัยที่มีเงื่อนไขดีกว่าเราก็สามารถทำกับที่นั่นได้โดยที่ธนาคารไม่มีสิทธิ์มาบังคับใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้หากพบธนาคารที่อ้างว่าบังคับทำ สามารถแจ้งร้องเรียนไปได้ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ที่สายด่วน 1186 หรือ www.oic.or.th เพื่อตรวจสอบต่อไป

           จากที่ได้พูดถึงเรื่องการทำประกันบ้านไปแล้วนั้นเมื่อเรามาพิจารณาดีๆ จะพบว่าการทำประกันภัยบ้านนั้นมีประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่ก่อนที่ผู้จะทำประกันภัยบ้านนั้นจะตัดสินใจทำอยากจะแนะนำให้ไตร่ตรองให้รอบครอบและดูเงื่อนไขในกรรมธรรม์และศึกษาให้ละเอียดก่อนตัดสินใจทำประกันภัยบ้าน