อยากซื้อบ้าน ข้อคิดดีๆ สำหรับคนอยากซื้อ แต่ไม่มีเงินเก็บ ตัดสินใจยังไงดี…?

วันนี้เรามาพูดถึงเรื่องราวที่อยู่ในใจของคนที่กำลัง อยากซื้อบ้าน แต่ยังลังเลแล้วก็มีขอคิดอยู่ในหัวว่าเราจะสามารถ ซื้อบ้าน ได้หรือไม่ พร้อมหรือยัง และถ้า ไม่มีเงินเก็บ เลยละ จะเป็นการเสี่ยงหรือไม่ โดยเดี๋ยววันนี้เราไปลองดู เรื่องราวคำถามคำตอบสำหรับ คนที่อยากจะซื้อบ้าน แต่ไม่มีเงินเก็บควรตัดสินใจยังไงดี… เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเราไปชมกันเลยค่ะ

อยากซื้อบ้าน แต่ไม่มีเงินเก็บ ตัดสินใจยังไงดีคะ by คุณ เม็ดยาค่ะ

อยากซื้อบ้าน

สอบถามหน่อยค่ะ ต้องการซื้อบ้าน ราคา 3.0-3.2 ล้าน   เป็นข้าราชการ วิชาชีพเฉพาะ รายได้ต่อเดือน 30,000 บาท ไม่รวมค่าเวร (ซึ่งปกติธนาคารจะไม่นำมาคิดอยู่แล้ว)มีบัตรเครดิต 2 ใบ จ่ายตรงเวลา และเต็มจำนวนมาตลอด ไม่มีภาระหนี้สินใดๆ มีรถผ่อนหมดแล้ว 1 คัน เคยสอบถามธนาคาร  สามารถกู้คนเดียว โดยไม่ต้องมีคนค้ำ วงเงินเกือบๆ 3.5 ล้าน

แต่ตอนนี้ไม่มีเงินเก็บเลยค่ะ เพราะเพิ่งเอาเงินเก็บไปโปะสหกรณ์หมดแล้ว ตอนนี้กำลังมองหาบ้าน ราคา 3.0-3.2 ล้านบาท ทำเลที่อยากได้ หน้าโครงการกำลังสร้างทางมอเตอร์เวย์  มีสนามบิน และคาดว่าจะมีรถไฟความเร็วสูงด้วย (หน้าโครงการเป็นสถานีรถไฟ) ตอนแรกตั้งใจจะเก็บเงินก่อนซัก 2-3 ปี แต่กลัวว่า โครงการที่อยากได้ ทำเลที่ต้องการ และบ้านเลขที่ที่โอเค จะหมดไปก่อน และราคาจะสูงขึ้น ทำเลจะขยับไปไกลจากที่ทำงานออกไปอีก เลยขอสอบถามพี่ๆในห้องนี้ ว่าควรกู้ซื้อเลยดีมั้ยคะ สามารถผ่อนได้ ช่วง 3 ปีแรก  ประมาณ 50,000 บาท ต่อเดือน  (สามีได้โปรเจค สัญญา 3 ปีค่ะ เลยจะช่วยกันโปะ) หลังจากนั้น สามารถผ่อนได้ประมาณ 20,000 บาท/เดือน (สามีจะรับผิดชอบเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในบ้าน ค่าเทอมลูก ค่ากินอยู่ค่ะ ) ตอนนี้กำลังลังเลมากค่ะ ว่าจะซื้อเลยดีมั้ย หรือเก็บเงินไปก่อนดี รบกวนด้วยนะคะ

คำตอบและข้อคิดดีๆ สำหรับคนอยากซื้อบ้าน แต่ไม่มีเงินเก็บ

อยากซื้อบ้าน

ข้อคิดจากคุณ สมาชิกหมายเลข 703029

จริงๆแล้ว  ขึ้นกับ จขกท  จะใช้วิธี ปลอดภัยไว้ก่อน  หรือ คิดที่จะ สู้แบบฮึด เนื่องมาจากความอยาก ก็ต้องเลือกเอา  ชีวิตแต่ละแบบนั้น    ความเครียด หรือ ความสบายใจ  จะไม่เหมือนกัน  โดยปกติแล้วคนไม่มีหนี้  เป็นลาภอันประเสริฐหรือ ถ้าจะมีหนี้ ก็ขอให้มีให้น้อย บ้านนั้น ถ้าสร้างแต่พอตัว พอกำลังผ่อนได้แบบสบายๆ   ชีวิตจะไม่เครียด   แต่ความอิ่มเอมในใจ  อาจจะน้อยลง อันเนื่องมาจากเราเลือกแบบนี้  ถ้าลดความอยากได้  ความปลอดภัยในการเงิน จะมีมากขึ้นแต่ถ้าความอยากมีมาก ความปลอดภัยจะน้อยลง  ความเสี่ยงจะมากขึ้นความเสี่ยงคืออะไร โลกใบนี้เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน วันก่อน  ตลาดหุ้น โดนที  ร้องโอ๊กอ๊าก กันเป็นแถบๆ ถ้าตลาดหุ้น ระดับโลก โดนทุบเย่อะๆ หลายๆครั้ง  ซักวันก็จะพัดพาเศรษฐกิจจริงๆบ้านเรา ให้มีปัญหาได้  ที่ผ่านมาก็เป็นไปในแนวตามที่ว่านะครับ

เล่าให้ฟังเรื่องพี่ที่ทำงานครับ พี่ที่ทำงานผม  ตอนแกซื้อบ้านหลังแรก แกซื้อทาวเฮ้าส์ จนอายุแก 50+  ลูกๆ โต  เป็นวัยุร่นแล้ว แกค่อยขยับขยาย มาซื้อบ้านหลังใหญ่ขึ้นครับ  เนื่องจากเด็กๆ ต้องการพื้นที่ส่วนตัว  ทาวเฮ้า จำนวนห้องไม่พอแล้วพี่เค้า ก็วางแผนแบบปลอดภัยดี  ง่ายๆ  ไม่เครียด  ยามเกิดเหตุผันผวน ในระบบเศรษฐกิจ เช่นปี 40  แกก็ชิลๆ ได้ครับ คิดถึงคนวัยเดียวกัน ที่เจอเหตุการณ์ปี  2540 แต่ละคนในกลุ่ม ขนาดมีงานทำ  ไม่ตกงาน  ยังร้องโอ๊กๆ

ไม่ต้องพูดถึงคนตกงาน หรือโดนพิษเศรษฐกิจ ที่โดนอะไรไปบ้าง หนี้ที่มีเวลายาวๆ  เวลาจะก่อ  ก็คิดให้ดีนะครับ จขกท  คิดว่า  เกินกำลังหรือไม่  อันนั้น  คือสิ่งที่จะต้องพิจารณาสภาวะการงาน  เป็นอย่างไร ในอนาคต  ในสายการงาน  ของตัว  จขกท และสามี นะครับถ้าสามารถผ่อนได้จริงๆเดือนละ 50000   ต่อเนื่อง 3 ปี  ก็น่าสนใจในการซื้อครับ ใน 3 ปี ที่ว่านี้  เมื่อสิ้นระยะ 3 ปี เงินต้น น่าจะลดลงได้ 1.4-1.5 ลบ  ส่วนที่เหลือก็จะง่ายขึ้นนะครับ แล้วแต่หลักนิยมของแต่ละคนจริงๆครับ

ข้อคิดจากคุณ สมาชิกหมายเลข 4076312

คนที่แต่งงานแล้ว/มีลูกแล้ว…แล้วทุกวันนี้อยู่กันที่ไหน/อย่างไร?  เช่าอยู่ หรืออาศัย ใครอยู่ล่ะครับ?…

เงินเดือน บวกกัน 2 คน ยิ่งน่าจะซื้อได้นะครับ เรื่อง..”เงินเก็บ”. ก็ต้องคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าคิด ว่า จะเก็บไปเพื่ออะไร?  เพื่อ อนาคตของลูกๆ หรือเพื่อไว้ใช้จ่าย ยามฉุกเฉิน!!  บลาๆๆๆ  “สหกรณ์ออมทรัพย์”. ของหน่วยงาน มันคือ “คำตอบ”. ของเกือบจะทุกๆอย่างในชีวิต ไปจนยาม “เกษียณอายุ/หลังเกษียณ”.ไม่ว่า จะเป็น “กู้ซื้อบ้าน/ซ่อมแซมบ้าน/ฉุกเฉิน ฯลฯ

มีเงินค่า “หุ้น/สะสมรายเดือน”. อยู่แล้วนี่ครับ นั่นแหละคือ “เงินเก็บ”. รวมทั้ง “ปันผลประจำปี”. ด้วย!!”การกู้เงิน”. ก็คือ..การนำเงินในอนาคต. มาใช้ แล้วผ่อนส่งรายเดือน..มันก็คือ “การออม”. นั่นแหละ อยากซื้อบ้าน..ก็ควรดู “ความสามารถในการผ่อนส่ง” เป็นหลัก!!  ที่จะไม่ทำให้ การใช้จ่ายประจำวัน “ฝืด!!” ข้าราชการหลายๆคน..กว่าจะซื้อบ้านได้/ผ่อนบ้านหมด หลังเกษียณ ก็ยังต้องผ่อนกันอยู่  เสียดอกเบี้ยกันไป คิดอะไรมากมายไปล่ะครับ..มีเงินใช้สบายๆ ทุกๆเดือน ไม่ต้องไปกู้ซ้ำซ้อน คิดไปคิดมา ยังดีกว่า “บัตรเครดิต” ที่อาจจะจ่ายมากกว่า “สหกรณ์ฯ”. (มั้ง!!)

ข้อคิดจากทาง K-Expert

ถ้าไม่รีบร้อนนัก ยืดเวลาออกไป เก็บเงินให้ได้สักก้อน ค่อยกู้บ้าน อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีนะครับ ลองเก็บเงินเท่ายอดผ่อนจริง จะได้ลองดูด้วยว่า ถ้ากู้บ้านผ่าน เมื่อต้องผ่อนจริง จะไหวมั้ย เพราะผ่อนบ้านหมด ก็ใช้เวลาหลายปี ซึ่งเงินที่เก็บสามารถเป็นเงินดาวน์บ้าน เพื่อไม่ต้องขอวงเงินกู้ที่สูงเกินไป ช่วยให้เสียดอกเบี้ยน้อยลง และหมดหนี้เร็วขึ้นด้วย

อีกอย่างหนึ่ง ควรมีเงินก้อนเตรียมไว้สำหรับค่าใช้จ่ายจากการซื้อบ้านด้วย เช่น ค่าจดจำนอง 1% ของวงเงินกู้ ค่าโอน 2% ของราคาประเมิน (ค่าโอนขึ้นอยู่กับการตกลงของผู้ซื้อผู้ขาย) ค่าเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งซ่อมแซมบ้าน  และอย่าลืมว่า กู้บ้าน ไม่ได้มีแค่ค่าผ่อนบ้าน ยังมีค่าประกัน ค่าส่วนกลาง ค่าน้ำไฟ เป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มเข้ามา ต้องกันเงินแต่ละเดือนไว้ด้วย

ที่สำคัญ ควรมีเงินก้อนสำรองเตรียมไว้รองรับเหตุการณ์ฉุกเฉินสัก 6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน เช่น เจ็บป่วย ไม่ว่าจะเป็นตัวเรา หรือคนในครอบครัว ต้องใช้เงินซ่อมรถ ซื้อของใช้จำเป็น รวมถึงเกิดว่างงานขาดรายได้ขึ้นมา จะได้มีเงินสำรองใช้จ่ายโดยไม่เดือดร้อน ลองวางแผนพิจารณาดูครับ

 

ขอขอบคุณคำถามดีๆจากทางคุณ เม็ดยาค่ะ  และข้อคิดดีๆจาก สมาชิกหมายเลข 703029,สมาชิกหมายเลข 4076312 และ K-Expert

ลงประกาศฟรี !!! ไม่มีค่าใช้จ่ายลงประกาศเลย คลิ๊ก …

ขายคอนโดมือสอง บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ ที่ดิน กับ Dot Property ขายง่าย ขายไว หรือต้องการซื้อ-เช่า !!! คอนโดมือสอง บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ ที่ดินทั่วไทยมากกว่า 300,000 รายการคลิ๊กที่นี่