แสนสิริปิดการขาย The Line Sathorn หลัง Online booking เพียงวันแรก ปิดการขาย 327 ยูนิตทันที

The Line Sathorn

แสนสิริโชว์ผลงานปิดการขาย The Line Sathorn มูลค่า 4,000 ล้านบาท หลังเปิดขาย Online booking เพียงวันแรก ปิดการขาย 327 ยูนิตทันที  ดันยอดขายพรีเซลล์แตะ 31,000 ล้านบาท สู่เป้าหมายพรีเซลล์ 40,000 ล้านบาทผลประกอบการ 9 เดือน กวาดรายได้กว่า 23,129 ล้านบาท กำไร 2,022  ล้านบาท โตขึ้น 15%

บมจ.แสนสิริ โชว์ผลงานปิดการขาย The Line Sathorn มูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท หลังเปิด Online booking วันแรก ราคาเฉลี่ย 270,000 บาทต่อ ตร.ม. หมดเกลี้ยง 327 ยูนิต จากความโดดเด่นด้านจุดขายภายใต้คอนเซ็ปต์ “SIMPLICITY IN EVERYTHING” ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ติดบีทีเอสสถานีสุรศักดิ์เพียง 0 เมตร มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายด้านนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยแบบ Smart Innovation และการออกแบบ Smart Design โดยทุกยูนิตเป็นแบบ Single Loaded Corridor ที่มอบความเป็นส่วนตัวสูง และมีพื้นที่ระเบียงส่วนตัวโปร่งโล่ง และไม่บดบังวิว

ดันยอดขาย  พรีเซลล์แตะ 31,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นเกือบ 80% จากเป้าพรีเซลล์ใหม่ 40,000 ล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการรอบ 9 เดือน กวาดรายได้รวม 23,129 ล้านบาท หรือคิดเป็นเกือบ 70% จากเป้าหมายรายได้รวม 34,000 ล้านบาท โดยรายได้อื่นๆ หรือรายได้จากการรับบริหารโครงการภายใต้ความร่วมมือกับบีทีเอสเพิ่มขึ้นถึง 47% จากรอบ 9 เดือนของปีก่อน ขณะที่มีกำไรสุทธิ 2,022 ล้านบาท โตขึ้น 15%

ไตรมาสสุดท้ายทยอยรับรู้รายได้จากการโอนโครงการเดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้าที่เริ่มโอนตั้งแต่เดือน ต.ค. ที่ผ่านมา โดยวางเป้าหมายการโอนไว้ 80% มูลค่ารวมกว่า 1,300 ล้านบาทภายในสิ้นปี 2560 พร้อมแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายผนึกกับแผนสั่นสะเทือนวงการอสังหาฯ ไทยในปี 2560 ด้วยการประกาศการลงทุน 80 ล้านดอลล่าร์ หรือ 2,800 ล้านบาท ใน 6 แบรนด์ชั้นนำของโลก สะท้อนวิสัยทัศน์ระดับโลกเพื่อการใช้ชีวิตในอนาคต

The Line Sathornนายวันจักร์  บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) (SIRI) เปิดเผยว่า บริษัทได้ปิดการขายโครงการ The Line Sathorn จำนวน 327 ยูนิต มูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นคอนโดมิเนียมโครงการล่าสุดภายใต้ความร่วมมือระหว่างบีทีเอสและแสนสิริลงอย่างรวดเร็ว หลังเปิดขายแบบ Online booking ในวันแรก ในราคาเริ่มต้น 7.9 ล้านบาทหรือเฉลี่ย 270,000 บาทต่อตารางเมตร โดยมีสัดส่วนกลุ่มลูกค้าเป็นคนไทยและต่างชาติ 70 : 30 เปอร์เซ็นต์ สร้างยอดขายในตลาดต่างชาติได้ถึง 1,300 ล้านบาท คอนโดมิเนียมโครงการที่ 12 ภายใต้ความร่วมมือของบีทีเอสและแสนสิริประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว

“ความสำเร็จของโครงการ เดอะ ไลน์ สาทร ภายใต้คอนเซ็ปต์ “SIMPLICITY IN EVERYTHING” มาจากความโดดเด่นทั้งในด้านทำเลและคอนเซ็ปต์โครงการซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองติดบีทีเอสสถานีสุรศักดิ์เพียง 0 เมตร พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกด้านนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยแบบ Smart Innovation และการออกแบบ Smart Design ซึ่งทุกยูนิตมอบความเป็นส่วนตัวสูงสุดด้วยพื้นที่ระเบียงส่วนตัวโปร่งโล่งและไม่บดบังวิวจากความสูงอาคาร 46 ชั้น ทำให้โครงการปิดการขายลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ยอดขายพรีเซลล์ของแสนสิริล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 31,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นเกือบ 80% จากเป้าพรีเซลล์ใหม่ 40,000 ล้านบาท

ขณะเดียวกันในวันนี้ (13 พฤศจิกายน 2560) บริษัทฯ ได้รายงานผลประกอบการในรอบ 9 เดือนซึ่งมีรายได้รวมกว่า 23,129 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและคิดเป็นเกือบ 70% จากเป้าหมายรายได้รวม 34,000 ล้านบาท โดยรายได้อื่นๆ หรือรายได้จากการรับบริหารโครงการภายใต้ความร่วมมือระหว่างแสนสิริและบีทีเอสเพิ่มขึ้นถึง 47% จากรอบ 9 เดือนของปีก่อน ขณะที่บริษัทมีกำไรสุทธิ 2,022 ล้านบาท โตขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในช่วงไตรมาสสุดท้ายบริษัทยังมียอดทยอยรับรู้รายได้จากการโอนโครงการเดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า จำนวน 86 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท ที่เริ่มโอนตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยวางเป้าหมายการโอนไว้ 80% มูลค่ารวมกว่า 1,300 ล้านบาทภายในสิ้นปี 2560

สำหรับผลการดำเนินงานเฉพาะไตรมาส 3/2560 บริษัทมีรายได้รวมกว่า 7,344 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 6,784 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 705 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 602 ล้านบาท เป็นผลจากปัจจัยบวกด้านเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทมียอดขายที่ดีทั้งโครงการแนวราบและแนวสูงรวมทั้งปิดการขายโครงการทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อาทิ โครงการเดอะ วัลลีย์ เขาใหญ่ (The Valley Khaoyai)  มูลค่ากว่า 1,100 ล้านบาท

ด้วยการออกแบบโครงการที่สวยงามใกล้ชิดธรรมชาติ บนทำเลศักยภาพ ถนนผ่านศึก-กุดคล้า ที่สงบเหมาะแก่การพักผ่อน รวมถึงปัจจัยด้านราคาและความน่าเชื่อถือเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในทำเลเดียวกัน โดยลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนไทยที่มีความต้องการซื้อเพื่อพักผ่อน เป็นบ้านหลังที่สอง และเพื่อลงทุนขายต่อหรือปล่อยเช่า โครงการดีคอนโด นครระยอง คอนโดมิเนียมจำนวน 575 ยูนิต ที่ได้รับความสนใจจากลูกค้าไทยทั้งในด้านการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองและลงทุนปล่อยเช่า จากทำเลที่ตั้งโครงการซึ่งใกล้แหล่งนิคมอุตสาหกรรมระยอง จึงสามารถปิดการขายโครงการมูลค่ากว่า 830 ล้านบาทในที่สุด

“ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บริษัทยังได้เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ อาทิ แบรนด์ใหม่ของโครงการแนวราบ อณาสิริ อยุธยา ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในการรุกทำเล อยุธยา อีกหนึ่งทำเลที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ที่มีศักยภาพใกล้นิคมอุตสาหกรรม  และนับเป็นครั้งแรกของโครงการแนวราบของแสนสิริที่มีครบทั้งทาวน์เฮาส์ บ้านแฝด บ้านเดี่ยว ในโครงการเดียว เตรียมเปิดพรีเซลส์วันที่ 24-25 พฤศจิกายนนี้ นอกจากนี้ยังเตรียมต่อยอดความสำเร็จของแบรนด์“คณาสิริ” ในการเปิดตัวโครงการ คณาสิริ พระราม 2วงแหวนจำนวน 293 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท ในทำเลติดถนนพระราม 2  เตรียมเปิดพรีเซลส์วันที่ 25 พฤศจิกายนนี้ หลังจากโกยยอดขายแบรนด์คณาสิริทั้งหมดในปีนี้ไปแล้ว

กว่า 1,000 ล้านบาท โดยล่าสุดปิดการขาย “คณาสิริ ปิ่นเกล้า-กาญจนา” ในเฟสแรกด้วยยอดขาย 100 ล้านบาท รวมถึงบริษัทยังเตรียมรุกแบรนด์ “ดีคอนโด แคมปัส” ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมใกล้สถานศึกษา เจาะกลุ่มลูกค้าผู้ปกครองและนักศึกษาซึ่งที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดี โดยเตรียมเปิดตัว ดีคอนโด แคมปัส กำแพงแสน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ชีวิตดีดี เต็มที่ทั้งวัน” ตั้งอยู่ตรงข้ามมหาลัยเกษตรศาสตร์ กำแพงแสน จังหวัดนครปฐม จำนวนทั้งสิ้น 766  ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท เปิดจอง 18 – 19 พฤศจิกายนนี้ ในราคาเริ่มต้นที่ 1.39 ล้านบาท” นายวันจักร์ กล่าว

ล่าสุดบริษัทยังได้เผยแผนธุรกิจที่แข็งแกร่งสะเทือนวงการอสังหาฯ ไทยในปี 2560 ด้วยการประกาศแผนการลงทุน 80 ล้านดอลล่าร์ หรือ 2,800 ล้านบาท ใน 6 แบรนด์ชั้นนำของโลก สะท้อนวิสัยทัศน์ระดับโลกเพื่อการใช้ชีวิตในอนาคต ซึ่งนับเป็น 6 ธุรกิจด้านเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์ชั้นนำของโลก นับเป็นการขยายฐานการลงทุนในธุรกิจอื่นครั้งสำคัญเพื่อสร้างพันธมิตรในประเภทธุรกิจอันหลากหลาย โดยทั้ง 6 ธุรกิจล้วนมีอัตราการเติบโตสูงในตลาดโลกซึ่งจะเป็นแหล่งรายได้ใหม่ของแสนสิรินอกประเทศไทย เร่งเดินหน้ากลยุทธ์โมเดลธุรกิจแบบ asset light ในยุคปฏิวัติดิจิทัลเพื่อสร้างโอกาสจากการผนึกกำลังร่วมและโอกาสการเติบโตที่รวดเร็ว

โดยมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของบริษัททั้ง 6 จากการเข้าถือหุ้นของแสนสิริจะส่งผลดีต่อธุรกิจหลักของแสนสิริ การลงทุนครั้งนี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของแสนสิริที่มุ่งให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตในอนาคต ครอบคลุมทั้งแนวทางการดำเนินชีวิต การทำงาน การพักผ่อนหย่อนใจ และการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีและสื่อรูปแบบใหม่ๆ โดยธุรกิจที่แสนสิริร่วมลงทุนครั้งนี้ประกอบด้วย Standard International

แบรนด์ที่ทรงพลังที่สุดในธุรกิจบูติกโฮเทลซึ่งพลิกโฉมหน้าวงการโรงแรมระดับไฮเอนด์แบบใหม่ไปสู่อีกรูปแบบ One Night แอพพลิเคชั่นจองโรงแรมที่ปฎิวัติวิธีการจองภายในวันเข้าพักในโรงแรมที่คัดสรรมาอย่างดีจากทั่วโลกให้เลือก Hostmaker บริษัทผู้บริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์อันดับหนึ่งจากลอนดอน Airbnb  JustCo ผู้ให้บริการโคเวิร์คกิ้งสเปซสุดสร้างสรรค์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Farmshelf นวัตกรรมฟาร์มอัจฉริยะเพื่อการปลูกผักสดสะอาดในที่พักอาศัยและ Monocle แบรนด์สื่อทรงอิทธิพลระดับโลก ครอบคลุมทั้งสิ่งพิมพ์ ออนไลน์ วิทยุ ภาพยนตร์ รีเทล และธุรกิจบริการ

ทั้งนี้ แสนสิริคือผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทย ก่อตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2527 นับเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรรายเดียวของประเทศซึ่งมีมูลค่ายอดขายโครงการมากกว่า 40,000 ล้านบาทต่อปี อีกทั้งยังมีชื่อเสียงอันแข็งแกร่งในต่างประเทศ ทั้งจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน และญี่ปุ่น ด้วยยอดขายในตลาดต่างประเทศในปี 2560 ด้วยเป้าหมายยอดขายในตลาดต่างประเทศในปี 2560 ที่วางไว้ 9,000 ล้านบาท

ลงประกาศขาย-ให้เช่า ฟรี !!! ไม่มีค่าใช้จ่ายลงประกาศเลย…

ขายคอนโดมือสอง บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ ที่ดิน กับ Dot Property ขายง่าย ขายไว หรือต้องการซื้อ-เช่า !!! คอนโดมือสอง บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ ที่ดินทั่วไทยมากกว่า 300,000 รายการคลิ๊กที่นี่